WeLoveOurKing
How to insert weloveking to you website

ทรงพระเจริญ

ขัตติยาอัด คอป แต่งนิทานโยนความผิดเสธ แดง 18 9 55

สถาบันกษัตริย์อยู่ได้ด้วยความจริง

ธงชัย วินิจจะกูล: Truth on Trial

สถาบันกษัตริย์ถึงเวลาต้องปรับตัว

ตุลาการผิดเลน !


ฟังกันให้ชัด! "นิติราษฎร์" ไขข้อข้องใจ ทุกคำถามกรณีลบล้างผลพวงรัฐประหาร





วิดีโอสอนการทำน้ำหมักป้าเช็ง SuperCheng TV ฉบับเต็ม 1.58 ชม.

VOICE NEWS

Fish




เพื่อไทย

เพื่อไทย
เพื่อ ประชาธิปไตย ขับไล่ เผด็จการ

Thursday, December 18, 2008

ผมอยากให้นายอภิสิทธิ์ เป็นนายกฯไปจนครบเทอมครับ

ที่มา thaifreenews



บทความโดย...ลูกชาวนาไทย

150

แม้ว่าผมจะรู้ว่ามันเป็นไปได้ยากก็ตาม เพราะสภาพการเกิดของรัฐบาลที่ไม่ปกติเช่นนี้ ยอมไม่อาจดำรงอยู่ได้นานนัก ไม่ว่าสภาพเศรษฐกิจ ความแตกแยกในสังคม หรือการต่อรองในพรรคร่วมรัฐบาลต่างๆ ก็ตาม

รัฐบาลแบบนี้มีความหวังที่จะชนะการเลือกตั้งในครั้งต่อไปก็คือ การหาเงินให้มากเข้าไว้ เพื่อเอาไปใช้ซื้อเสียงประชาชนในการเลือกตั้งครั้งต่อไป พรรคร่วมรัฐบาลต่างๆ โดยเฉพาะกลุ่มเพื่อนเนวิน รู้ว่าตนทรยศต่อประชาชน ดังนั้น ความหวังของพวกเขาจึงมีวิธีเดียว ในการเลือกตั้งครั้งต่อไปคือ ต้องซื้อเสียงเอาชนะคู่แข่งขั้นของพรรคเพื่อไทยให้ได้

ไม่ต้องพูดถึงนโยบายที่จะใช้สำหรับจูงใจประชาชน เพราะคงไม่สามารถทำตามนโยบายอะไรสำเร็จได้สักอย่างเดียว และในท้ายที่สุดประชาชนก็จะนำผลงานของรัฐบาลนี้ ไปเทียบกับ”ยุคทองของชาวรากหญ้า” คือช่วงสมัยของรัฐบาลท่านทักษิณ ชินวัตร แล้วตัดสินใจเลือก วันยุบสภา เราคงเห็นฝูงผึ้งแตกรังบินกันให้ว่อน

ทำไมผมจึงอยากให้รัฐบาลนี้อยู่ครบเทอม หรืออย่างน้อยก็อยู่ 1 ปี

เพราะผมคิดในเชิงยุทธศาสตร์ว่า มีแต่วิธีนี้เท่านั้น ที่จะ "สลายม็อบพันธมิตร" ลงได้อย่างสิ้นเชิง ยิ่งทอดระยะเวลาออกไป การรวมตัวกันของกลุ่มพันธมิตรก็ยิ่งยากยิ่งขึ้น ส่วนพวกอำมาตย์ที่อยู่เบื้องหลังม็อบพันธมิตรก็ยิ่งแก่มากขึ้น บารมีของพวกเขาก็ยิ่งเสื่อมถอยลงมากขึ้น รวมทั้งความเสียหายต่างๆ ที่พวกม็อบพันธมิตร ก่อขึ้นก็จะส่งผลอย่างชัดเจนต่อประชาชน

สุดท้ายพวกเขาก็ยิ่งเสื่อมลงไปเรื่อยๆ


แม้ว่าคนพวกนี้จะยึดอำนาจรัฐได้ แต่ก็ยังไม่อาจ “ล้มระบอบการเลือกตั้ง” หรือระบอบประชาธิปไตยลงไปได้ เรายังคงรักษาประชาธิปไตยเอาไว้ได้ เมื่อระบบการเมืองยังเป็น "ระบบเลือกตั้ง" เหมือนเดิม เมื่อการเลือกตั้งมาถึง แม้จะมีอำนาจรัฐ แต่เมื่อคนเลือกไม่ประทับใจผลงานรัฐบาล ความพ่ายแพ้ก็จะยิ่งรุนแรงกว่าเดิม เหมือนช่วงรัฐบาลนายชวน หลีกภัยในการเลือกตั้งปี 2544 ที่เป็นปัจจัยเสริมหลักที่ทำให้พรรคไทยรักไทยชนะการเลือกตั้งอย่างถล่มทลาย

ในตอนนั้นจะก่อม็อบพันธมิตร เพื่อล้มรัฐบาลจากเลือกตั้งอีกครั้งหนึ่ง ก็คงยากแล้ว เพราะต้องเริ่มนับหนึ่งกันใหม่ทีเดียว

ยิ่งอภิสิทธิอยู่ได้เกินปี อำมาตย์ยิ่งพ่ายแพ้ครับ เว้นเสียแต่ว่ารัฐบาลนายอภิสิทธิ์จะมีผลงานได้เทียบเท่าได้กับรัฐบาลของท่านทักษิณ ชินวัตร หากเป็นอย่างนั้นประชาชนก็ได้ประโยชน์ ไม่มีปัญหาอะไร

แต่ผมคิดว่ารัฐบาลที่พิกลพิการเช่นนี้ มีที่มาเยี่ยงรัฐบาลโจร ก็ยิ่งยากที่จะทำอะไรสำเร็จ หรือสร้างผลงานได้ นอกจาก "การแย่งกันกินเพื่อดับความหิวโหย" ในช่วงที่ผ่านมาเท่านั้นเอง

ในการทำสงครามนั้น บางทีการถอย คือ การรุกทางยุทธศาสตร์ที่สำคัญที่สุด เพราะการรุกไปข้างหน้าอย่างเดียว ในสถานการณ์ที่ไม่เอื้ออำนวย บางทีมันก็ไม่อาจทำให้ชนะสงครามได้ แต่การถอยเพื่อให้ศัตรูได้เคลื่อนกำลังเข้ามาสู่พื้นที่สังหาร น่าจะเป็นยุทธศาสตร์ที่ดีที่สุดก็เป็นได้

ตอนนี้แม้ว่าพรรคเพื่อไทยจะสามารถครองอำนาจรัฐต่อจากพรรคพลังประชาชนได้ แต่ก็ไม่สามารถกุมบังเหียนอำนาจรัฐได้อย่างมั่นคง เพราะได้รับการต่อต้านจากพวกศักดินาอำมาตยาธิปไตยอย่างรุนแรง พวกเขาพร้อมที่จะทำทุกอย่าง โดยไม่คำนึงถึงความเสียหายต่อประเทศชาติประชาชนแต่อย่างใด เพราะกำลังหน้ามืดเข้าตาจน ไม่ได้สติ คิดแต่จะเอาชนะเพียงถ่ายเดียว

สถานการณ์เช่นนี้ วิธีการรับมือที่ดีที่สุดคือ การถอยทางยุทธศาสตร์เท่านั้น จึงจะสามารถถนอมกำลังหรือออมกำลังเอาไว้ได้ ไม่จำเป็นต้องทุ่มกำลังเข้าปะทะหักหาญกับข้าศึกที่กำลังบ้าเลือด เข้าตาจน

ตอนนี้ท่านนายกฯทักษิณ และพรรคเพื่อไทย คงต้องยืมยุทธวิธีของพระเจ้าอะเล็กซานเดอร์แห่งรัสเซียสมัยที่รบกับนโปเลียนมาใช้ คือ เมื่อนโปเลียนกรีธาทัพบุกเข้ามาอย่างเอาเป็นเอาตาย การยกทัพออกไปรบแตกหักมีแต่จะทำให้พ่ายแพ้เท่านั้น วิธีที่ดีที่สุดคือ การยอมทิ้งกรุงมอสโคว์เสีย เพื่อล่อให้ศัตรูเข้ามาติดกับ เผชิญกับสภาพอากาศที่เลวร้ายและความหนาวเย็น

หลังจากนั้นจึงค่อยๆ สลายกำลังของศัตรูลง

การทำสงครามนั้น การถอยไม่ใช่การพ่ายแพ้ แต่เป็นการปรับกำลัง ปรับยุทธศาสตร์ ย้ายที่ตั้ง และเงื่อนไขต่างๆ ใหม่ เพื่อให้สามารถรับมือกับศัตรูได้อย่างสอดคล้องกับความเป็นจริงมากยิ่งขึ้น

แน่นอนพวกเราบางคนไม่อาจทนรับกับสภาพที่เห็นนายมาร์กเป็นนายกฯได้ ผมเองก็เหมือนกัน ไม่เปิดทีวีอีกเลยหลังจากวันที่ 15 ธันวาคม 2551 ที่ผ่านมา (ที่จริงตั้งแต่วันที่ 10 ธค.51 วันที่ผมออกไปเที่ยวป่า) เพราะไม่สามารถทนการคลื่นไส้อาเจียนได้ ซึ่งสมัยที่ คมช. ครองอำนาจผมก็ทำเช่นนี้เหมือนกันคือ ปิดทีวีและหยุดการรับข่าวโทรทัศน์ และหนังสือพิมพ์เสีย รับสารเพียงทางอินเตอร์เน็ตอย่างเดียว ซึ่งทำให้เราไม่ต้องเต้นไปกับการสร้างข่าวอีกต่อไป จับแค่ประเด็นทางอินเตอร์เน็ตก็โอเคแล้ว

แต่เพื่อผลทางยุทธศาสตร์ เราก็คงต้องยอมครับ การก่อม็อบขับไล่นายอภิสิทธิ์ ผมก็คงไม่ห้ามแต่อย่างใด แม้จะรู้ว่ามันไม่มีประโยชน์ก็ตาม เพราะเราก็เห็นแล้วว่า ม็อบไม่มีทางล้มรัฐบาลได้ ดูตัวอย่างของม็อบพันธมิตรเป็นต้น แม้จะยึดสนามบินสุวรรณภูมิกดดันรัฐบาลอย่างไร รัฐบาลก็ไม่ล้ม แต่ที่ล้มไปเพราะการตัดสินของศาล รธน.ต่างหาก

กลุ่มใดจะชุมนุมแสดงพลังก็คงไม่มีปัญหาแต่อย่างใดครับ เพราะเป็นเสรีภาพตามระบอบประชาธิปไตย

ที่จริงตอนนี้ผมว่าสิ่งที่ควรทำมากที่สุดคือ การไปสร้างความเข็มแข็งให้กับพรรคเพื่อไทย ขยายฐานมวลชนและพัฒนาผู้นำพรรครุ่นใหม่ให้มีบทบาทมากขึ้น เพื่อรองรับบุคลากรเก่าๆ ที่ต้องยุติบทบาทไป ส่งเสริม สส.หน้าใหม่ให้อภิปรายในสภา และทำงานมากยิ่งขึ้น การเมืองในระบอบประชาธิปไตย มีแพ้มีชนะกันไม่มีใครครองอำนาจรัฐได้ตลอดไป

อย่างน้อยสงครามครั้งนี้ เราก็ยังรักษาระบอบประชาธิปไตยเอาไว้ได้ ระบอบการเลือกตั้งโดยประชาชนก็ยังคงอยู่ กลุ่มอำมาตย์ยังไม่อาจสถาปนาระบอบแต่งตั้งขึ้นมาได้ ถือว่า พวกเขาไม่ได้ประสบความสำเร็จอะไรมากมายนัก ยกเว้นแต่ดันอภิสิทธิ์ ขึ้นเป็นนายกฯ ภายใต้สภาพการณ์ที่ไม่มั่นคงนี้เท่านั้น

สภาพแวดล้อมทางการเมืองในอนาคต ยังคงเอื้ออำนวยให้กับฝ่ายประชาธิปไตยอยู่อย่างพร้อมมูล