บทความ โดย ปูนนก
กระแสการตี่นตัวของประชาชนที่รักและเรียกร้องประชาธิปไตย และได้ไปรวมตัวกันที่สนามกีฬาราชมังคลาฯ จะยังคงอยู่ในการกล่าวขวัญของคนไทยทั้งประเทศไปอีกนาน และการกล่าวขวัญนี้จะไม่เพียงมีแต่ในประเทศไทยเท่านั้น แต่จะยังคงแพร่กระจายออกไปสู่นานาชาติที่เชื่อมั่นในการปกครองในระบอบประชาธิปไตยทั้งมวลอีกด้วย
ตามหลักการแล้วประเทศไทยได้รับการยอมรับกันโดยทั่วไปว่ามีการปกครองในระบอบประชาธิปไตย แต่การรวมตัวกันของผู้คนนับแสนคน และสวมเสื้อสีแดง ซึ่งเป็นการแสดงถึงสัญลักษณ์ต่อต้านการรัฐประหาร และเรียกร้องประชาธิปไตยนั้น น่าจะสร้างความงุนงง สงสัย และความสนใจให้กับนานาชาติไม่มากก็น้อย ทำไมประชาชนไทยจึงต้องเรียกร้องประชาธิปไตยทั้ง ๆ ที่ประเทศไทยก็อ้างตัวว่าปกครองโดยระบอบประชาธิปไตยมิใช่หรือ
ท่านนายกทักษิณโฟนอิน เข้ามากลางงานชุมนุมความจริงวันนี้สัญจรที่สนามกีฬาราชมังคลาฯ ได้สร้างความตื่นเต้นดีใจให้กับผู้เข้าร่วมการชุมนุมที่รอคอยอยู่ และไม่เพียงผู้ที่เข้าร่วมการชุมนุมนับแสนคนเท่านั้น คนไทยทั่วประเทศและต่างประเทศนับหลายล้านคน ที่สามารถรับฟังสัญญาณเสียงได้ทางสื่ออินเตอร์เน็ต หรือสื่อดาวเทียม ต่างก็ดีใจและเฝ้ารอกันอย่างใจจดจ่อว่าท่านนายกทักษิณจะพูดสิ่งใด
ข้องุนงงสงสัยที่คนมากมายเคยสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้นกับประเทศไทยอันเป็นที่รักของเรา ได้รับการเฉลยอย่างชัดแจ้งหลังจากที่ท่านนายกทักษิณได้โฟนอิน เข้ามาในงานความจริงวันนี้สัญจรเมื่อวันที่ 1 พ.ย. ที่ผ่านมา สำหรับผู้ที่เข้าใจแล้วก็คงไม่ใช่เรื่องแปลกประหลาดอะไร แต่สำหรับผู้ที่ยังไม่เข้าใจการที่ท่านนายกทักษิณพูดในรายการวันนั้น เป็นการกะเทาะเปลือกของอำนาจเถื่อนที่ไม่ใช่ประชาธิปไตยที่ครอบครองประเทศนี้มาอย่างยาวนาน และไม่ยอมให้ประชาชนไทยจะมีโอกาสได้ลิ้มรสในการพัฒนาตนเองไปสู่ความเป็นสากลได้
คำกล่าวที่ว่า “ระบบยุติความเป็นธรรม” ที่ท่านนายกทักษิณกล่าวถึงนั้น เป็นคำกล่าวที่แสดงให้เห็นชัดว่า สิ่งที่เกิดขึ้นในประเทศไทยขณะนี้ ไม่ใช่เรื่องของบุคคล แต่เป็นเรื่องของ “ระบบ” เป็นเรื่องของ “กระบวนการ” ที่มีองค์ประกอบที่คอยขับเคลื่อนองคาพยพต่าง ๆ อยู่ในประเทศไทยนี้ และ “ระบบยุติความเป็นธรรม” นี้ คือรากเหง้าแห่งความเลวร้ายทั้งปวงที่ได้กัดกร่อน ทำลาย โค่นล้ม ความเป็นประชาธิปไตยของคนในชาตินี้
มีความพยายามโยงให้ความขัดแย้งครั้งนี้เป็นเรื่องของคน 2 คนคือ ท่านนายกทักษิณ ชินวัตร กับ นายสนธิ ลิ้มทองกุล ซึ่งเป็นการบิดเบือนโดยสิ้นเชิง ปัญหาในเรื่องของ “ระบบ” นั้นเป็นปัญหาที่คนไทยทุก ๆ คนต่างก็ได้รับผลกระทบ การรัฐประหารวันที่ 19 กันยายน 2549 ที่ผ่านมาคือการกระทำที่ผิดกฎหมาย ผิดรัฐธรรมนูญอย่างสิ้นเชิง แต่ก็ได้รับการรับรองจากทั้งนักการเมือง นักวิชาการ และผู้มีบารมีต่าง ๆ ว่า เป็นสิ่งที่ทำได้ พูดง่าย ๆ ก็คือ บ้านนี้เมืองนี้ ถ้าใครมีปืน ใครมีกองกำลัง ก็ยึดประเทศได้ และได้อำนาจปกครองประเทศไป ใช่หรือไม่??? นี่คือตัวอย่างหนึ่งของ “ระบบยุติความเป็นธรรม”
“ระบบยุติความเป็นธรรม” นั้นได้ทำให้เกิดชนชั้น “อภิสิทธิ์ชน” ขึ้นมาในประเทศนี้ เกิดชนกลุ่มหนึ่งที่ ยึดทำเนียบรัฐบาลสะสมอาวุธเข้าขั้นกบฏได้โดยไม่ผิดกฎหมาย, สามารถปิดถนนที่ไหนก็ได้โดยไม่ผิดกฎหมาย, สามารถไล่ยิงใครก็ได้กลางเมืองหลวงโดยไม่ผิดกฎหมาย, สามารถเรียกร้องอะไร พูดอะไรก็ได้ ลุกขึ้นมาด่าใครก็ได้โดยไม่ผิดกฎหมาย, บางคนสามารถซื้อเสียงเข้ามาในการเลือกตั้งได้โดยไม่ผิดกฎหมาย, สามารถใช้อำนาจคดโกงประเทศชาติได้ต่อหน้าต่อตาโดยไม่ผิดกฎหมาย ฯลฯ
ในขณะที่ประชาชนอีกกลุ่มหนึ่งกลับถูกปฏิบัติในทางตรงกันข้าม โดยได้รับการจับจ้องคอยสอดส่อง และจับผิดทางกฎหมายแม้แต่เรื่องเล็กน้อยที่สุด ก็ยังนำมาเป็นประเด็นที่เอาผิดจนถึงขั้นต้องได้รับโทษ แม้แต่เพียงแค่ ทำรายการอาหารออกอากาศทางทีวีก็ถูกพิพากษาให้พ้นตำแหน่งนายกรัฐมนตรี, ไปลงนามเซ็นสัญญากับต่างประเทศตามระเบียบปฏิบัติในหน้าที่ก็ต้องหลุดจากตำแหน่งรัฐมนตรี, แม้เรื่องราวที่เคยเป็นการแสดงความเห็นทางวิชาการที่ผ่านไปแล้วนับปีก็ยังถูกนำมาเป็นประเด็นเอาผิดจนต้องออกจากตำแหน่งรองนายก, หรือแม้กระทั่งตำรวจกระทำหน้าที่ปกป้องบ้านเมืองจากโจรกบฏตามกฎหมายก็ถูกโจมตีว่าทำรุนแรง, ในขณะที่โจรกบฏนำระเบิดจะเข้ามาระเบิดเมืองกลับได้รับการยกย่องว่าเป็นวีรบุรุษ วีรสตรี ผู้ปกป้องชาติและราชบัลลังก์ ฯลฯ
สิ่งเหล่านี้ได้รวมตัวกันอยู่ในกระบวนการที่เรียกว่า “ระบบยุติความเป็นธรรม” และได้ทำลายประเทศไทยให้ย่อยยับไปอย่างทันตาเห็น..... ประเทศไทยเปรียบเสมือนบ้านหลังใหญ่ที่สวยงาม ที่คนภายนอกมองดูก็เห็นว่าเป็นบ้านที่สวยงามและน่าอยู่อาศัย นั่นคือภาพของประชาธิปไตยที่ถูกปลูกสร้างเอาไว้เมื่อ 76 ปีก่อน แต่น่าเสียดายที่ภายในบ้านหลังนี้มีปลวกร้ายคอยกัดกินให้ส่วนประกอบต่าง ๆ ของบ้านผุกร่อนลงไปเรื่อย ๆ ตลอดระยะเวลาอันยาวนานปลวกร้ายเหล่านี้ได้ค่อย ๆ กัดแทะโครงสร้างของบ้านจากภายใน จนผุกร่อนไปเรื่อย ๆ แม้จะดูจากภายนอกว่าบ้านหลังนี้ยังสวยงามอยู่ แต่ภายในนั้นได้ผุกร่อนลงไปอย่างมากแล้ว และปลวกร้ายเหล่านี้ก็คือ “ระบบยุติความเป็นธรรม” นึ่เอง
บ้านประชาธิปไตยของประเทศไทยหลังนี้จะต้องได้รับการซ่อมแซมโดยด่วน จะต้องทำลายปลวกร้ายนี้ให้สิ้นซากไป ก่อนที่บ้านทั้งหลังจะพังครืนลงมาทับคนในบ้านจนหมด ท่านนายกทักษิณ ชินวัตร เป็นผู้หนึ่งที่อยู่ในบ้านหลังนี้ และเมื่อมองเห็นปัญหาก็พยายามที่จะทำลายปลวกร้ายในบ้านประชาธิปไตยของไทยหลังนี้ แต่ทว่าบางคนในบ้านที่ชอบกิน “ไข่ปลวก” กลับเห็นว่าสิ่งที่ท่านนายกทักษิณ ได้พยายามทำลายปลวกนั้นคือการทำลายบ้านประชาธิปไตย จึงพยายามหาทางกำจัดท่านนายกทักษิณให้พ้นไปจากประเทศไทยทุกวิถีทาง ซึ่งเวลาที่ผ่านไป 3 นี้ได้แสดงให้เห็นแล้วว่าข้อกล่าวหาทุกอย่างเป็นการบิดเบือนโดยสิ้นเชิง
ด้วยเหตุนี้ท่านนายกทักษิณ ชินวัตร เป็นเพียงเหยื่อผู้รับเคราะห์ และถูกโยนความผิดพลาดมาให้ของคนที่ชอบกิน “ไข่ปลวก” ของบ้านประชาธิปไตยหลังนี้ และ “ระบบยุติความเป็นธรรม” ซึ่งก็คือตัวปลวกนั้น กำลังจะทำลายทุกคนภายในบ้านของประเทศไทย การชุมนุมของผู้รักประชาธิปไตยในวันที่ 1 พฤศจิกายน ที่ผ่านมานั้น เป็นไฟประชาธิปไตยจากไม้ขีดก้านแรก ที่ได้ถูกจุดขึ้นแล้วด้วยมือของคนไทยทั้งชาติ ซึ่งแน่นอนว่าจะไม่ใช่ครั้งแรก และไม่ใช่ครั้งสุดท้ายที่จะมีการชุมนุมรวมตัวกันดั่งนี้อีก และการรวมตัวกันในครั้งต่อ ๆ ไปนั้นจะลุกลามไปทั่วทั้งประเทศ เพื่อจะทำลายปลวกร้ายที่กำลังทำลายบ้านประชาธิปไตยของประเทศไทยให้สิ้นซาก
ดังนั้นการทำลาย “ระบบยุติความเป็นธรรม” ในประเทศไทยซึ่งคือปลวกร้ายคอยกัดกร่อนประเทศนั้น จึงไม่ใช่เรื่องระหว่าง ท่านนายกทักษิณ ชินวัตร กับนายสนธิ ลิ้มทองกุล หรือเรื่องระหว่างรัฐบาลกับฝ่ายค้าน หรือเรื่องระหว่าง นปช. กับ พธม. แต่เป็นเรื่องความรับผิดชอบของคนไทยทั้งชาติ ที่ต้องกระทำร่วมกัน ด้วยการแสดงพลังอันยิ่งใหญ่ ขับไล่ปลวกร้ายนี้ออกไป ก่อนที่บ้านประชาธิปไตยหลังงามของประเทศไทยนี้จะพังทลายอย่างย่อยยับลงมาทับผู้อยู่อาศัยในบ้านทุก ๆ คน
แล้วพบกันอีกครั้งที่เวทีแสดงพลังประชาธิปไตยครั้งหน้าครับ
ปูนนก
จาก thaifreenews