บทความ โดย Bugbunny “กระบวนการยุติธรรมไทย หมายถึง ยุติความเป็นธรรม” คำพูดของ พ.ต.ท.ทักษิณ ข้างบนนี้อาจจะไม่กระเทือนความรู้สึกของพวกเหลือบเล็นและโลนอยุติธรรมแห่งขบวนการตุลาการภิวัฒน์อย่าง นายจรัญ จัญไร นายอักขราธร และ นายชาญชัย รวมทั้งลูกน้องอีกหลายคน เพราะทุกคนทำสิ่งที่เปรียบได้เสมือนหน้ามือกับหลังเท้าของหลักการเบื้องต้นแห่งนิติธรรมได้หน้าตาเฉย ความต่ำทรามได้พอกหนาอยู่ในกมลสันดานจนขูดไม่ออกถากไม่เข้าอีกแล้ว ฉะนั้น การกระทำไร้ยางอายอื่นต่อ ๆ มาจึงไม่ใช่เรื่องแปลก แต่สำหรับคนไทยที่รักความเป็นธรรมแล้ว นี่คือการจบสิ้นแห่งการยอมรับนับถือสถาบันนี้อย่างสิ้นเชิง และถึงเวลาที่จะต้องจัดระบบวงการนี้แบบใหม่หมด “สถาบันศาลเป็นอำนาจอธิปไตยเดียวที่ล่องลอยอยู่ โดยไม่มีที่มาหรือความเกี่ยวข้องกับประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศเลย” นกพิราบขาวฝูงหนึ่งที่บินวนเวียนเหนือสนามรัชมังคลาภิเษกอันแดงเจิดจ้าไปด้วยพลังแห่งการเรียกร้องความเป็นธรรมของผู้คนเหยียบแสน เป็นเสมือนสัญญลักษณ์แห่งการน้อมคำนับผู้รักประชาธิปไตยและความเป็นธรรมของประเทศนี้ ที่ต้องการสลัดตนให้หลุดพ้นจากแอกของเผด็จการศักดินาอำมาตย์ที่ครอบงำประเทศมาแสนนาน มาจากที่ใดไม่มีใครรู้ แต่คงไม่ได้มาจากสิ่งศักดิ์สิทธิทั้งหลายที่คนผู้ได้เปรียบในเมืองไทยอุปโลกน์ก่อตั้งขึ้น เพราะสิ่งนั้นย่อมไม่ยินดีที่ประชาชนเริ่มเรียนรู้ว่าลึกลงไปจากผิวหนังภายนอก มนุษย์ทุกคนนั้นก็คือส่วนประกอบของสสารที่เป็นของเหลวมากกว่าค่อนเหมือนกันทั้งสิ้น ไม่ว่าจะอยู่ในสถานะใดในสังคม “การที่เมืองไทยวนเวียนอยู่กับการปฏิวัติรัฐประหารมานับสิบครั้งนั้น สถาบันศาลต้องรับผิดชอบ เพราะกฎหมายถือว่าการกบฏล้มล้างการปกครองนั้นผิด แต่กลับไปตัดสินยอมรับการกระทำเช่นนั้น ทำให้พวกนักรัฐประหารได้ใจ เพราะมีบรรทัดฐานว่าทำแล้วไม่มีโทษ” นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา กล่าวเช่นนี้ และยืนยันความจริงที่ว่า เมื่อโจรรุ่นหนึ่งปล้นประเทศไปแล้วได้รับการยกโทษจากสถาบันศาล โจรรุ่นต่อ ๆ มาจึงไม่เคยเข็ดหลาบที่จะทำแล้วทำอีก ทุกครั้งอ้างการเกิดความแตกแยก ทุจริตคอรัปชั่น หรือการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ เป็นสาเหตุในการกระทำ ในเหตุการณ์ 19 กันยา 49 โจรแขกนำสมุนปล้นประเทศอีกครั้งและมันยังอ้างแบบรวบยอดครบทุกสาเหตุที่กล่าวมา แต่จนบัดนี้ก็ยังไม่มีใครพิสูจน์ได้ว่ามีการกระทำเหล่านั้นจริง แต่ในขณะเดียวกัน การลอบสังหาร ศาลทหารและอัยการกลับรับคดีและกำลังอยู่ในกระบวนการพิจารณา หรือเราต้องยอมรับกันแล้วว่า สถาบันศาลทหารเท่านั้นที่เชื่อถือได้ว่าทรงความยุติธรรมที่สุดในประเทศนี้ “การตั้งกลุ่มบุคคลที่เป็นฝ่ายตรงข้าม ตั้งผู้พิพากษาอีกหลายคนให้มาทำงานที่เป็นของพนักงานสอบสวนในองค์กรอิสระต่าง ๆ ทั้ง คตส. ปปช. กกต. แล้วส่งให้ผู้พิพากษาในศาลทำการตัดสินความนั้น เป็นการทำลายล้างหลักการเบื้องต้นในหลักนิติธรรม เพราะเอาทั้งผู้มีส่วนได้ส่วนเสียและผู้ตัดสินคดีมาอยู่ฝ่ายเดียวกันเพื่อจัดการกับฝ่ายตรงข้ามในกระบวนการพิจารณา” ไม่มีกระบวนการยุติธรรมใดกระทำเช่นนี้ แม้แต่ประเทศที่ล้าหลังที่สุดในโลก เพราะสังคมจะกลายเป็นทุรยุค ความปั่นป่วนวุ่นวายจะต้องเกิดขึ้น เมื่อฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดไม่ได้รับความเป็นธรรม เพราะฝ่ายตรงข้ามกับผู้ทรงอำนาจตัดสินข้อขัดแย้งเป็นพวกเดียวกันอย่างโจ่งแจ้งเปิดเผย เขาก็ต้องเรียกร้องความถูกต้องเป็นธรรมด้วยวิธีอื่น อำนาจแฝงของประเทศนี้กำลังบีบบังคับให้ประชาชนส่วนใหญ่ที่เห็นว่าผู้ที่เขารัก ผู้ที่ทำประโยชน์ให้กับพวกเขาด้วยการทำงานจริง สร้างความสุขให้กับพวกเขาจริง ไม่ใช่แค่สร้างภาพประชาสัมพันธ์ กำลังถูกผู้มีอำนาจสุมหัวกันข่มเหงรังแกอย่างไม่เป็นธรรม เขามีคนที่รักเขาจำนวนมากมายกว่าที่เคยมีมาครั้งใดในเมืองไทย หากยังไม่ยุติ ยังกดขี่บีฑากันต่อไปอีก เมืองไทยจะเห็นทุรยุค เพราะมหาชนเริ่มทนต่อไปไม่ได้อีกแล้ว เมื่อท้องฟ้ายามเย็นวันที่ 1 พฤศจิกายน 2551 เป็นสีแดงฉานเจิดจ้าเช่นเดียวกับสีเสื้อของผู้คนนับแสนในสนามรัชมังคลา เสียงขานรับจากพวกเขาดังประสานกับเสียงกระทบของแผ่นปลาสติกตีนตบกระหึ่มก้องไปทั่วอาณาบริเวณ ความโศกเศร้าอาดูรและหยาดน้ำตาแห่งความคิดถึงหลั่งไหลบนใบหน้าโดยมิได้นัดหมาย ยามได้ยินเสียงผู้นำอันเป็นที่รักทักทายประชาชนจากดินแดนอันห่างไกล ความคั่งแค้นสุดกลั้นปรากฏขึ้นจากเสียงด่าทอคนชั่วช้าอย่าง สนธิ จำลอง จรัญ พิภพ สุริยะใส ฯลฯ ทุกครั้งที่ชื่อเหล่านี้ดังขึ้นจากการปราศรัย ทุกตัวคือสัตว์เลื้อยคลานชั้นต่ำในจิตใจของประชาชนผู้เคืองขุ่น ฯลฯ ปรากฏการณ์เหล่านี้น่าจะสื่อไปถึงพวกผู้ทรงอำนาจแฝงของประเทศนี้ว่าถึงเวลาแล้วที่จะต้องยุติความอาสัตย์อาธรรม์ที่กำลังครอบงำประเทศนี้ มองความจริงว่าผู้คนส่วนใหญ่ต้องการอะไร เลิกเกรงใจพวกเอาแต่ใจตัวเอง หันมามองสังคมและประเทศในภาพรวม รีบทำสิ่งที่คนส่วนใหญ่ของประเทศนี้ต้องการก่อนที่จะตกต่ำในสายตาชาวโลกและชาวไทยลงไปกว่านี้ แต่ถ้าไม่สนใจก็คงไม่เป็นไร เตรียมตัวอยู่คนเดียวในโลกได้ เพราะภาพที่สื่อออกไปทั่วโลกจากสนามรัชมังคลาเมื่อเย็นวันที่ 1 พฤศจิกายน 51นั้น ยิ่งทำให้มติมหาชนโลกวันนี้กระจ่างชัดแล้วว่า เขาต้องอยู่ตรงข้ามกับกลุ่มพวกท่านอย่างแน่นอน |
จาก thaifreenews