คอลัมน์ : ประชาทรรศน์วิชาการ
โดย วาทตะวัน สุพรรณเภษัช
สั่งซื้อหนังสือของ “วาทตะวัน” ไม่ว่าจะเป็น “นินทาประชาธิปัตย์ (ฝ่ายค้าน-ดักดาน หรือ “เหี้ยส่องกระจก” และเล่มอื่นๆ ได้ที่ www.vattavan.com
เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา ผมได้เขียนบทความชื่อ “ประชาธิปไตย-ลิปสติก”
(‘แดมโมแครต’ หรือ ‘แดมโนแครต’) วิพากษ์วิจารณ์คนสำคัญในพรรคประชาธิปัตย์ คือ นาย อภิรักษ์ โกษะโยธิน ซึ่งมีกรณีทุจริตรถและเรือดับเพลิง และ ป.ป.ช. ชี้มูลความผิดไปแล้ว จนในที่สุดนักการตลาดที่เข้ามาเป็นผู้ว่าฯ กทม. ต้องมีอันพ้นตำแหน่งไปด้วยการ ลาออก!
นอกจากนายอภิรักษ์แล้ว ผมยังได้เขียนวิจารณ์บทบาทของ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ที่ลูกพรรคพยายามยกย่องเทียบ นายบารัค โอบามา ทำให้ผู้คนทั้งบ้านทั้งเมืองหัวร่อกันด้วยความขบขัน
การที่ลูกพรรค ปชป. อย่าง นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เล่นบทจำอวดแบบ
“ไอ้เท่ง-ไอ้ทอง” ยกย่องหัวหน้าของตนเองเทียบชั้นนายโอบามานั้น ไม่ใช่รายแรก
แต่เป็นรายที่สอง ต่อจาก “บักยะใส” ที่แอบอ้างอย่างเดียวกัน แต่ไอ้หมอนั่นมันไม่มีราคาค่างวดอะไร เพราะร่วมอยู่ในแก๊งพันธมาร เก็บเบี้ยป่วนเมืองไปวันๆ หาสาระไม่ได้
ตัวบักยะใสเอง ก็ไม่เคยลงสมัครรับเลือกตั้ง บางคราวไม่ได้ไปใช้สิทธิ์เลือกตั้งด้วยซ้ำไป ซึ่งต่างจากนายอภิสิทธิ์ที่ลงเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตย แต่กลับไม่ศรัทธาใน “เสียงข้างมาก” และแสดงบทบาทที่เห็นแล้วขัดหูขัดตานัก เช่น
ปล่อยให้ลูกพรรคที่เป็นทั้ง ส.ส. และพวกสอบตกทั้งหลาย แห่กันเข้าไปร่วมขบวนการป่วนเมือง และแสดงอาการไม่สนับสนุนระบอบที่ถูกต้อง โดยไม่ยอมเข้าประชุมสภา กลับปล่อยให้สมาชิกพรรคเดียวกันยกพลปฏิบัติการเข้ายึดอาคารรัฐสภา ซึ่งเป็นเขตพระราชฐาน โดยมีพวก ส.ส. ของพรรคตัวเอง ไม่ยอมเข้าประชุมสภาตามหน้าที่ กลับออกไปยืนหน้ารัฐสภา แสดงอาการเหมือนจะหนุนพวกแก๊งป่วนเมือง เห็นแล้ว ต้องบอกว่า...ทุเรศ (ว่ะ)!
โชคดีของบ้านเมือง ที่รัฐบาลไทยไม่ถึงคราวฉิบหายป่นปี้เหมือนทำเนียบรัฐบาล เพราะเจ้าหน้าที่ตำรวจป้องกันรัฐสภาเอาไว้ได้สำเร็จ แถมไอ้ตัวที่นำระเบิดมาหวังจะถล่มเมือง กลับโดนระเบิดตัวเอง เพราะเมียดันโทรเข้าไปในมือถือพอดิบพอดี เลยจุดชนวน “ฆ่าผัวตัวเอง”...ในฉับพลันทันที!
หลังจากที่ข้อเขียนของผม ชื่อ “ประชาธิปไตย-ลิปสติก” ลงตีพิมพ์เรียบร้อยแล้ว ก็มีคนโทรมาคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน โดยเฉพาะแฟนๆ ที่แห่กันเข้ามาจองหนังสือ “นินทา-ประชาธิปัตย์ (ฝ่ายค้าน-ดักดาน)” ซึ่งทุกท่านคงจะได้อ่านกันเต็มอิ่ม เพราะมีความหนามากกว่าทุกเล่มที่เขียนมา
เมื่อท่านอ่านหนังสือสำคัญเล่มนี้จบลง ผู้เขียนเชื่อว่า ใครก็ตามที่คิดจะลงคะแนนให้พรรคประชาธิปัตย์ อาจถึงคราวต้องเปลี่ยนใจ เพราะคนเขียนหนังสือเล่มนี้ มุ่งที่จะขุดสันดอนแห่งสันดานของพรรคการเมืองนี้ออกมาตีแผ่ให้ผู้คนเห็นกันจะๆ ความจริงหนึ่งที่จะปรากฏขึ้นมาสู่สาธารณชนนั้น คือ พรรคเก่าแก่นี้มีปัญหาอย่างใหญ่หลวงในเรื่อง “สปิริต”
กรณีของนายอภิรักษ์นั้น ผู้คนจำนวนมากยังพูดกันถึงเรื่องความรับผิดชอบของประชาธิปัตย์ว่าจะรับผิดชอบกับสังคมอย่างไร เพราะเป็นตัวการที่ทำให้รัฐต้องเสียเงินเพื่อการเลือกตั้งใหม่อีก 200 ล้านบาท (โดยประมาณ) รวมทั้งค่ารถค่าเรือของคนกรุงเทพ กับเวลาที่ชาวกรุง ต้องเสียกับการออกไปลงคะแนนอีกครั้ง
เงินจำนวนนี้เป็นเครื่องสังเวยความดื้อด้านของพรรคเก่าแก่นี้ เพราะหัวหน้าพรรคและคนในแก๊งเดียวกัน ไม่ฟังคำเตือนที่ผู้คนทักกันว่าอย่าส่งนายอภิรักษ์ลงไปเลย เพราะต้องเกิดปัญหาแน่ๆ และก็เป็นจริงอย่างที่ผู้คนคาดกันเอาไว้
ก่อนหน้าปัญหาจะเกิดเพราะ ป.ป.ช. ชี้มูลตัวนายอภิรักษ์ พรรคประชาธิปัตย์ก็ก่อความอัปยศอีกครั้ง ด้วยการจัด “ระดมทุน” กวาดต้อนเงินจากผู้คนที่อ้างว่าเป็นผู้สนับสนุน แต่ผู้คนกลับลือกันให้แซ่ดว่า แท้จริงแล้วผู้ที่อยู่ในตำแหน่งที่เอื้อต่อการระดมทุนก็คือนายอภิรักษ์นั่นเอง! ทำกันอย่างนี้เอง เป็นเหตุนายชูวิทย์ถึงกับออกมาโจมตีอย่างหนักว่า ที่นาย
หล่อเล็กต้องยื้ออยู่ในตำแหน่งผู้ว่าฯ ต่อไปอีก จนถึงวันที่ 19 พฤศจิกายน แท้ที่จริงเพราะเคลียร์บิลยังไม่จบ เนื่องจากเขตใหญ่เขตเล็ก สำนักงานโยธาต่างๆ ยังไม่เข้าเป้าทั้งหมด
จึงอยากให้ รมว.มหาดไทย ขอความร่วมมือไปยัง รมว.ยุติธรรม สั่งการให้กรมสอบสวนคดีพิเศษ เปิดการสอบสวนข้อเท็จจริงตามข้อกล่าวหาของ “เสี่ยอ่างแตก” เป็นการด่วน คงจะได้ข้อเท็จจริงมาตีแผ่กันให้สนุกสนานอีกแน่ๆ
นายอภิรักษ์นั้น แม้จะพ้นตำแหน่งไปเพราะการลาออกก็ตาม บรรดาสมาชิกพรรค ปชป. ได้มีความพยายามแก้เกี้ยวว่า
เป็นการแสดงสปิริต และนายอภิรักษ์นั้นถึงกับบอกว่าเป็นการสร้างมาตรฐานการเมืองใหม่ แต่ผมอยากจะบอกท่านผู้อ่านว่า
ต่อให้นายอภิรักษ์หน้าด้านอยู่ในตำแหน่งต่อไปก็ทำงานต่อไม่ได้แล้ว เพราะกฎหมาย ป.ป.ช. บังคับให้ “ต้องหยุดการปฏิบัติหน้าที่” จึงขอยืนยันอีกครั้งว่า
การที่นายอภิรักษ์ลาออกนั้น เป็นเพราะจำนนต่อหลักฐาน ไม่ใช่ความมีสปิริตอย่างเด็ดขาด ใครจะคิดไปหาสปิริตอะไรก็ตาม จากพรรคหรือสมาชิกพรรคฝ่ายค้าน ต้องใคร่ครวญให้จงหนัก เพราะคงหาได้ยาก เหมือนความเจริญของบ้านเมืองที่ยังไม่เคยมองเห็นว่า พรรคนี้อยู่มานานจนป่านนี้ ได้ “เคยทำ” อะไรในเรื่องที่เป็นประโยชน์...
จนทำให้ประเทศของเรา ก้าวเดินไปสู่ความเจริญอย่างไรบ้าง!?
ดังนั้น อย่าพูดถึงสปิริตของพรรคฝ่ายค้านดักดานเลย เพราะหากพวกเขามีสปิริตจริง จะต้องลงโทษตัวและพรรคด้วยการไม่ส่งผู้สมัครลงชิงตำแหน่งผู้ว่าฯ กทม. ซึ่งเรื่องอย่างนี้ไม่มีวันเกิดขึ้นกับพรรคการเมืองที่ชื่อ “ประชาธิปัตย์” เด็ดขาด แต่วันนี้จะพูดถึงเรื่อง “สปิริต” ของอดีตยุวประชาธิปัตย์คนหนึ่ง ที่ชื่อ“นายกล้านรงค์ จันทิก”
เรื่องของอีตาคนนี้น่าสนใจ เพราะแม้ผมเองจะได้ยินข่าวมานาน แต่เพิ่งเห็นหลักฐานชัดเจนว่า บัดนี้ได้มีข้อกล่าวหาที่จะกลายเป็นเรื่องใหญ่ที่จะเปลี่ยนแปลงชีวิตของบุคคลผู้นี้ กล่าวคือ นายกล้านรงค์ จันทิก จงใจยื่นบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินโดยปกปิดข้อเท็จจริงที่ควรแจ้งให้ทราบขณะเข้ารับตำแหน่งเลขาธิการ คณะป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เมื่อ พ.ศ.2543 และพ้นจากตำแหน่ง เมื่อ พ.ศ.2546
ดังนั้น นายกล้านรงค์ต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่ทันทีในฐานะเป็นคณะกรรมการ ป.ป.ช. ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้ การยื่นบัญชีทรัพย์สินนั้น เป็นการแสดงความบริสุทธิ์ใจก่อนที่จะเข้าดำรงตำแหน่งของผู้ที่อยู่ในฐานะซึ่งเป็นที่ไว้วางใจต่อประชาชน ไม่ว่าจะเป็นคณะกรรมการองค์กรอิสระ คณะรัฐมนตรี ฯลฯ
ความจริงแล้ว ถ้าเจ้าตัวผู้ยื่นมีความสุจริต มีทรัพย์สิน หรือหนี้สินเท่าใด ก็ยื่นกันไปตามนั้น แต่การยื่นบัญชีทรัพย์นั้น ผู้ที่ดำรงตำแหน่งจะต้องยื่นบัญชีทรัพย์สิน ซึ่งต้องยื่นบัญชีทรัพย์สินของคู่สมรสและบุตรที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะเข้ามาด้วย
ขอให้ดูตัวอย่าง เมื่อไม่กี่วันนี้ ได้มีการดำเนินการกับอดีตรัฐมนตรีที่มีเรื่องอื้อฉาวคาวโลกีย์ กรณีพาสาวเข้าโรงแรม จนต้องลาออกจากการเป็นรัฐมนตรีไป ขนาดเจ้าตัวได้พ้นจากตำแหน่งไปตั้งหลายปีแล้ว ปรากฏว่า
จากการตรวจสอบข้อมูล พบการไม่แจ้งบัญชีทรัพย์สินของภริยาอีกนับร้อยล้านบาท เจ้าตัวเลยมีเรื่องจะต้องขึ้นศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองในอีกไม่กี่วันข้างหน้า
ที่ว่านายกล้านรงค์จงใจยื่นบัญชีทรัพย์สินและหนี้สิน โดยปกปิดข้อเท็จจริงที่ควรแจ้งให้ทราบ ขณะเข้ารับตำแหน่งเลขาธิการ ป.ป.ช. เมื่อ พ.ศ.2543 และพ้นจากตำแหน่ง 2546 มีรายละเอียดพอสรุปได้ย่อๆ ดังนี้
1. กรณีเข้ารับตำแหน่ง เมื่อวันที่ 12 มีนาคม 2543 นายกล้าณรงค์ได้ยื่นรายการทรัพย์สินของนางพันทิพาคู่สมรส ว่ามีหลักทรัพย์และเงินลงทุนอื่น คือ หุ้นบริษัท บิ๊กบูล เทคโนโลยี (ประเทศไทย) จำกัด “มูลค่า 3 ล้านบาท” โดยที่ไม่ได้แจ้งว่า นางพันทิพามีหุ้นของ “บริษัทภานันทน์จำกัด” ทั้งๆ ที่นางพันทิพาเป็นผู้เริ่มก่อการ เป็นผู้ขอจดทะเบียนตั้งแต่ปี 2532 และมีหุ้นอยู่ในวันยื่นบัญชีด้วย
2. กรณีพ้นจากตำแหน่ง เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2546 นายกล้าณรงค์ได้ยื่นรายการทรัพย์สินของนางพันทิพาคู่สมรส ว่ามีทรัพย์และเงินลงทุนอื่น คือ “หุ้นของบริษัท บิ๊กบูล เทคโนโลยี (ประเทศไทย) จำกัด” มูลค่า 3 ล้านบาท โดยที่ไม่ได้แจ้งว่านางพันทิพาได้เป็นกรรมการผู้จัดการแต่เพียงผู้เดียว บริษัท ภานันท์ จำกัด ซึ่งต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็นบริษัท บูลเบิร์ด เทคโนโลยี จำกัด ตั้งอยู่ที่บ้านเลขที่ 45/1-2 ซอยอารีสัมพันธ์ 3 ถนนพหลโยธิน แขวงสามเสนใน เขตพญาไท กรุงเทพฯ ซึ่งเป็น...บ้านที่นายกล้านรงค์กับนางพันทิพาอาศัยอยู่ด้วยกันจนทุกวันนี้!!!
ท่านผู้อ่านที่เคารพครับเมื่อพิจารณาดูจากพยานหลักฐานทั้งหมด ซึ่งมีทั้งรายการแจ้งทรัพย์สินของ นายกล้านรงค์ทั้ง 2 ช่วงของการยื่นบัญชีทรัพย์สินแล้ว เห็นว่าหลักฐานนั้นชัดเจน ยิ่งเห็นหลักฐานของกระทรวงพาณิชย์ ซึ่งคัดมาให้เห็นสดๆ ร้อนๆ คือ เมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายน 2551 นี่เอง ยิ่งจะแสดงให้เห็นโดยปราศจากข้อสงสัยว่า
นอกจากจะยื่นบัญชีทรัพย์สินอันเป็นเท็จแล้ว นายกล้านรงค์ จันทิก ก็ยังลอยหน้าลอยตา ปล่อยให้ภริยาใช้บ้านพักของตนเองเป็นสถานที่ประกอบการค้า ช่างไม่เกรงการตกเป็น “ขี้ปาก” สังคมบ้างเลย!
ดังนั้น การกระทำของนายกล้าณรงค์เป็นการจงใจปกปิดทรัพย์สินของนางพันทิพาคู่สมรส ทั้งขณะเข้ารับตำแหน่ง (พ.ศ.2543) และขณะพ้นจากตำแหน่ง (พ.ศ.2546) อันเป็นการกระผิดกฎหมาย พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 มาตรา 41 ซึ่งมาตรานี้...
เป็นผลให้นายกล้านรงค์ จะต้องพ้นจากการเป็นกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริต ตั้งแต่วันที่พบการกระทำผิดดังกล่าว คือวันที่ 20 พฤศจิกายน 2551 และเป็นความผิดที่มีโทษจำคุก ด้วยตามความแห่งมาตรา 119 ในกฎหมายเดียวกันนี้ ซึ่งมีโทษจำคุกไม่เกิน 6 เดือน หรือปรับไม่เกินหนึ่ง 10,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
ท่านผู้อ่านอาจสงสัยว่าทำไม “วาทตะวัน” จึงไม่นำเอกสารประกอบการพิจารณา เช่น หลักฐานการยื่นบัญชีทรัพย์สินแต่ละครั้งของนายกล้านรงค์ นำมาเปรียบเทียบให้เห็นกันจะๆ จะได้ชี้ผิดชี้ถูกกันได้ ก็ต้องบอกว่า
เนื้อที่คอลัมน์...ไม่พอครับ
อยากจะกราบเรียนกับแฟนๆ ว่า เรื่องหลักฐานทั้งหลายทั้งปวงนั้น หากคนที่เป็นพนักงานสอบสวนมานานๆ ย่อมรู้ดีว่าหลักฐานแค่ไหนพอที่จะทำให้รูปคดีเปลี่ยนแปลงได้
เรื่องนี้...ก็เหมือนกัน
คนที่เข้ายื่นคำร้องต่อคณะกรรมการ ป.ป.ช. เพื่อพิจารณามีมติให้ นายกล้านรงค์ จันทิก หยุดปฏิบัติหน้าที่นั้น เขาเคยเป็นทั้งพนักงานสอบสวน หัวหน้าพนักงานสอบสวนส่วนจังหวัด และหัวหน้าพนักงานสอบสวน กองบังคับการในสังกัดกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลางมาก่อน เรียกว่าน้ำหนัก ชื่อชั้น ขึ้นชกกับนายกล้านรงค์ได้สบายมาก!
ว่ากันว่า บุคคลผู้นี้ถ้ายื่นหลักฐานฟาดใครแล้ว “รอดยาก” เพราะเขาละเอียดพิถีพิถันในการจัดลำดับพยานหลักฐานเข้าสนับสนุน จนน่าจะเปลี่ยนนามสกุลให้เป็น “ชุนละเอียด” ตามที่ คุณไชยา สะสมทรัพย์ อยากจะเปลี่ยนให้ท่านรองนายกฯ โอฬาร ไชยประวัติ ด้วยซ้ำไปที่ยืนยันได้หนักแน่นอย่างนี้ เพราะเขาผู้นั้นชื่อ...“พล.ต.ต.ดร.เสวก ปิ่นสินชัย” เจ้าของฉายา “อัศวินดำ” ผู้เขย่า กกต. จนขวัญหนีดีฝ่อ และคดียังคงค้างคากันอยู่ที่ DSI...นั่นเอง!!!