ที่มา ประชาทรรศน์
คอลัมน์ : ตะแกรงข่าว โดย *อัฐศิริ*
จากที่วาดฝันหวังว่าเส้นทางการเป็น “รัฐบาล” ของพรรคประชาธิปัตย์ จะสดใส ปานประหนึ่งโรยด้วยดอกกุกลาบบน “พรมสีเขียว” เนื่องจากมีมือที่มองไม่เห็นและฝ่ายสนับสนุนอยู่เบื้องหลัง ทั้งผลักทั้งดัน สู้อุตส่าห์แผ้วถางทางสะดวกให้ โดยจัดทำกระบวนการต่างๆ อย่างเป็นขั้นตอน มาตั้งแต่มีการยึดอำนาจจากรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง เมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549
แต่การณ์ไม่ได้เป็นไปอย่างที่คิด เพราะ “ม็อบพันธมาร” เกิดได้ใจเหิมเกริม ไปทำในสิ่งที่คนไทยรับไม่ได้ รวมทั้งชาวต่างประเทศที่มาตกระกำลำบากจากการก่อการร้ายในครั้งนี้ ซึ่งได้สร้างความเสียหาย ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และภาพลักษณ์ของประเทศอย่างยับเยิน
แต่ที่น่ากลัวกว่านั้นคือ วันนี้บ้านเรามีปัญหาเรื่องการบังคับใช้กฎหมาย มีการกระทำความผิดกันซึ่งหน้า มาเป็นเวลานาน จนวันนี้ยังไม่มีอะไรคืบหน้า ขณะที่มีหลักฐานชัดเจน
เชื่อหรือไม่ว่า คดีความยังไม่คืบหน้าไปไหนเลย
ยิ่งเมื่อย้อนกลับไปดูในช่วงที่ “ม็อบพันธมาร” ปิดถนนราชดำเนิน มาจนบุกเข้าไปยึดทำเนียบรัฐบาล แล้วลามปามมายึดสนามบินดอนเมืองกับท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ เจ้าหน้าที่ก็
จดๆ จ้องๆ อ้างอยู่คำเดียวว่า “กำลังเจรจา” ทั้งๆ ที่แกนนำ “ม็อบพันธมาร” ออกมาพูดชัดว่า ไม่มีการเจรจาทั้งสิ้น ไม่ว่ากับใครทั้งนั้น
ความเสียหายเป็นแสนล้านยังคาราคาซังอยู่ ความหายนะที่เกิดขึ้นเป็น “ตราบาป” ของม็อบพันธมิตรฯ ที่ทำกับแผ่นดินไทย ซึ่งยากที่จะอภัยให้ได้
จึงเป็นเรื่องที่รัฐบาลโดย “พรรคประชาธิปัตย์” จะจัดการกับพวกเดียวกัน เนื่องจากมี ส.ส.ของพรรคไปเป็น “แกนนำ” มาตั้งแต่ต้นอย่างไร หากไม่กล้า ก็แสดงให้เห็นชัดเจนว่าเป็นพวกเดียวกัน แม้จะออกมาปฏิเสธอย่างไร ก็ไม่เป็นผล
ที่ผ่านมา สื่อมวลชนทั้งในประเทศและต่างประเทศ รายงานในทิศทางเดียวกัน ว่า “พรรคประชาธิปัตย์” เป็นผู้สนับสนุนอยู่เบื้องหลังการก่อการของ “ม็อบพันธมาร”
หากรัฐบาลยังทำไขสือ เชื่อเหลือเกินว่าพลังมวลชน ที่รัก และต้องการประชาธิปไตยต้องออกมาแสดงพลังกันครั้งยิ่งใหญ่แน่นอน
เรื่องนี้มีสิทธิไปถึง “ศาลโลก” ครับ เพราะมีผู้อ่าน “ประชาทรรศน์” ติดต่อมา บอกว่า จะนำข้อมูลที่ “ประชาทรรศน์” นำเสนอใน “ฮอตสกู๊ป” เรื่องการกู้ชาติกับสิ่งที่ต้องจ่าย หน้า 4 มาอย่างต่อเนื่อง
จะเป็นส่วนหนึ่งในหลักฐานที่จะฟ้องศาลโลก
ขอยกตัวอย่างมาประกอบให้เห็นภาพกันสักหน่อย เอาแค่อาชีพเดียว ที่ทำมาหากินอยู่ที่สนามบินสุวรรณภูมิที่ได้รับผลกระทบในครั้งนี้....
*โชเฟอร์แท็กซี่ถูกยิงได้รับบาดเจ็บ หลังรวมตัวสกัด “พันธมิตรฯ” ยึดสุวรรณภูมิ
ขณะเดียวกัน บริเวณจุดบริการรถยนต์แท็กซี่สาธารณะ ที่ตั้งอยู่ด้านล่างทางยกระดับ มีกลุ่มผู้ขับรถแท็กซี่หลายร้อยคนรวมตัวกันถือท่อนไม้และเหล็กปิดเส้นทางขวางไว้ เพื่อป้องกันไม่ให้พันธมิตรฯ อีกกลุ่มหนึ่งผ่านขึ้นไปสมทบกับกลุ่มพันธมิตรฯ ที่ปิดเส้นทางอยู่ด้านบน โดยมีเจ้าหน้าที่ตำรวจปราบจลาจลประมาณ 300 นาย พร้อมโล่และกระบองเข้าเคลียร์พื้นที่ ไล่กลุ่มผู้ขับ รถแท็กซี่ให้ออกนอกพื้นที่ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการปะทะกัน
เวลา 18.30 น. กลุ่มผู้ขับรถแท็กซี่ประมาณ 200 คน จับกลุ่มและย้อนกลับมาอีกครั้ง พร้อมส่งเสียงตะโกนขับไล่พันธมิตรฯ เจ้าหน้าที่ตำรวจปราบจลาจลต้องรีบเข้าสกัด แยกทั้งสองฝ่ายออกจากกัน ท่ามกลางเสียงตะโกนโห่ร้องและก่นด่าใส่กัน โดยฝ่ายพันธมิตรฯ ใช้ลูกเหล็กยิงด้วยหนังสติ๊ก ส่วนฝ่ายตรงข้าม ใช้ท่อนไม้และเหล็กขว้างปาตอบโต้กันอย่างชุลมุน ทำให้ตำรวจปราบจลาจลที่อยู่ตรงกลางต้องวิ่งหลบและใช้โล่กำบัง อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่สามารถผลักดันกลุ่มรถแท็กซี่ออกไปจนได้
นายธนพล สมสุข อายุ 38 ปี คนขับรถแท็กซี่ เผยว่า ที่พวกตนรวมตัวขัดขวาง เพราะไม่พอใจที่พันธมิตรฯ ปิดล้อมสนามบิน ทำให้พวกตนขาดรายได้ อีกทั้งก่อนหน้าที่พันธมิตรฯ จะปิดสนามบินนั้น มีชายฉกรรจ์กลุ่มหนึ่งใช้รถกระบะ 3-4 คัน ขับมาสังเกตการณ์เส้นทาง เมื่อผ่านบริเวณจุดจอดรถแท็กซี่ของพวกตน ชายฉกรรจ์ในรถกระบะคันหนึ่งที่มีสัญลักษณ์กาชาดสีแดงติดข้างรถ ใช้ปืนยิงใส่กลุ่มพวกตน ถูกคนขับรถแท็กซี่รายหนึ่งที่ขาซ้ายได้รับบาดเจ็บ ถูกนำส่งโรงพยาบาลจุฬารัตน์
* “ผู้โดยสาร-ลูกเรือ” ตกเครื่อง
นายโสภณ ซารัมย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม กล่าวว่า มอบนโยบายให้บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ ทอท. จัดที่ให้พันธมิตรฯ ที่ไปยังสนามบินสุวรรณภูมิ เพื่อรักษาภาพพจน์ของสนามบินนานาชาติ ไม่ให้นักท่องเที่ยวต่างชาติตกใจ และไม่ให้ผู้โดยสารได้รับผลกระทบ อย่างไรก็ตาม ทราบว่ามีผู้โดยสารและลูกเรือบางส่วนตกเครื่องและมีผู้โดยสารบางส่วนเลื่อนการเดินทางออกไป
นายเสรีรัตน์ ประสุตานนท์ ผู้อำนวยการท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ และรักษาการกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท ทอท. กล่าวว่า ประสานงานไปยังทุกส่วนงานที่เกี่ยวข้องเพื่อเตรียมรับสถานการณ์แล้ว โดยตำรวจได้ตั้งด่านตรวจค้นตามเส้นทางเข้าออกท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ทำให้การจราจรติดขัด โดยส่งเจ้าหน้าที่เจรจาขอให้กลุ่มพันธมิตรฯ ชุมนุมกันอย่างสงบ และขอให้เปิดเส้นทางจราจรเพื่อให้รถที่จะเข้าไปรับ-ส่งผู้โดยสารเข้าออกได้ โดย ทอท. จัดสถานที่บริเวณลานจอดรถ 4 ด้านข้างอาคารเทียบเครื่องบินจี ไว้รองรับ เพื่อไม่ให้การชุมนุมกระทบต่อการเดินทางของผู้โดยสาร พร้อมกันนี้ยังเตรียมน้ำดื่ม และรถสุขาไว้คอยอำนวยความสะดวกด้วย
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ผู้โดยสารทั้งคนไทยและต่างชาติต้องลากกระเป๋าเดินทางจากถนนยกระดับด้านหน้าอาคารผู้โดยสารเข้ามาภายในอาคารผู้โดยสาร ระยะทางกว่า 1 กิโลเมตร เพราะการจราจรติดขัด ทำให้ ทอท. สั่งปิดสนามบินสุวรรณภูมิ เมื่อเวลา 21.00 น. ห้ามเครื่องบินขึ้นลงเพื่อความปลอดภัย
* ฐานความผิด
1. มาตรา 358 ประกอบ 359 ประกอบ 361
มาตรา 358 ผู้ใดทำให้เสียหาย ทำลาย ทำให้เสื่อมค่าหรือทำให้ไร้ประโยชน์ ซึ่งทรัพย์ของผู้อื่นหรือผู้อื่นเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วย ผู้นั้นกระทำความผิดฐานทำให้เสียทรัพย์ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกพันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
มาตรา 359 ถ้าการกระทำความผิดตาม มาตรา 358 ได้กระทำต่อ
(1) เครื่องกลหรือเครื่องจักรที่ใช้ในการประกอบกสิกรรม หรือ อุตสาหกรรม
(2) ปศุสัตว์
(3) ยวดยานหรือสัตว์พาหนะที่ใช้ในการขนส่งสาธารณะ หรือในการประกอบกสิกรรมหรืออุตสาหกรรม หรือ
(4) พืชหรือพืชผลของกสิกร
ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
มาตรา 361 ความผิดตาม มาตรา 385 และ มาตรา 389 เป็นความผิดอันยอมความได้
2.. มาตรา 301 ผู้ใดหน่วงเหนี่ยวหรือกักขังผู้อื่น หรือกระทำด้วยประการใดให้ผู้อื่นปราศจากเสรีภาพในร่างกาย ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกพันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
3. มาตรา 385 ผู้ใดโดยไม่ได้รับอนุญาตอันชอบด้วยกฎหมายกีดขวางทางสาธารณะ จนอาจเป็นอุปสรรคต่อความปลอดภัยหรือความสะดวกในการจราจร โดยวางหรือทอดทิ้งสิ่งของ หรือโดยกระทำด้วยประการอื่นใด ถ้าการกระทำนั้นเป็นการกระทำโดยไม่จำเป็น ต้อง ระวางโทษปรับไม่เกินห้าร้อย
เรื่องที่จะไปถึงศาลโลก อย่างนี้ไม่ธรรมดาแน่ ถ้าในประเทศยังไม่สามารถทำ “ความจริง”เรื่องนี้ให้เกิดขึ้น
สำหรับรัฐธรรมนูญจะแก้ได้อย่างไร พรุ่งนี้มาว่ากันต่อ แล้วจะรู้ว่า “บางอ้อ” นั้นอยู่แค่เอื้อมจริงๆ