WeLoveOurKing
How to insert weloveking to you website

ทรงพระเจริญ

ขัตติยาอัด คอป แต่งนิทานโยนความผิดเสธ แดง 18 9 55

สถาบันกษัตริย์อยู่ได้ด้วยความจริง

ธงชัย วินิจจะกูล: Truth on Trial

สถาบันกษัตริย์ถึงเวลาต้องปรับตัว

ตุลาการผิดเลน !


ฟังกันให้ชัด! "นิติราษฎร์" ไขข้อข้องใจ ทุกคำถามกรณีลบล้างผลพวงรัฐประหาร





วิดีโอสอนการทำน้ำหมักป้าเช็ง SuperCheng TV ฉบับเต็ม 1.58 ชม.

VOICE NEWS

Fish




เพื่อไทย

เพื่อไทย
เพื่อ ประชาธิปไตย ขับไล่ เผด็จการ

Tuesday, December 16, 2008

ประชาธิปัตย์รัฐประัหาร

ที่มา thaifreenews

บทความ โดย ปูนนก


เมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549 เวลาราว 19.00 น. มีข่าวด่วนทางช่อง 9 อสมท. โดยท่านนายกทักษิณ ชินวัตร สั่งปลด พล.อ. สนธิ บุญรัตกลิน จากตำแหน่งผู้บัญชาการทหารบก ซึ่งสถานการณ์เวลานั้นกำลังชุลมุนวุ่นวายจากข่าวการรัฐประหารที่แพร่กระจายออกมาอย่างรวดเร็ว และในที่สุดเวลาประมาณราว 23.00 น. ก็มีแถลงการณ์การรัฐประหารโดย “คณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุข” (คปค.) ซึ่งมีพล.อ. สนธิ บุญรัตกลิน เป็นหัวหน้าคณะผู้ก่อการ พร้อมด้วยผู้บัญชาการเหล่าทัพทุกเหล่าทัพออกมานั่งเรียงหน้ากันออกแถลงการณ์หน้าทีวี เพื่อประกาศการยึดอำนาจจากรัฐบาลที่มาจากการเืลือกตั้งของนายกทักษิณ ชินวัตร


ในเวลานั้นทุึก ๆ คนในบ้านเมืองต่างสับสนวุ่นวายไม่รู้ใครเป็นใคร ตามถนนแยกสำคัญ ๆ และสถานที่ราชการมีทหารแต่งชุดพรางคาดผ้าแถบสีเหลืองไว้ที่แขนยืนถือปืนคุมเชิงอยู่ทั่วไป เมื่อรัฐบาลของประชาชน (ที่มาจากเสียส่วนใหญ่ของประเทศ) ถูกล้มไป คณะรัฐมนตรีีและผู้ที่ถูกคาดหมายว่าจะอยู่ฝ่ายเดียวกันกับรัฐบาลนายกทักษิณ ถูกจับกุม, กักตัว, สถานีโทรทัศน์ ITV ที่ถูกโจมตีว่าอยู่ฝ่ายทักษิณถูกเปลี่ยนมือมาเป็น TPBS ประเทศถูกประกาศกฎอัยการศึกกว่าครึ่งประเทศ



ระยะเวลากว่าปีที่คณะรัฐประหารได้แต่งตั้งรัฐบาลเผด็จการขึ้นมาปกครองประเทศ โดยไม่สนใจต่อความรู้่สึกของประชาชนส่วนใหญ่ และนานาชาติ ที่แสดงปฏิกริยาต่อต้านอย่างชัดเจน ในวันที่ 19 กันยายน 2549 นั้นคนทั้งประเทศต่างรู้สึกช๊อคต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างไม่ทันตั้งตัว ไม่มีใครคาดคิดว่าประเทศไทยที่เจริญก้าวหน้ามาไกลมากจนเกือบจะกลายเป็นผู้นำอาเซียน หรือ ผู้นำแห่งเอเชียในอนาคตอันใกล้ กลับเกิดเหตุการณ์อย่างนั้นขึ้นได้



ประชาขนไทยถูกจับเป็นตัวประกันทั้งประเทศ ทุก ๆ คนถูกมัดมือ มัดเท้า ปิดปาก ด้วยกฏอัยการศึกในเวลานั้น แต่ถึงขนาดนั้นด้วยพลังแห่งความรักในอิสระที่เรียกว่าไทย พลังเสื้อแดงที่เพิ่งจะเริ่มก่อตัวขึ้้นเหมือนหน่อเล็ก ๆ ด้วยการสื่อสารที่ถูกปิดกั้นอย่างเกือบจะหมดหนทาง แต่จากการบอกปากต่อปาก จากทางโทรศัพท์ จากทางอินเตอร์เน็ท เท่าที่ทำได้ ก็ยังได้กระจายความรู้และข้อมูลให้กับประชาชนชาวรากหญ้าได้รับทราบถึงความเลวร้ายของเผด็จการได้อย่างมากมาย จนกระทั่งการโหวตรับรัฐธรรมนูญปี 50 ที่เผด็จการร่างขึ้นมาเพื่อทำลายระบบรัสภาไทย ทั้ง ๆ ที่ฝ่ายคนรักประชาธิปไตย (เสื้อแดง) ถูกกดดันและปิดกั้นทุกทาง แต่ก็ช่วยกันรณรงค์อย่างเต็มที่จนฝ่ายเผด็จการสามารถโหวตชนะไปอย่างเฉียดฉิว



หลังจากผ่านการเลือกตั้งวันที่ 23 ธันวาคม 2550 เป็นต้นมา รัฐธรรมนูญปี 50 ก็แผลงฤทธิ์ รัฐบาลท่านนายกสมัคร และท่านนายกสมชาย ที่มาจากพรรคพลังประชาชน ไม่สามารถทำงานใด ๆ ในการพัฒนาประเทศได้เลย เพราะต้องฝ่าด่านการตรวจสอบมากมาย ยังไม่นับรวมถึงการออกมาป่วนบ้านเมืองของ “ม๊อบมีเส้น” พร้อมกับคำสั่งที่ไม่มีที่มาว่า ”อย่าทำร้ายประชาชนของฉัน” ที่แพร่กระหึ่มไปทั่ว ทำให้ระยะเวลาเกือบปีที่ผ่านมา รัฐบาลที่มาจากพรรคพลังประชาชนเหมือนถูกผูกมือ มัดเท้า ทำอะไรไม่ได้เลย แต่กระนั้นรัฐบาลก็ยังคงสภาพความเป็นรัฐบาลเอาไว้ได้ แม้ว่าจะถูกกดดันทุก ๆ ทางก็ตาม



แม้ว่าจะไม่มีกองทัพที่ให้การสนับสนุัน แม้ว่าจะไม่มีกลุ่มของสื่อสารมวลชนคอยเชียร์ แม้ว่าจะไม่มีนักวิชาการมากล่าวยกย่อง แม้ว่าจะไม่อำนาจนอกระบบคอยปกป้อง แม้ว่าจะไม่มีตุลาการศาลหน้าด้านคอยตัดสินเอียงข้างให้ แม้ว่าจะไม่มีอะไรเลยที่มองไปแล้วจะได้เห็นแสงสว่างข้างหน้า แต่ทว่าด้วยจิตใจที่มุ่งมั่นของบุคคลที่เรียกตนเองว่า “คนไทย” ผู้มีสายเลือดที่รักและหวงแหนอิสระเสรีภาพมาแต่อดีต ก็ไม่เคยย่อท้อต่อการต่อสู้เพื่อให้ได้มาซึ่งอิสระและเสรีภาพให้กับตนเองและประเทศนี้



เหล่าผู้่สูงอายุ, คนหนุ่มสาว, เยาวชน, คนวัยทำงาน, นักเรียน, นักศึกษา, แม้แต่ผู้ทรงศีลที่มีจิตใจเป็นธรรม ต่างก็ร่วมกันที่จะยืนหยัดเพื่อนำเอาความเป็นอิสระให้หลุดพ้นจากการครอบครองของเผด็จการออกไปให้ได้ และด้วยความสงบและสันติปราศจากอาวุธ การใส่เสื้อสีแดง หรือผูกสัญลักษณ์สีแดงเป็นการแสดงให้เห็นถึงความรักในความเป็นอิสระของคนในชาตินี้ พวกเขาเหล่านั้นคือนักสู้กับเหล่าเผด็จการและต้องการหลุดพ้นจากความกดขี่ดุจดังที่บรรพบุรุษได้กระทำมาอย่างยาวนาน



เวลานี้อำนาจรัฐได้ตกไปอยู่ในมือของพรรคประชาธิปัตย์ (ที่ปฏิเสธไม่ได้เลยว่ามีส่วนเกี่ยวข้องอย่างเต็มที่กับผู้ก่อการร้ายสากล พธม.) การขึ้นมาเป็นรัฐบาลในครั้งนี้ไม่ใช่ด้วยคะแนนเสียงข้างมากเพราะประชาชนเลือกเข้ามา แต่ด้วยกุศโลบายที่เลวร้ายที่สุดของกลุ่มอมาตย์ที่มีอิทธิพลครอบประเทศนี้อยู่



แต่ถึงอย่างไรการต่อสู้ของผู้รักประชาธิปไตยผู้มีจิตใจเต็มล้นไปด้วยความมุ่งมั่นจะยัีงคงอยู่ต่อไปภายใต้สัญลักษณ์เสื้อแดง เวลานี้สนามรบได้เปลี่ยนไปอยู่ที่ 2 สนาม คือ



1. สนามรัฐสภา รัฐบาลประชาธิปัตย์มีเสียงปริ่มน้ำมากมีเสียงในสภา 235 เสียง และตำแหน่งรัฐมนตรีมี 35 ตำแหน่ง อย่างน้อยที่สุดที่พรรครัฐบาลจะำดำรงตำแแหน่งรัฐมนตรีก็คือ 33 ตำแหน่ง (อาจจะมีคนนอก 2 ตำแหน่ง) เสียงในสภาก็จะเหลืออยู่ 202 เสียง ขณะที่ฝ่ายค้านมีอยู่แน่ ๆ 198 เสียง (ปัจจุบัน) และถ้ามีการเลือกตั้งซ่อมอีก 29 ที่นั่งเพียงแค่พรรคเพื่อไทยได้มาเพียง 20 ที่นั่งจาก 29 ก็จะกลายเป็น 218 เสียงขณะที่รัฐบาลมีเสียงเพิ่มมาอีกเพียง 9 ก็จะกลายเป็น 211 เสียง (นี่คิดอย่างเข้าข้างรัฐบาลที่สุดแล้ว ซึ่งที่จริงเพื่อไทยน่าจะได้กลับมาทั้งหมด) แค่โหวตลงมติเพียงครั้งเดียวก็จบแล้วครับ ดังนั้นการต่อสู้ในสภาจึงจะเริ่มต้นนับแต่บัดนี้เป็นต้นไป และรับรองได้ว่าอาจจะเป็นรัฐบาลที่มีอายุสั้นที่สุด ในประวัติศาสตร์ก็เป็นได้



2. สนามการสื่อสาร ต่อไปนี้ฝ่ายประชาธิปไตยจะต้องหาช่องทางในการสื่อสารกับพี่น้องประชาชนไทยให้ได้รับความรู้มากที่สุด ถึงเบื้องหลังเบื้องลึกถึงสาเหตุที่เกิดวิกฤตการณ์ของประเทศในครั้งนี้ ในเมื่อการสื่อสารหลักถูกฝ่ายเผด็จการครอบครองได้เบ็ดเสร็จ การสื่อสารรองจึงจะเกิดขึ้นตามมาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และแพร่หลายครอบคลุมมากยิ่งขึ้น ท่านจักรภพ ได้แถลงข่าวแล้วว่าต่อไปนี้จะมีการจัดทำเครือข่ายการสื่อสารทางอินเตอร์เน็ต ทั้งวิทยุ, และทีวีผ่านดาวเทียม ให้ครอบคลุมมากยิ่งขึ้น โดยการสื่อสารนี้จะเข้าถึงคนไทยมากยิ่งขึ้น และเชื่อว่า จ้าวไอที อย่างท่านนายกทักษิณ ชินวัตร คงจะไม่พลาดที่จะจัดทำเวปไซด์ของท่านขึ้นมาอย่างแน่นอน และรวมถึงทีวีผ่านดาวเทียมที่จะมีการจัดตั้งขึ้นทำนองเดียวกับ ASTV สงสารการสื่อสารจะดุเดือดเลือดพล่านไม่แพ้กัน



และที่สำคัญท่านวีระ ได้กำลังจะจัดตั้งสถาบันเสื้่อแดงขึ้นมาเพื่อเป็นศูนย์ฯ รวมของการดำเนินงานทั้่งหมดของกลุ่มคนเสื้อแดงผู้้รักประชาธิปไตย นี่คือสงครามที่กำลัีงดุเดือดขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้



ฝ่ายเผด็จการกุมอำนาจทุกส่วนของประเทศเอาไว้ แม้แต่อำนาจการบริหารประเทศ แต่ฝ่ายประชาธิปไตยกุม (อำนาจ) หัวใจที่รักอิสระเสรีของประชาชนไทยเอาไว้ เราจะได้เห็นการต่อสู้อย่างดุเดือดใน 2 สมรภูมินี้ สำหรับพี่น้องผู้รักประชาธิปไตยทุกท่าน ขอให้ท่านได้ติดตามการดำเนินงานของผู้ที่จะนำทิศทางในการต่อสู้ให้ดี ท่านนายกทักษิณ ชินวัตร เป็นสัญลักษณ์แห่งการต่อสู้เพื่อนำประชาธิปไตยกลับมาสู่ประเทศในครั้งนี้ ดังนั้นผมเชื่อว่า เพียงแค่ท่านนายกทักษิณ ชินวัตร “จะโฟนอิน” เข้ามาในรายการความจริงวันนี้ ก็สั่นสะเทือนไปทุกองคาพยพของเผด็จการแล้ว และถ้าวันหนึ่งท่านนายกทักษิณจัดรายการ “ทักษิณคุยกับประชาชนไทย” ผ่านเวปไซด์ของท่าน โดยออกอากาศสด ๆ ผ่านโทรทัศน์ผ่านดาวเทียม แล้วอะไรจะเกิดขึ้น...



แค่คิดเผด็จการอมาตย์ก็หนาวไปถึงขั้วหัวใจแล้ว