WeLoveOurKing
How to insert weloveking to you website

ทรงพระเจริญ

ขัตติยาอัด คอป แต่งนิทานโยนความผิดเสธ แดง 18 9 55

สถาบันกษัตริย์อยู่ได้ด้วยความจริง

ธงชัย วินิจจะกูล: Truth on Trial

สถาบันกษัตริย์ถึงเวลาต้องปรับตัว

ตุลาการผิดเลน !


ฟังกันให้ชัด! "นิติราษฎร์" ไขข้อข้องใจ ทุกคำถามกรณีลบล้างผลพวงรัฐประหาร





วิดีโอสอนการทำน้ำหมักป้าเช็ง SuperCheng TV ฉบับเต็ม 1.58 ชม.

VOICE NEWS

Fish




เพื่อไทย

เพื่อไทย
เพื่อ ประชาธิปไตย ขับไล่ เผด็จการ

Saturday, December 20, 2008

“ตุ่มรั่ว” กับหมู่บ้านชื่อ “สยอง”!?! ( คอลัมน์ : บทความพิเศษ : วาทตะวัน สุพรรณเภษัช )

ที่มา ประชาทรรศน์

คอลัมน์ : บทความพิเศษ
วาทตะวัน สุพรรณเภษัช

จากการที่ได้ติดตามข่าวเศรษฐกิจและสถานการณ์โลกมาโดยตลอด ผู้เขียนมีความเห็นเหมือนผู้คนส่วนใหญ่ในชาติว่า ปัญหาความตกต่ำและถดถอยทางเศรษฐกิจได้เข้าครอบงำหลายประเทศแล้ว แต่ชาติเรานั้นหนักหนาสาหัส เพราะไอ้พวกกบฏที่รวมหัวกันก่อการร้าย ซ้ำเติมสร้างความพินาศให้กับประเทศอย่างกว้างขวางล้ำลึกนัก!


คนที่รักชาติ รักแผ่นดินถิ่นเกิด จะต้องร้อยใจกันเป็นพวงรบ ตั้งรับศึกเศรษฐกิจฝืดเคือง ช่วยกันเยียวยาประเทศ และต้องมุ่งมั่นร่วมกันผลักดันชาติที่รักของเรา
ให้ก้าวต่อไปในสังคมโลก...ให้จงได้!
อยากจะนำเสนอเป็นมุมมองใหม่ หรือมุมมองที่แตกต่างให้กับท่านผู้อ่าน เกี่ยวกับความตกต่ำของเศรษฐกิจโลก เพื่อให้เกิดการตระเตรียมตัวเองของผู้คนไทย หรือฉวยเอาวิกฤติทางเศรษฐกิจมาเป็นโอกาสที่ดีของชาวบ้านอย่างเราๆ ท่านๆ
ขอเรียนว่า นอกจากสนใจในเรื่องเศรษฐกิจแล้ว ผมยังเป็นผู้บรรยายและเขียนตำราเกี่ยวกับการสอบสวนคดีความผิดทางเศรษฐกิจ รวมทั้งเป็นผู้บัญญัติคำว่า “ฟอกเงิน” ขึ้นใช้เมื่อกว่า 20 ปีที่แล้ว และมีหลักฐานปรากฏชัดเจนในหนังสือพิมพ์มติชน ผู้ใดที่สนใจศึกษาในด้านนี้ ขอให้ลองค้นคว้าได้ที่คณะนิติศาสตร์ จุฬาฯ

เมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายนนี้เอง VOA หรือวิทยุเสียงอเมริกา เขานำเสนอข่าวอย่างนี้ครับ
Economic Troubles Boost Budget Restaurants
เนื้อหาของข่าวบอกว่า
...หุ้นสตาร์บัคส์ตกกราวรูด กำรี้กำไรเกือบจะไม่เหลือ ในช่วง 3 เดือนหลัง สตาร์บัคส์ในสหรัฐต้องเอาคนงานออกไป 1,000 คน ปิดร้านไป 600 แห่ง นี่ยังไม่นับที่ต้องตามไปปิดตามประเทศต่างๆ อีก
คนไม่กินกาแฟแพงแล้ว กินแล้วก็ไม่เห็นอิ่มอะไร นอกจากอิ่มอกอิ่มใจว่าได้กินของแพง เงินในกระเป๋าร่อยหรอลง ความอิ่มอกอิ่มใจไม่สำคัญเท่าความอิ่มท้อง
เพราะอย่างนี้แฮมเบอร์เกอร์ราคาถูกจึงขายดี
มีรายงานว่า แมคโดนัลด์รอบโลกขายดีขึ้นมาเกือบ 10% เมื่อเดือนตุลาคมที่แล้วมา ในสหรัฐขายดีขึ้น 5% ในยุโรปเกือบ 10% ที่อื่นๆ ในโลกรวมกัน 11%...
ท่านผู้อ่านที่เคารพครับ
ดูตัวเลขแล้วบอกได้เลยว่าคนอเมริกันนั้นหนังหนากว่าคนชาติอื่น ขนาดเศรษฐกิจร่วงระเนระนาดแล้วยังเพิ่งจะค่อยๆ งัวเงียตื่นขึ้นมา ในขณะที่คนชาติอื่นๆ เริ่มระวังตัว กินน้อยและใช้น้อยลงแล้ว
แมคโดนัลด์นั้นหากจะเปรียบไปแล้วก็เหมือน ‘ร้านข้าวแกง’ ของอเมริกันชน จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่อาหาร 'แดกด่วน' พื้นๆ อย่างแฮมเบอร์เกอร์ จะขายดีขึ้น ในยามที่คนตกทุกข์ได้ยาก ซึ่งไม่ได้แตกต่างจากบ้านเรา ซึ่งใช้บะหมี่สำเร็จรูปเป็น ‘ดรรชนีชี้วัด’ ภาวะความยากดีมีจนของประเทศ แต่ขณะนี้บ้านเราผู้คนเขาเมิน ไม่กินยี่ห้อ ‘มาม่า’ กันแล้ว หันไปกินแบรนด์อื่น เพราะยี่ห้อเก่าไปถูกกล่าวหาว่า...
สนับสนุนกลุ่มผู้ก่อการร้าย จำลอง ศรีเมือง อย่างแข็งขัน จนบริษัทต้นสังกัดสินค้ารายนี้ต้องออกมาปฏิเสธว่าไม่เคยเกี่ยวข้องอะไรกันเลย
...แหม...ยังกะคนเขาเชื่อแน่ะ!
จะแปลกไหมครับ ถ้าผมจะพูดว่า “ขยะ” ก็เป็นเครื่องวัดเศรษฐกิจได้ อย่างที่นักเศรษฐศาสตร์เคยออกมาเล่าให้คนทั่วๆ ไปฟัง จำนวนขยะ ชนิดของขยะตามที่อยู่อาศัย บอกได้ว่าคนเรากำลังอยู่ในสภาพเศรษฐกิจอย่างไร
ที่แน่ๆ คือ พอไม่ค่อยมีเงิน จำนวนขยะตามบ้านจะลดลงโดยอัตโนมัติ เพราะจะ ซื้ออะไรก็คิดแล้วคิดอีก ซื้อแล้วต้องใช้ให้คุ้มค่า ไม่ใช่ซื้อมาทิ้งๆ ขว้างๆ เหมือนเวลาอู้ฟู่ ข้าวปลาอาหารก็ซื้อหามาเพียงพอทำกิน และต้องกินหมดเกลี้ยงเกลา ไม่เหลือไปโยนขยะอีกนั่นแหละ
คนเยอรมันสร้างทฤษฎี “การดูเศรษฐกิจด้วย...ขยะ” มาก่อนคนอื่น!
ไม่น่าเชื่อ แต่เยอรมนีซึ่งเป็นชาติเศรษฐีในยุคนี้ เคยยากจนข้นแค้นแสนสาหัสมาแล้วอย่างน้อยก็ 2 ครั้ง คือ หลังสงครามโลกครั้งที่ 1 และครั้งที่ 2 ทั้ง 2 ครั้งเกิดขึ้นเพราะความกำเริบเสิบสานของตัวเองทั้งสิ้น
ในช่วงกำลังจะแพ้สงคราม และช่วงที่พ่ายแพ้เด็ดขาดแล้ว ขยะในเยอรมนีแทบไม่มีให้เก็บ อะไรๆ ผุๆ พังๆ ตามถนนหนทางยังมีคนเก็บไปใช้ ไปซ่อมแซม เศษไม้ เศษเหล็ก เศษกระจก ล้วนเป็นของมีค่า
ขนมปังนั้นต่อให้มีกลิ่นหืน หรือ “ราขึ้น” ก็ไม่มีวันทิ้ง!
ดูไปแล้วก็ไม่แตกต่างอะไรกับคนไทยรุ่นสงครามโลกครั้งที่ 2 เล่าว่า เวลาขัดสนจริงๆ ข้าวบูดก็มาล้างน้ำแล้วไปหุงใหม่ ออกมาพอกินได้
ดีกว่าปล่อย...ให้ท้องหิว!
ไม่รู้ว่าคนเยอรมันเอาขนมปังไปล้างแล้วอบใหม่หรือเปล่า แต่เชื่อว่าคงมีวิธีดีๆ ไม่แพ้คนไทย
คงเพราะอย่างนี้เอง ท่านปราชญ์เพลโตของกรีกถึงบอกว่า Necessity is the mother of invention หรือ ความจำเป็น คือ มารดา (หรือผู้ให้กำเนิด) ของการประดิษฐ์/ค้นคิดอะไรต่อมิอะไร
ที่คนรุ่นคุณย่าคุณยายเอาใบสับปะรดมาลอกเป็นเส้นๆ แล้วใช้เย็บผ้าแทนด้ายในสมัยสงคราม ก็เพราะความจำเป็นทำให้คิดออกเหมือนกัน ได้ยินว่าด้ายจากใบสับปะรดนั้นเหนียวหนับดีกว่าด้ายที่ขายๆ กันอยู่สมัยนั้นเสียอีก เพียงแต่ว่าสั้นไปหน่อย เย็บๆ ไปก็ต้องสนด้ายกันใหม่บ่อยๆ
คนไทยเรารู้ดีว่าเศรษฐกิจถล่มทลายอยู่รอบๆ โลก แต่ดูเหมือนยังไม่รู้ตัวว่าความจริงมันถึงตัวแล้ว รับเชื้อมาเต็มที่แล้ว เพียงแต่ยังไม่ออกอาการ พวกเรา โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนในเมือง จึงยังใช้และกินอย่างฟุ่มเฟือย
คิดถึง “การ์ตูนอาหารคนจน” ของ คุณประยูร จรรยาวงษ์ ผมมีฉบับรวมเล่มหลายเล่ม ตอนนี้ได้ข่าวว่าหนังสือผู้หญิงชื่อ ‘พลอยแกมเพชร’ เริ่มลงมาหลายตอนแล้ว ใครไม่เคยอ่านน่าจะลองไปอ่านดู
อนาคตข้างหน้าของประเทศเรา ถ้าเคราะห์หามยามร้าย จะต้องนุ่งผ้าตูดขาด เอากระจาดปิดตูด ได้รู้วิธีกินแบบจนๆ บ้าง ท้องจะได้ไม่หิว
อยากจะบอกกับท่านผู้อ่านที่เคารพว่า
บ้านเมืองของเรานั้นดีนักหนา ด้วยว่าเป็นเมืองเกษตรกรรม ดูอย่างเมื่อครั้ง “สามเณรจิ๋ว” บุญพาวาสนาส่งได้ขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรี ประกาศชัดเจนว่า
“ได้เวลากินดีอยู่ดี!”
ตาจิ๋วหวานเจี๊ยบบริหารบ้านเมืองแบบ ‘ไร้กึ๋น’ ได้เพียงไม่กี่เดือน บ้านเมืองก็ประสบวิกฤติทางการเงินขนาดหนัก อีตาใจเสาะคนนี้ก็ไม่อยู่แล้ว สะบัดตูดพรึ่บ ทิ้งความรับผิดชอบ ชิงลาออกไป!
แต่แล้วประเทศไทยที่น่าสงสารก็โชคร้ายซ้ำสอง เพราะรัฐบาลของพรรคที่เป็นฝ่ายค้านดักดานเวลานี้ ได้บุญ ‘งูเห่า’ หล่นใส่ กระดี๊กระด๊าขึ้นบริหารบ้านเมือง แล้วดันเอาประเทศไปประเคนให้ IMF เปิดช่องให้บริษัทข้ามชาติเข้ามาซื้อหนี้คนไทยในราคาถูกๆ แล้วบริษัทระยำหมาซึ่งมี ‘ผู้ดีคนแรก-ขี้ข้าคนสุดท้าย’ ชาวไทยเป็นพี่เลี้ยง เปิดฉากปฏิบัติการรีดนาทาเร้น โกยเอากำไรคนไทยตาดำๆ ที่ทุกข์ยากไปได้อย่างโหดร้ายสุดๆ
ร่ำรวยไปนับแสนล้าน แต่ลูกหนี้ชาวไทยต้องก้มหน้าน้ำตาตก รับกรรมไป!!
กระบวนการทางกฎหมายต้องใช้เวลานานนับสิบปี เพิ่งจะลากตัวผู้เกี่ยวข้องที่ทำความฉิบหายให้กับชาติบ้านเมืองเราไปขึ้นศาลได้ไม่กี่เดือนมานี้เอง แต่ไอ้กลุ่มบริษัทข้ามชาติอัปรีย์ก็ถูกกรรมที่ทำไว้กับคนไทยตามทัน เพราะขณะนี้บริษัทจัญไรอยู่ในฐานะย่ำแย่ขนาดหนักเลยทีเดียว...กรรมติดจรวดช้าไปหน่อย แต่ก็ยังตามทัน!
เมื่อยามที่ฐานะทางการเงินของชาติบ้านเมืองตกต่ำ เมื่อปี 2540 นั้น คนไทยที่โชคร้ายต้องตกงานซมซานกลับบ้านในชนบท แต่โชคดีที่ยังสามารถเก็บผักหญ้าหาเลี้ยงตัวเอง มีชีวิตความเป็นอยู่อย่างง่ายๆ ตามประสา เมื่อสถานการณ์บ้านเมืองค่อยๆ ดีขึ้น ก็กลับมาสู้ชีวิตสร้างตัวกันใหม่ในกรุง
หลายคนมองเห็นความดีในแผ่นดินพ่อแม่ที่พวกเขาทิ้งเข้ากรุงไปทำมาหากินนานนับปี ไม่ยอมกลับกรุง แต่ฝังรากอยู่บ้านเกิด ทำมาหากินและกลายเป็นเศรษฐีก็มี
เมื่อรัฐบาล ‘ห่วยแตก’ ของประชาธิปัตย์ พ้นไปจากการบริหารบ้านเมือง ความยากจนของประเทศได้ถูกแก้ไขให้พลิกฟื้นกลับ โดยการบริหารบ้านเมืองของผู้นำรัฐบาลที่มาใหม่ สามารถชดใช้หนี้สิน IMF ของประเทศจนหมดสิ้น ไทยแลนด์กลับมาผงาดอีกครั้ง ภาคชนบทกลับมีกองทุนหมุนเวียนให้คนจนได้พึ่งพา ทั้งยังมีโครงการต่างๆ เพื่อช่วยเหลือราษฎรแบบครอบคลุม เช่น
- หลักประกันสุขภาพของผู้คนที่มีรายได้น้อย เจ็บป่วยแล้วเสียเงินแค่ 30 บาท รัฐก็จะดูแลรักษาให้
- เกิดโครงการอย่าง OTOP ซึ่งบัดนี้ได้กลายเป็น ‘เสาหลัก’ ทางเศรษฐกิจอีกแท่งหนึ่งของชาติ แถมยังเป็นต้นแบบให้ชาติอื่นอย่าง ฟิลิปปินส์ มาดูงานแล้วนำไปดำเนินการในประเทศของตัวอย่างได้ผลดี
- มีโครงการเอสเอ็มอี กับอีกหลากหลายโครงการ จนผู้คนเริ่มมีกินมีใช้
ฯลฯ

การที่ทำให้คนจนมีช่องทางและโอกาสในชีวิตมากขึ้น และมีรายได้ลืมหน้าอ้าปาก ดูจะเป็นเรื่องแสลงใจของพวกที่ถือตนว่าเป็นคนชั้นสูงหรืออย่างไรไม่ทราบได้ เพราะพวก ผู้ดีตีนแดง-ตะแคงจิ๋มเดิน ยังรุมด่าหัวหน้ารัฐบาลที่สามารถทำให้ชีวิตผู้คนดีขึ้น โดยกล่าวหาว่า เอาใจคนจนเพื่อเรียกหา ประชานิยม
...อีนังพวกนี้รุมอิจฉา ด่าสาดเสียเทเสีย...เพราะพวกมันยังไม่เคยจน!
ที่สำคัญคือ รัฐบาลทักษิณได้ปลุกชาติจากการล้มครืนไปแล้ว จนสามารถลุกขึ้นยืน และเชิดหน้าได้อย่างแข็งแกร่งในสังคมระหว่างประเทศ ราษฎรมีชีวิตความเป็นอยู่ดีขึ้น แต่แล้วทุกอย่างพานหัวทิ่มอีกครั้งเพราะการรัฐประหารโดย ‘ไอ้บัง’ กับพวกของมัน เมื่อ 19 กันยายน 2549 และเมืองไทยได้รัฐบาลโลซกของนายกฯ เขายายเที่ยง
เข้ามาบริหารประเทศ...แบบไม่บริหาร!
ดังนั้น ผมขอให้รัฐบาลที่จะมาใหม่ ต้อง ‘ตั้งรับ’ สถานการณ์เศรษฐกิจตกต่ำให้ดี ตำแหน่งงานในบ้านเราที่ว่างรอรับอยู่นั้นมีกว่าแสนตำแหน่ง ก็ต้องแพร่กระจายข่าวให้พี่น้องผู้ใช้แรงงานให้ทราบโดยเร็ว และรัฐต้องทุ่มเทให้ความสนใจและช่วยเหลือภาคเกษตรให้มากที่สุด เพราะหากข้าวและพืชผลต่างๆ ราคาพอไปได้
รับรองว่า...สถานการณ์บ้านเรายังจะไม่ลำบากนัก!
ดูอย่างครั้งข้าวราคาดีเมื่อต้นปีนั่นไง รัฐบาลท่านนายกฯ สมัคร โกยกำไรจากการขายข้าวเก่าค้างโกดังบานตะไท ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นใน จ.สุพรรณบุรี ก็คือ คุณวันทนีย์ กฤษณะเศรณี ผู้จัดการสถานธนานุบาล เทศบาลเมืองสุพรรณบุรี ออกมาเปิดเผยว่า
ชาวนาแห่กันไปไถ่ถอนทองรูปพรรณออกมูลค่ามากกว่า 3-4 ล้านต่อวันจนเกลี้ยง ไม่มีคนเอาของไปจำนำ ถึงแม้จะเป็นตอนช่วงโรงเรียนเปิดเทอมพอดี ซึ่งปกติจะต้องมีคนพากันเข้ามาจำนำมากก็ตาม จนคุณวันทนีย์เธอป็นห่วง กลัวโรงจำนำจะเจ๊ง...นี่เป็นประวัติศาสตร์ของ ‘เมืองสุพรรณ-บ้านบรรหาร’ เลยทีเดียว!
ฉะนั้น ขอให้คนไทยกัดฟันสู้ร่วมมือร่วมใจ รัฐบาลที่มาใหม่จะต้องทุ่มเทและนำนโยบายดีๆ อย่างที่พลังประชาชนทำถูกใจชาวบ้านมาแล้ว มาช่วยเหลือกันต่อไปอีก
ที่สำคัญ หากจำเป็นมีการเลือกตั้ง ต้องจำกันไว้ให้มั่น ถ้าพวกเราไม่อยากลำบากกันอีก จงอย่าไปเลือกพรรคดีแต่พูด แต่ทำไม่เป็น แถมยังสนับสนุนผู้ก่อการร้ายโจ๋งครึ่ม
มีโอกาสกลับเข้ามาบริหารประเทศไทยที่รักของเราอีก...โดยเด็ดขาด!
ท่านผู้อ่านที่เคารพครับ
ยามเศรษฐกิจโลกพลิกผัน ผมอยากจะเล่าเรื่องนิทานของลุงเปี๊ยก ที่ได้ยินมานานแล้ว ให้ท่านผู้อ่านได้ฟังกันสักหน่อย เพื่อเอาไว้เป็นเครื่องเตือนใจพวกเราชาวไทย
อังเคิลเปี๊ยกอยู่บ้านไม่ห่างจากผมนัก แกไม่ดู ASTV ทีวีอัปลักษณ์ แต่ทั้งดูทั้งฟังข่าวเรื่องเศรษฐกิจถล่มทั้งโลก แล้วหันมามองบ้านเราซึ่งยังงัวเงีย ไม่ค่อยรับรู้ แถมยังห่วงเรื่องทะเลาะกันว่าใครจะแพ้ใครจะชนะ ตบตีกันเป็นระวิง ทั้งตบมือ และตบตีน
ลุงแกเลยอ่อนใจ บอกว่าเห็นยังงี้แล้วทำให้คิดถึงนิทานเรื่อง "โอ่งรั่ว" ที่แกเคยได้ยินมาตั้งแต่เด็ก
นิทาน "โอ่งรั่ว" ของลุงเปี๊ยกมีว่าอย่างนี้

ในโลกร้อยหมู่บ้าน แต่ละหมู่บ้านมีตุ่มขนาดยักษ์หนึ่งใบ เป็นตุ่มที่เก็บน้ำสำหรับทุกคนได้อาศัยกินและใช้
นานๆ ไปตุ่มก็เริ่มร้าวบ้าง รั่วบ้าง
ตอนเป็นน้อยๆ ก็ไม่มีใครรู้สึก เพราะแค่น้ำซึมๆ ออก แต่วันหนึ่งทุกหมู่บ้านเริ่มเห็นว่าตุ่มของตนมีรูรั่วแยะ คนของแต่ละหมู่บ้านต่างก็ช่วยกันคนละไม้ละมือ อุดรูรั่วตรงโน้น ตรงนี้ เพื่อนที่หมู่บ้านตนจะได้ไม่อดน้ำตาย
แต่หมู่บ้านที่ชื่อ 'สยอง' ซึ่งคนในหมู่บ้านแบ่งพรรคแบ่งพวก ทะเลาะกันบรรลัยมาหลายปี กลับไม่มีใครรู้สึกตัว ไม่มาช่วยกันอุดรูรั่ว เหมือนอย่างที่ผู้คนหมู่บ้านอื่นๆ เขาทำกัน
ยังมัวแต่ตีกันวายวอดอยู่ข้างตุ่ม!
น้ำในหมู่บ้าน 'สยอง' เลยรั่วไหลเกลี้ยงตุ่ม ทำให้คนสยองต้องอดตายกันเป็นเบือ ชาวหมู่บ้านอื่นเขาเห็นแล้วไม่สงสาร
กลับสมน้ำหน้า!
ยิ่งหมู่บ้านใกล้ๆ เขายิ่งดีใจ เพราะต่อไปนี้คนสยองจะได้ไม่มาแย่งเขาทำมาหากิน
ลุงเปี๊ยกบอกว่าหมู่บ้าน 'สยอง' นี้ เมื่อก่อนชื่อหมู่บ้าน 'สยาม'
ผมฟังแล้วไม่เชื่อ
ท่านผู้อ่านล่ะครับ...เชื่อหรือเปล่า!?!

..............................

...หนังสือเล่มสำคัญส่งท้ายปี พ.ศ.2551 ที่ชื่อ “นินทาประชาธิปัตย์ (ฝ่ายค้าน-ดักดาน” จองซื้อได้ใน vattavan.com หรือโทร 086-2593-939
ถ้าจะเลือกพรรคดักดาน อย่าซื้อเป็นอันขาด เพราะอ่านจบแล้วจะต้องเปลี่ยนใจ!!!