ที่มา ประชาทรรศน์
แจงเหตุสลายผู้ชุมนุม 7 ต.ค. ‘ม็อบพันธมาร’ เหิมเกริมบุกล้อมรัฐสภาขณะนายกฯแถลงนโยบาย ผบช.น.ปัดไม่ได้สั่งยิงแก๊สน้ำตา ระบุเป็นคำสั่ง สตช.เพื่อควบคุมฝูงชน ลั่นอย่าโยนบาปให้ตำรวจเป็น 'เหยื่อทางการเมือง'
จากกรณีที่กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.) บุกปิดล้อมรัฐสภาเมื่อวันที่ 7 ต.ค.2551 เพื่อคัดค้านไม่ให้รัฐบาลนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกรัฐมนตรี เข้าไปแถลงนโบายทำให้เจ้าหน้าที่ตำรวจต้องมีการสลายการชุมนุม จนทำให้มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บนั้น
วันนี้ (20 ธ.ค.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พล.ต.ท.สุชาติ เหมือนแก้ว ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล (ผบช.น.) ได้เดินทางไปให้ถ้อยคำต่อคณะกรรมการสิทธิมนุษยชน ตามรายงานผลการตรวจสอบการละเมิดสิทธิมนุษยชน ที่คณะกรรมการสิทธิฯ สรุปชี้มูลการตรวจสอบข้อเท็จจริงส่งคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) พิจารณาว่า ในการควบคุมฝูงชนและการปราบจลาจลที่เกิดขึ้นในพื้นที่กองบัญชาการตำรวจนครบาลเป็นไปตาม “แผนกรกฎ 48” และ “แผนตุลาฯ 50” ซึ่งเป็นแผนการปฏิบัติการตามปกติ
ทั้งนี้ กองบัญชาการตำรวจนครบาล (บช.น.) จะเป็นผู้บัญชาการเหตุการณ์ และมีรองผู้บัญชาการตำรวจนครบาลเป็นผู้ช่วย หมุนเวียนกัน 12 ชั่วโมง จะมีคำสั่งและแผนการปฏิบัติรายละเอียดปรากฎตามเอกสารที่ผู้ให้ถ้อยคำมอบให้คณะอนุกรรมการฯผู้ให้ถ้อยคำจะกำกับดูแล หน่วยกำลังที่มาปฏิบัติงานจะมี ผบ.ของหน่วยนั้นๆ มาดูแลอีกชั้นหนึ่ง โดยเมื่อวันที่ 6 ต.ค.2551 เวลา 20.00 น. , วันที่ 7 ต.ค. 2551 เวลา 08.00 น. พล.ต.ต.ลิขิต กลิ่นอวล เป็นรอง ผบ.เหตุการณ์ วันที่ 7 ต.ค. เวลา 08.00 น. 20.00 น. พล.ต.ต.เอกรัฐ มีปรีชา เป็นรองผบ.เหตุการณ์ ในวันที่ 6 ต.ค. ช่วงเวลาเย็นสายสืบรายงานว่ากลุ่มพันธมิตรฯได้เคลื่อนย้ายจากทำเนียบรัฐบาลทราบว่าไปที่รัฐสภา มีประมาณ 2,000-3,000 คน
ต่อมาเวลาประมาณ 23.00 น. ได้รับคำสั่งจากผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติให้เตรียมเอกสาร คำชี้แจงให้คณะรัฐมนตรีทราบ เมื่อผู้ให้ถ้อยคำและผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติให้เตรียมเอกสาร คำชี้แจงให้คณะรัฐมนตรีทราบ เมื่อผู้ให้ถ้อยคำ และผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติให้เตรียมทำเนียบรัฐบาลแห่งใหม่ ที่สนามบินดอนเมือง ไปที่ห้องรับรองพบนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ นายกรัฐมนตรี พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีอีกหลายท่าน ผู้ให้ถ้อยคำได้รายงานสถานการณ์ให้ทราบ
จากนั้น เมื่อนายกรัฐมนตรีได้รับทราบข้อมูลแล้วจึงให้ผู้ให้ถ้อยคำกลับไปเตรียมพร้อมที่ บชน. ระหว่างเดินทางกลับขณะอยู่บันรถ เมื่อวันที่ 7 ต.ค.เวลา 02.00-03.00 น. ผู้ให้ถ้อยคำ พล.ต.ต.อนันต์ ศรีหิรัญ ผบก.น. 1 และพ.ต.อ.สมชายฯ ผกก.สน.ดุสิต ไปส่งเสด็จสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ แล้วกลับไปที่บชน. ทราบว่าระหว่างที่ไปส่งเสด็จฯ พล.อ.ชวลิต ได้เดินทางมาประชุมโดยมีผู้บังคับหน่วยของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ(สตช.) เข้าร่วมประชุม
โดย สตช.ยังได้รับมอบหมายจากคณะรัฐมนตรีให้เปิดทางให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภา เข้าประชุมที่รัฐสภา ในระหว่างการประชุมได้หารือว่าจะเลื่อนประชุมได้หรือไม่ และย้ายที่ประชุมได้หรือไม่ ซึ่งท้ายสุดก็ได้ข้อสรุปว่า ต้องรักษารัฐสภาและเปิดถนนให้ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภา เข้าที่ประตูด้านถนนพิชัย มีเจ้าหน้าที่ตำรวจ 3 กองร้อยเข้าไปรักษารัฐสภา
ต่อมา ในช่วงเช้าเจ้าหน้าที่ตำรวจดำเนินการจนสามารถเปิดประตูทางเข้ารัฐสภาที่ถนนพิชัยได้ เมื่อประชุมสภาเสร็จ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภาไม่สามารถออกจากรัฐสภาได้เพราะกลุ่มพันธมิตรฯได้ปิดล้อมรัฐสภาไว้ ซึ่งเวลา 15.00 น. มีการเตรียมการเพื่อเปิดทางที่ประตูรัฐสภา ที่ถนนพิชัย พล.ต.ต.เอกรัฐได้เจรจาต่อรองกับแกนนำขอเปิดทางเกือบ 1 ชั่วโมง แต่ไม่สามารถตกลงกันได้จึงต้องให้กำลังเปิดทาง ได้รับรายงานว่ามีผู้ได้รับบาดเจ็บหลายราย มีผู้ได้รับบาดเจ็บขาขาดจากการควบคุมฝูงชนด้วย
ต่อมามีข่าวรายงานว่า กลุ่มพันธมิตรฯจะบุกยึดบชน. ในช่วงเย็น เจ้าหน้าที่จากหน่วย ตชด. ได้วางกำลังรักษาพื้นที่ไว้ที่บริเวณบชน. ลานพระบรมรูปทรงม้าเมื่อผู้ชุมนุมได้เคลื่อนตัวมาที่ ตามรายงานจึงได้มีการปะทะกันโดยใช้แก๊สน้ำตาอีกครั้งในเวลาประมาณ 19.00 น.ต่อมามีทหารเข้ามาในพื้นที่ ฝ่ายผู้ชุมนุมเข้าใจว่าทหารปฏิวัติแล้วจึงโห่ร้องด้วยความดีใจ แล้วถอยกลับที่ตั้งที่ทำเนียบรัฐบาล แต่เมื่อทราบว่าทหารไม่ได้ปฏิวัติ แกนนำจึงปราศรัยโจมตีทหาร การชุมนุมของพันธมิตรฯเริ่มตั้งแต่เดือนพ.ค. 2551 ในระหว่างนี้มีการร้องเรียนการชุมนุมโดยตลอด เช่นการปิดถนน ยึดสถานที่ราชการและมีการดำเนินการทางศาล ในการชุมนุมมีการปราศรัยบนเวทีอย่างต่อเนื่องและแกนนำจะประกาศว่าจะทำกิจการรมอะไรให้ผู้ร่วมชุมนุมทราบ สตช.ไม่ได้รับนโยบายให้สลายการชุมนุม แต่ทำเพื่อเปิดทางให้ส.ส.และส.ว. ที่เข้าประชุมในสภา ให้ออกจากรัฐสภาเท่านั้น สำหรับการใช้แก๊สน้ำตาควบคุมฝูงชนในช่วงงเย็นเกิดจากผู้ชุมนนุมต้องการบุกยึดบชน.เจ้าหน้าที่จึงจำเป็นต้องใช้แก๊สน้ำตาสกัดกั้นไม่ให้เข้ามาได้
ซึ่งหน่วยงานที่ปฏิบัติงานในวันดังกล่าวเป็นไปตามคำสั่งและแผนที่สตช.ได้จัดทำไว้ หน่วยผู้ใช้แก๊สน้ำตามี 3 หน่วย คือ นเรศวร อรินทราช กองปราบ และผู้ใช้จะได้รับการฝึกฝนการใช้อาวุธดังกล่าว ผู้ให้ถ้อยคำรับผิดชอบในฐานะผบ.เหตุการณ์ ตลอดเวลา วันที่ 6 ต.ค.2551เวลา 20.00 น. และวันที่7 ต.ค. เวลา 08.00 น. พล.ต.ต.ลิขิต กลิ่นอวล เป็นรองผบ.เหตุการณ์ และพล.ต.ต.เอกรัฐ มีปรีชา รองผบ.เหตุการณ์เป็นผู้ช่วยของผู้ให้ถ้อยคำ ในการควบคุมดูแล ตั้งแต่เวลา 08.00-20.00 น. ผู้ให้ถ้อยคำไม่ได้เป็นผู้สั่งยิงแก๊สน้ำตา ทั้งนี้การปฏิบัติแล้วแต่สถานการณ์ในพื้นที่ขณะนั้นโดยมีผู้ควบคุมกำลังของหน่วยนั้นๆ เป็นผู้สั่งการ ภายหลังการควบคุมการชุมนุมในช่วงเช้าของวันที่ 7ต.ค. ที่บริเวณสามแยกพิชัยตรงข้ามประตูทางออกของรัฐสภาแล้ว ผู้ควบคุมดูแลกำลังของตำรวจปฎิบัติการพิเศษ (ตปพ.) เป็นผู้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ตำรวจใช้กำลังและอาวุธระเบิดแก๊สน้ำตาเข้าควบคุมการชุมนุมอีกครั้งหนึ่งในช่วงเย็นของวันที่ 7 ต.ค. ที่บริเวณรัฐสภา
ซึ่งปกติแล้วแก๊สน้ำตาไม่น่าจะทำให้เกิดอันตรายกับประชาชนได้ ถ้าเป็นแบบที่ยิงจากปืนจะมีระยะประมาณ 120 หลา วัตถุประสงค์ในการใช้เพื่อเคลียร์บุคคลให้ออกจากพื้นที่เท่านั้น ไม่ได้มีวัตถุประสงค์เพื่อทำร้ายประชาชนแต่อย่างใด ผู้ให้ถ้อยคำได้รับทราบข้อมูลว่า ผู้ชุมนุมทำระเบิดปิดงปองบาดเจ็บสาหัส ไม่น่าเกิดจากแก๊สน้ำตา ในกรณีที่มีภาพข่าวเจ้าหน้าที่ตำรวจยิงแก๊สน้ำตาไปที่แนวยางรถยนต์ที่ผู้ชุมนุมวางไว้เป็นกันชนระหว่างผู้ชุมนุมและเจ้าหน้าที่นั้น เจ้าหน้าที่เกรงว่าในแนวยางรถยนต์ดังกล่าวอาจมีระเบิดที่ผู้ชุมนุมชุกซ่อนเอาไว้จึงต้องยิงยางรถยนต์ตรวจสอบเพื่อป้องกันความปลอดภัย