คอลัมน์ : ประชาทรรศน์วิชาการ
โดย วาทตะวัน สุพรรณเภษัช
หนังสือที่วิพากษ์วิจารณ์ คมช. ที่เขียนระหว่างที่คนในแก๊งนี้ยังผงาดอยู่ในอำนาจที่ยึดไปจากพี่น้องประชาชน หมดไปแล้ว 1 เล่ม คือ “รัดทำมะนวย ฉบับหัวคูณ” ส่วน “เหี้ยส่องกระจก” ยังมีเหลือพอสั่งได้ ในเว็บไซต์ vattavan.com
สำหรับหนังสือที่ต้องดังเปรี้ยงปร้างส่งท้ายปีนี้ คือ “นินทา-ประชาธิปัตย์ ฝ่ายค้าน-ดักดาน” กำลังจะอวดโฉมแล้ว!
เมื่อวันศุกร์ที่ 31 ตุลาคม 2551 ได้มีประชาชนที่รักชาติรักประชาธิปไตย และมีจิตใจต่อต้านการรัฐประหาร ได้ร่วมกันทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้ คุณนวมทอง ไพรวัลย์ หรือ คุณลุงนวมทอง ไพรวัลย์ ซึ่งผมเองเป็นคนแรกๆ ที่ได้เขียนถึงท่าน 2 ครั้งในระยะใกล้เคียงกัน
ครั้งแรกที่ผมเขียนถึง และออนไลน์ครั้งแรก เมื่อ 10 ตุลาคม 2549 10:20 น. ให้ชื่อคอลัมน์ว่า “เรื่องบ๊องๆ บอมบ์ๆ ยังไม่จบนะ! (“ยูว่าคาร์บ๊อง...แต่ไอว่าคาร์บอมบ์”)”
ผมเขียนเอาไว้อย่างนี้ครับ
...ก่อนทหารของคณะปฏิรูปฯ ถอนกำลังได้ 1 วัน คือ 29 กันยายน 2549 ได้มีข่าวที่น่าตื่นตาตื่นใจมากที่สุดตั้งแต่มีการปฏิวัติรัฐประหารกันมาในบ้านเมืองของเรา ไทยรัฐเขาพาดหัวได้ถึงพริกถึงขิงว่า
‘แท็กซี่’ บ้าดีเดือด ชนรถถังประท้วง ‘คณะปฏิรูปฯ’
...เรื่องนี้ผมได้ยินคนวิพากษ์วิจารณ์กันสนุกสนาน บอกว่าโชเฟอร์คนนี้สติดีหรือเปล่า? ดันเอารถธรรมดาวิ่งชนรถถัง พอๆ กับคนวิ่งชนเสาไฟฟ้าทีเดียว เลยต้องเจ็บเนื้อเจ็บตัวกันไป
เพื่อนคนหนึ่งอ่านข่าว บอกผมว่า อย่าไปเถียงเรื่อง ‘คาร์บ๊อง-คาร์บอมบ์’ กันต่อไปอีกเลย พูดแล้วเขาก็หัวร่องอหาย ก่อนจะลุกขึ้นประกาศขึงขังว่า
“นี่แหละโว้ย ‘คาร์บ๊อง’ ตัวจริง เสือกเถียงกันอยู่ได้!”
...คุณนวมทอง โชเฟอร์ที่ขับรถพุ่งชนรถถังแบบไม่กลัวตาย พิสูจน์ออกมาแล้วว่า ตัวแกทั้งไม่บ้า ไม่เมา รวมและไม่บ๊องด้วย แต่ที่ทำลงไปแกบอกว่า
เพราะยึดมั่นในระบอบประชาธิปไตยจริงๆ ทนไม่ได้ที่เห็นทหารลุกขึ้นมายึดอำนาจที่เป็นของประชาชนไป
ข่าวเขาบอกว่า แกพูดอย่างนั้นจริงๆ
ฟังแกพูดแล้ว ผมมีความเห็นส่วนตัวว่า เรื่องนี้น่ากลัวกว่า “คาร์บอมบ์” ของทักษิณเป็นไหนๆ!
แม้คนที่ไม่เห็นด้วยกับ คปค. จะไม่ได้มีความกล้าหาญชาญชัยถึงกับขับรถพุ่งชนรถถังอย่างไม่คิดถึงอันตรายแก่ตนเอง ตลอดจนผลที่จะติดตามมา เหมือนอย่างคุณนวมทองก็จริง แต่ผู้คนในบ้านในเมืองเราที่เขาคิดเหมือนโชเฟอร์ใจเด็ดคนนี้นั้น ยังมีอยู่มากมายในประเทศนี้
คนที่ยังมีความเชื่อว่า ทหาร ‘รังแก’ ทักษิณและรัฐบาลของเขา ยังมีอีกนับไม่ถ้วน!
...เรื่องของโชเฟอร์แท็กซี่ใจกล้าที่ท้าทายอำนาจ คปค. สำนักข่าวต่างประเทศสนใจมาก เช่น AFP ได้รายงานข่าวนี้ฉับพลันทันทีว่า
“คนขับรถแท็กซี่คนหนึ่งได้ขับรถแท็กซี่พ่นข้อความด้วยสีสเปรย์ว่า “ทำลายประเทศ” และคำว่า “พลีชีพ” พุ่งชนรถถังคันหนึ่งที่จอดประจำการอยู่บริเวณลานพระบรมรูปทรงม้า เป็นเหตุให้คนขับรถซี่โครงหัก และได้รับบาดเจ็บตามใบหน้า ที่คาง และตา ต่อมาคนขับรถแท็กซี่รายนี้เปิดเผยถึงสาเหตุว่า ต้องการประท้วงคณะปฏิรูปการปกครองฯ พร้อมกับยอมรับด้วยว่า เป็นผู้พ่นสีสเปรย์ข้อความข้างรถด้วยตัวเอง”
การกระทำของคุณนวมทอง กลายเป็น “สัญลักษณ์ของการต่อต้านรัฐประหาร” ไปแล้ว และโชเฟอร์รายนี้ก็ไม่เกรงกลัวต่อภัยที่จะมาถึงตน หนังสือพิมพ์บางกอกโพสต์ วันพุธที่ผ่านมา พาดหัวรองว่า
Cabby says he'll do it again
แน่ะ...คุณนวมทอง แกกลัวซะเมื่อไรกัน!
...ใครที่นึกว่าทหารยึดอำนาจแล้วแล้วผู้คนจะไม่กล้าเคลื่อนไหวเรียกร้องประชาธิปไตยนั้น คิดอย่างนั้นเป็นเรื่องที่ผิดเอามากๆ แม้แต่เรื่องของคุณนวมทองเอง ผู้คนและนักเคลื่อนไหวทางการเมืองก็พากันไปเยี่ยมเยียนให้กำลังใจกันถึงโรงพยาบาลไม่ขาดสาย หนังสือพิมพ์บางกอกโพสต์รายงานว่า กระเช้าดอกไม้ที่ไปเยี่ยมโชเฟอร์นวมทองมีเต็มโรงพยาบาลเลยทีเดียว
ถึงตอนนี้เหตุการณ์ต่อต้านทหารยังไม่ค่อยมีให้เห็นเป็นรูปธรรมนัก แต่จะมีขึ้นในภายภาคหน้าหรือไม่นั้น ผมเองก็ยังไม่แน่ใจเหมือนกัน เพราะคนไทยปัจจุบันไม่ได้กลัวกระบอกปืนของทหาร ตำรวจ เหมือนสมัยก่อนหน้า 14 ตุลา อีกต่อไป และก็ได้พิสูจน์ให้เห็นเป็นประจักษ์กันครั้งแล้วครั้งเล่า บนถนนราชดำเนินสายประชาธิปไตย...
ประชาชนต่อสู้เมื่อใด...ก็ชนะทุกครั้งไป!...
นั่นเป็นข้อเขียนครั้งแรกที่ผมได้เขียนถึงคุณลุงนวมทอง และได้เขียนถึงอีกครั้งเมื่อได้ข่าวการเสียชีวิตของท่าน ในคอลัมน์ “กาแฟขม...ขนมหวาน” ออนไลน์เมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายน 2549 ชื่อตอน “ทหารกับชาวบ้าน อาจต้องตะลุมบอนกันอีกรอบ!?”
ผมเขียนเอาไว้อย่างนี้ครับ
...เช้าวันนี้...จิบกาแฟขมถ้วยที่สองไม่ลง เพราะเปิดดูข่าวจาก MGR Online แล้วเห็นข่าว แท็กซี่พลีชีพ ซึ่งรายงานข่าวเพิ่งลงบนหน้าเว็บได้เพียง 2 นาที ข่าวของผู้จัดการบอกว่า
...แท็กซี่ “พลีชีพ” ขับรถพุ่งชนรถถัง สร้างประวัติศาสตร์ครั้งที่ 2 เขียนบันทึกการเดินทางปลิดชีพตัวเอง ตั้งใจตายที่อนุสรณ์สถาน 14 ตุลา แต่คนเยอะไม่ได้ลงมือ ก่อนเดินออกไปจนถึงโรงแรมรัตนโกสินทร์ ตัดสินใจขอกระดาษเขียนบันทึก ก่อนนั่งรถเมล์กลับมาหาที่ใหม่ ก่อนได้ที่เหมาะสะพานลอยหน้าไทยรัฐ ได้ผูกคอตายสมใจ ประชดคำพูดรองโฆษก คปค. ที่ว่า
“ไม่มีใครมีอุดมการณ์มากขนาดยอมพลีชีพ...”
นอกจากนั้น
ผมยังได้เขียนวิพากษ์วิจารณ์ถึงการนั่งทับใบบุญของทักษิณ โดยคณะผู้ยึดอำนาจ กับรัฐบาลโลกของนายกฯ เขายายเที่ยง ต่างก็ได้เก็บเกี่ยวผลประโยชน์กันอย่างมีความสุข โดยได้บรรยายเอาไว้อย่างนี้ครับ
...มิหนำซ้ำขณะนี้มีการเผยแพร่ข่าวสารกัน โดยเฉพาะบรรดาข่าวสารที่ออกมาจากต่างประเทศ ดันกลายเป็นว่าเศรษฐกิจไทยที่แข็งแกร่งนั้นมาจากการบริหารบ้านเมืองของทักษิณเสียอีก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องทุนสำรองเงินตราระหว่างประเทศ ค่าของเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นทุกวัน คนก็วิจารณ์กันอีกว่า...
นี่เป็นผลพวงของอานิสงส์ที่มาจากรัฐบาลทักษิณโดยแท้!
คปค. หรือรัฐบาลปัจจุบัน ก็ไม่ได้ออกมาโต้เถียงว่า “ไม่จริง” สักคำ!!
...ที่ตลกที่สุดก็คือ แม้แต่ในตอนนี้สถานีโทรทัศน์ช่องต่างๆ ไม่เว้นแม้แต่ช่อง 5 ของตะหานบกเองแท้ๆ ไม่ได้เกรงอกเกรงใจคณะปฏิวัติเลย ยังดันช่วยโฆษณาผลงานของทักษิณอยู่ทุกวี่ทุกวัน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องความดีงามของกองทุนหมู่บ้าน หรือการให้ ธ.ก.ส. ปลดหนี้ให้กับชาวไร่ชาวนา ตั้งธนาคาร SME ช่วยผู้ผลิตรายย่อย และโครงการช่วยเหลือชาวบ้านมากมายตามนโยบายของรัฐบาลไทยรักไทย ฯลฯ เหมือนเป็นเครื่องยืนยันว่า
นโยบายของทักษิณที่ทำมาตลอดนั้น นำมาซึ่งความสุขกับประชาชนโดยแท้!
หรือใครจะเถียงว่า ขณะนี้ไม่มีโฆษณาอย่างที่ผมว่าบ้าง...หือ?
จึงอยากจะบอกให้ผู้กุมอำนาจทราบอย่างตรงไปตรงมาว่า ขณะนี้ประชาชนส่วนใหญ่ยังไม่เห็นว่ารัฐบาลที่ทหารตั้งเข้ามานั้น นอกจากไม่ได้ทำอะไรให้ดีขึ้น ยังกลับสร้างความไม่เข้าใจ และความสับสนให้ประชาชนเสียอีก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องโครงการ 30 บาทรักษาทุกโรค หรือความสุขเล็กๆ น้อยๆ ของผู้คนอย่างเรื่อง ‘หวยบนดิน’ ที่นำเงินไปช่วยเด็กยากจน ก็มีความพยายาม
ทำลายกันลงไปเสียอีก!
ทำให้ลูกชาวบ้านที่แสนยากจน ซึ่งถูกมองว่าเป็นผู้ต่ำต้อยในสังคม แต่ได้รับประโยชน์จากเงินทุนหวยตัวนี้ เด็กในทุกอำเภอมีโอกาสเดินทางไปศึกษาต่างประเทศ กลับต้องสูญโอกาสที่จะมีชีวิตที่ดีในอนาคตไปเลย
เป็นเพราะการปฏิวัติครั้งนี้แท้ๆ!
ชาวบ้านเขาเข้าใจอย่างนี้จริงๆ ใครที่จะค้านว่าไม่จริง โปรดออกไปบ้านนอก แล้วสอบถามผู้คนดูเอาเองเถิด
แล้วจะรู้ว่าผมพูดจริง!
ตอนนี้ผู้คนเขาพากันเข้าใจไปว่า โครงการอะไรก็ตามที่เป็นประโยชน์กับคนยากคนจนหรือผู้ด้อยโอกาส ที่สร้างชื่อเสียงให้รัฐบาลเก่า กำลังจะถูกเขี่ยทิ้งลงเว็จขี้ไปเสียหมด ที่ผู้คนเขามองกันอย่างนี้ก็เพราะ
ผู้มีอำนาจไม่สร้างความเข้าใจที่ถูกต้องให้กับประชาชนนั่นเอง!
การปลิดชีพตัวเองอย่างกรณี คุณลุงนวมทอง ไพรวัลย์ ได้ปลุกประชาชนให้ลุกขึ้นต่อสู้กับสิ่งที่ผู้กระทำอัตวินิบาตกรรมเห็นว่าไม่ถูกต้องนั้น ที่เห็นเป็นตัวอย่างได้ดี คือการยิงตัวเองของ คุณสืบ นาคะเสถียร ผู้ที่เมื่อยังมีชีวิตอยู่ไม่สามารถเรียกความสนใจจากผู้ใหญ่ในบ้านเมืองให้ใส่ใจดูแลผืนป่าห้วยขาแข้ง อันเป็นมรดกสำคัญของชาวไทย ปล่อยให้ข้าราชการระดับกลางอย่างคุณสืบต้องต่อสู้เพื่อรักษามรดกของชาติด้วยตนเองอย่างเดียวดายไปตามยถากรรม
ความเหนื่อยล้า ผิดหวัง และความคับแค้นใจ คุณสืบเลยตัดสินใจผ่าทางตันด้วยเขียนจดหมายสั่งลา 6 ฉบับ สั่งเสียลูกน้อง คนสนิท และมอบหมายหน้าที่การงาน แล้วท่านก็สวดมนต์ไหว้พระเพื่อให้จิตใจสงบ ก่อนตัดสินใจครั้งสำคัญ
ขณะที่แสงทองของวันใหม่เปิดฉากท้องฟ้าขึ้น คุณสืบก็ปลิดชีพตนด้วยกระสุนเพียงนัดเดียว ปิดม่านชีวิตของตัวเองลง แต่เปิดฉากใหม่ซึ่งเริ่มต้น “ตำนานนักอนุรักษ์ไทยผู้ยิ่งใหญ่ สืบ นาคะเสถียร” ผู้ที่มาถึงวันนี้ ประชาชนต้องระลึกถึง ด้วยความเคารพในน้ำใจและการเสียสละด้วยชีวิต จนมีห้วยขาแข้งเอาไว้เป็น “มรดกโลก” ในอีกหลายปีต่อมา
ตอนที่คุณสืบเสียชีวิตใหม่ๆ ก็มีการปล่อยข่าวจากผู้ที่ไม่หวังดีว่า วีรบุรุษกรมป่าไม้ท่านนี้เพี้ยน สติไม่ดีบ้าง ยิงตัวตายเพราะเรื่องผู้หญิงบ้าง สุดแต่จะกล่าวหากันไป
ข่าวออกมาอย่างนี้จริงๆ ไม่เชื่อลองสอบถามคนโตในมูลนิธิคุ้มครองสัตว์ป่าและพันธุ์พืช อย่าง คุณพิสิษฐ์ ณ พัทลุง ดูก็ได้
พฤติกรรมที่ห้าวหาญของ คุณลุงนวมทอง ไพรวัลย์ ที่กล้าขับรถแท็กซี่ชนรถถัง ไม่ได้ต่างอะไรกับ คุณสืบ นาคะเสถียร เลย เพราะหลังการตายมีคนบอกว่าคุณนวมทองประสาทไม่ดีบ้าง เพี้ยนบ้าง กลุ้มใจเพราะไม่มีเงินซ่อมรถบ้าง ซึ่งล้วนเป็นความเท็จทั้งสิ้น
ขนาดคนจะขอออกเงินช่วยซ่อมรถให้ โชเฟอร์ใจเด็ดยังไม่ยอม ใช้เงินของตัวซ่อมรถเอง ไม่เชื่อไปหาอ่านบางกอกโพสต์ย้อนหลังดู ก็จะทราบความจริง!
คุณลุงนวมทอง “แท็กซี่ผู้ยิ่งใหญ่” ไพรวัลย์ ได้แสดงความกล้าหาญ และความรักในระบอบประชาธิปไตย ยอมสละชีวิตตน เพื่อยืนยันความเป็นเสรีชนเต็มเปี่ยม แม้ว่าจะถูกนินทาว่าสติเฟื่อง อะไรต่อมิอะไร ตามที่มีผู้คนโพสต์เข้าไปด่าคนตายกันอุตลุด
ไม่ผิดอะไรกับพวกที่นินทาด่าทอ คุณสืบ นาคะเสถียร ที่มุ่งมั่นรักษาป่าหวยขาแข้ง ตอนที่ท่านปลิดชีวิตตัวเองลงใหม่ๆ
อยากจะบอกผู้ที่คิดว่าคนฆ่าตัวตายเป็นพวกสติไม่ดี รวมทั้งนายพันเอก อัคร ทิพโรจน์ รองโฆษกปากดีกองทัพบก ที่ภริยาผู้ตายบอกว่าสบประมาทสามีของเธออย่างแรงว่า
“ไม่มีใครมีอุดมการณ์มากขนาดยอมพลีชีพ”
ถ้าคิดได้แค่นายพันเอกคนนี้แกคิด คงไม่มีคนที่นำระเบิดมาผูกไว้กับตัว หรือเอาใส่ไว้ในรถยนต์ แล้วพุ่งเข้าหาเป้าหมาย พร้อมกับกดระเบิดทำลาย โดยตัวเองยอมตายไปกับอำนาจแรงระเบิดนั้นด้วย
เหตุการณ์อย่างนี้เกิดขึ้นทั้งในอิรัก ปาเลสไตน์ อิสราเอล ปากีสถาน ฯลฯ และในอนาคตอาจเกิดขึ้นในเมืองไทยด้วยก็ได้
ผมอยากจะถามนายพันโฆษกจริงๆ ว่า
คนเหล่านี้เขาไม่มีอุดมการณ์ หรือสติไม่ดีทั้งหมดอย่างนั้นหรือ!?
ผู้เขียนเชื่อว่าการตายของ คุณลุงนวมทอง ไพรวัลย์ ไม่ได้เป็นการเสียชีวิตอย่างไร้ค่า แต่...
การยอมสละชีพครั้งนี้ จะจุดชนวนการเคลื่อนไหวของนิสิตนักศึกษาประชาชน และปลุกจิตวิญญาณที่รักความเป็นอิสระและเสรีภาพ ให้ลุกขึ้นมาปกป้องรักษาความเป็นเสรีชน ทั้งในวันนี้และเบื้องหน้า
ไม่เชื่อก็คอยดูกัน!
ผมเองก็เหมือนคนไทยทั่วไปที่ห่วงใยประเทศ หวั่นใจว่าเหตุไม่สงบจะต้องเกิดขึ้นในบ้านเมือง อันเป็นที่รักของเราทุกคน แต่ไม่รู้จะทำอย่างไรได้ เพราะจิตวิญญาณที่รักความเป็นอิสระและความเป็น “ไท” รักในเสรีภาพแห่งเสรีชน ยังไม่ได้เหือดแห้งไปจากหัวใจของคนบ้านเราเลย
จะให้ชาวไทยมีชีวิตอยู่กันต่อไปแบบ ‘คนพม่า’ เห็นท่าจะไม่ได้!
บางทีบทกวีของ คุณกุหลาบ สายประดิษฐ์ นักประพันธ์ผู้ยิ่งใหญ่ ที่คุณลุงนวมทองผู้เสียสละเขียนสั่งลาเอาไว้ก่อนพลีชีวิต เพื่อตอกย้ำความเชื่อ ความถูกต้องตามที่ตนเองยึดถือ ทำให้สังคมไทยได้เห็นเป็นที่ประจักษ์ในความเด็ดเดี่ยวกล้าหาญยิ่งของชายคนนี้ ซึ่งจะช่วยเสริมสร้างความรัก และความตื่นตัวในระบอบประชาธิปไตย ให้เกิดขึ้นในหมู่ประชาชนคนในบ้านเมือง ที่มีความรักชาติ รักแผ่นดิน และย้ำเตือนให้พวกเราชาวไทยช่วยกันสืบทอดเจตนารมณ์ของเสรีชน ปกป้องรักษาระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ไว้ให้มั่นคงสืบไป
บทกวีนั้นมีว่า
“อันประชาสามัคคีมีจิตตั้ง เป็นพลังแกร่งกล้ามหาศาล
แสนอาวุธแสนศัตรูหมู่ภัยพาล ไม่อาจต้านแรงมหาประชาชน”
มองดูการตายของ คุณลุงนวมทอง ไพรวัลย์ ครั้งนี้แล้ว ให้เศร้าสะเทือนใจนัก จนชักอดคิดในแง่ร้ายไม่ได้ว่า
ถ้าหากฝ่ายทหารที่แย่งอำนาจการปกครองบ้านเมืองไปจากประชาชน ยังไม่ทำความเข้าใจ และเอาชนะใจผู้คนในบ้านเมืองนี้ไม่ได้ เหมือนอย่างที่เห็นกันอยู่ขณะนี้
เผลอๆ ทหารกับชาวบ้านอาจต้องตะลุมบอนกันอีกรอบ ซ้ำรอย รสช. ก็เป็นได้!
...ใครจะไปรู้!!!
ข้อเขียนแห่งความทรงจำของผม จบลงแค่นั้น...
เมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา หาก คุณลุงนวมทอง ไพรวัลย์ ส่งสายตาผ่านมาจากสรวงสวรรค์ มองมายังบ้านเกิดเมืองนอนของท่าน คงภาคภูมิใจที่เจตนารมณ์ในการรักษาประชาธิปไตยของคุณลุงได้เบ่งบานแดงสะพรึ่บขึ้นในหัวใจคนเกือบทั้งประเทศ ซึ่งต่างพากันสดุดีความห้าวหาญ สมชายชาตรี ที่เสียสละชีวิตตนเอง เพื่อเป็นเครื่องย้ำและเตือนใจคนไทยทั้งชาติให้เห็นความชั่วร้าย ในการใช้กำลังเข้ายึดอำนาจในบ้านเมือง แล้วสร้างระบอบเผด็จการขึ้นมาครอบงำ และดึงประเทศที่รักของเราตกต่ำลงไปในทุกๆ ด้าน แต่สร้างความมั่งคั่งให้กับทหารผู้ก่อการ กับพวกพ้องเท่านั้น
มาถึงวันนี้ ถ้ากำแหงเข้ามาใช้กำลังกัน ทำลายระบอบประชาธิปไตยกันอีก เราๆ ท่านๆ คงจะได้เห็นประชาชนคนไทย
พร้อมใจกัน ไล่ถล่มพวกมัน...ไม่ให้มีที่ยืนบนแผ่นดินนี้
ถ้าคิดว่าตัวเองแน่จริง ไม่กลัวลำบากตอนแก่ และอยากจะเอาอนาคตลูก-เมียและครอบครัวตัวเอง มาเสี่ยงกับการยึดอำนาจอย่างไม่ชอบธรรม...
...ก็ลองดู!!!