WeLoveOurKing
How to insert weloveking to you website

ทรงพระเจริญ

ขัตติยาอัด คอป แต่งนิทานโยนความผิดเสธ แดง 18 9 55

สถาบันกษัตริย์อยู่ได้ด้วยความจริง

ธงชัย วินิจจะกูล: Truth on Trial

สถาบันกษัตริย์ถึงเวลาต้องปรับตัว

ตุลาการผิดเลน !


ฟังกันให้ชัด! "นิติราษฎร์" ไขข้อข้องใจ ทุกคำถามกรณีลบล้างผลพวงรัฐประหาร





วิดีโอสอนการทำน้ำหมักป้าเช็ง SuperCheng TV ฉบับเต็ม 1.58 ชม.

VOICE NEWS

Fish




เพื่อไทย

เพื่อไทย
เพื่อ ประชาธิปไตย ขับไล่ เผด็จการ

Thursday, November 20, 2008

แมวขาวแมวดำ

บทความ โดย ปูนนก

ครั้งหนึ่งท่านอดีตผู้นำจีนผู้ยิ่งใหญ่ ผู้เป็นเจ้าของสโลแกน 4 ทันสมัยอันลือลั่น ท่าน เติ้ง เสี่ยว ผิง ได้เคยกล่าวเอาไว้เป็นอมตะวาจาว่า แมวไม่ว่าจะสีขาวหรือสีดำ ถ้าจับหนูได้ก็ใช้ได้ ในการต่อสู้ทางการเมืองนั้นจำเป็นอย่างยิ่งที่คู่แข่งขันจะต้องทำทุกวิถีทางเพื่อให้ได้อำนาจรัฐมาครอบครองให้ได้ เพราะนั่นคือเป้าหมายของการต่อสู้เพื่อนำไปสู่ชัยชนะและเป็นผู้วางกฎเกณฑ์ การต่อสู้ทางการเมืองไม่ใช่การต่อสู้ในลักษณะ ธรรมะกับอธรรม แต่เป็นการต่อสู้ในเชิง ปรัชญาแนวความคิดและมุมมอง ที่แตกต่างกัน ไม่ใช่การต่อสู้ในเชิงอุดมคติเพื่อความถูกต้องหรือการ ผดุงคุณธรรม ดังนั้นถ้าใครก็ตามมองการเมืองในเชิงอุดมคติ หรือเชิงคุณธรรมความดีความเลว ก็อาจจะทำใจยากที่จะวิเคราะห์หรือยอมรับการกระทำบางอย่างของบุคคลที่เรียกว่า นักการเมือง

ผู้ที่ที่เข้ามาสู่แวดวงอำนาจทางการเมือง และการแสวงหาอำนาจบารมีในการปกครองนั้นพวกเขามีความคิดที่ แตกต่าง ไปจากบุคคลธรรมดาทั่วไปอย่างสิ้นเชิง การนำเอาแนวคิดของสังคมชาวบ้านปกติที่มีพื้นฐานแห่งความโอบอ้อมอารี มีความรักผูกพันกัน มีความจริงใจ ขาวคือขาวดำคือดำ มาใช้ในการตัดสินนักการเมืองนั้นเป็นเรื่องที่อันตรายมาก และนี่คือสิ่งที่ชาวบ้านทั่ว ๆ ไปไม่เข้าใจ หรือยากที่จะเข้าใจได้ ซึ่งนักการเมืองทั้งหลายต่างก็รู้จุดอ่อนในเรื่องนี้ดี พวกเขาจึงนำเอาจุดอ่อนของชาวบ้านที่มีความจริงใจเหล่านี้ มาเป็นเครื่องมือในการขึ้นสู่อำนาจเสมอมา

มีคำกล่าวให้ได้ยินบ่อย ๆ ว่า ในทางการเมืองนั้น ไม่มีมิตรแท้ ไม่มีศัตรูที่ถาวร นี่ไม่ใช่สิ่งที่เกินเลยแต่อย่างใด ผู้นำทางการเมืองที่ยิ่งใหญ่ในอดีตที่ผ่านมา ไม่ใช่ผู้นำที่ดีงามบริสุทธิ์ผุดผ่องขาวสะอาด อย่างที่ชาวบ้านเข้าใจกัน ทุก ๆ คนต่างก็ผ่านการละเลงเลือด, การหักหลัง, การทำลายฝ่ายตรงข้าม เพื่อให้ตนเองได้ขึ้นสู่อำนาจมาแล้วทั้งนั้นไม่ว่าจะเป็น เหมา เจ๋อ ตุง, เจียง ไค เช็ค, โฮจิมินท์, เลนิน, สตาลิน, ยอร์ช วอร์ชิงตัน, อับราฮาม ลินคอน, หรือแม้กระทั่งการเปลี่ยนราชวงศ์ ในสมัยต้นกรุงรัตนโกสินทร์ ฯลฯ สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่สิ่งดี หรือสิ่งเลว แต่เป็นการช่วงชิงเพื่อขึ้นสู่อำนาจที่จะได้ครอบครองบ้านเมือง ถ้าไม่ทำก็ไม่มีโอกาสได้อำนาจนั้นมา ดังนั้นถ้าชาวรากหญ้าอย่างเรา ๆ นำเอาความคิดแบบอุดมคติไปใช้ในการพิจารณาเรื่องราวทางการเมือง ก็จะทำให้ไม่สามารถเข้าใจและวิเคราะห์ได้อย่างถูกต้องอย่างแน่นอน........

ส่วนผู้นำการต่อสู่อีกลักษณะหนึ่งที่ไม่พยายามนำตัวขึ้นสู่อำนาจแต่เป็นไปในเชิงสัญลักษณ์ ก็มักจะไม่อาจอยู่รอดได้เช่น มหาตะมะ คานธี, ก็จะถูกไล่ล่า และถูกสังหารไปในที่สุด เพียงเพราะไม่มีอำนาจอยู่ในมือของตน ด้วยเหตุนี้การต่อสู้ทางการเมืองเพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในเชิง ปรัชญาแนวคิด ในทางการเมืองนั้น สิ่งสำคัญก็คือจะต้องทำทุกสิ่งให้ได้มาซึ่งอำนาจการปกครองเสียก่อน จากนั้นจึงจะสามารถนำแนวคิดของตนเองนั้นมาใช้หรือส่งต่อไปสู่การปฏิบัติได้ ถ้าไม่ได้อำนาจนั้นมาก็ไม่มีทางที่จะทำอะไรได้ และตนเองก็อาจจะถูกกำจัดจากผู้ที่คิดต่างออกไปก็เป็นได้

เมื่อเริ่มแรกท่านนายกทักษิณ ได้เข้ามาสู่แวดวงการเมืองด้วยความคิดที่นำเอาปรัชญาแบบชาวบ้านเข้ามาใช้คือ มีความจริงใจ แสดงความเอื้ออาทร มีความเกรงใจ รักผูกพัน ให้ความเคารพนบนอบต่อผู้อาวุโส และเชื่อมันในความถูกต้อง ผิดคือผิดถูกคือถูก ซึ่งในระยะแรก ๆ ก็ไม่มีปัญหาอะไรเพราะท่านยังไม่ได้รับความนิยมอะไรมากนัก เรียกได้ว่ายังไม่ได้ขึ้นสู่อำนาจอย่างแท้จริง แต่พอแนวคิดและปรัชญาการทำงานของท่าน ทำให้ท่านได้ก้าวเข้ามาสู่อำนาจอย่างเต็มตัว ด้วยอำนาจที่มาจากความนิยมของประชาชน เพราะผลงานของที่หลากหลายและเป็นรูปธรรมที่สัมผัสได้จริง ทำให้ท่านจึงถูกสิ่งที่เรียกว่า การเมือง เล่นงานอย่างเจียนเป็นเจียนตาย การถูกรัฐประหารเมื่อวันที่ 19 ก.ย. ที่ผ่านมา เป็นตัวอย่างแสดงให้เห็นถึงการถูก การเมือง หักหลัง และหลอกลวงอย่างชัดเจนที่สุด ครอบครัวต้องระหกระเหิน เร่รอน พลัดที่นาคาที่อยู่ และล่าสุดต้องถึงกับ บ้านแตกสาแหรกขาด ต้องหย่าขาดกับภรรยา เพียงเพื่อความอยู่รอดของครอบครัวไม่ให้ได้รับผลกระทบไปมากกว่านี้ (ซึ่งสำหรับสังคมไทยแล้ว การหย่าร้างถือเป็นสิ่งเลวร้ายมาก)

การเมือง ไม่มีขาวหรือดำ มีแต่เพียงทำอย่างไรถึงจะครอบครองอำนาจให้ได้ เพราะถ้าผู้ใดครองอำนาจ ผู้นั้นเป็นผู้เขียนกฎ ด้วยเหตุนี้ระยะหลัง ๆ เราจึงเห็นท่านนายกทักษิณ ได้กระทำหลายอย่างที่ต่างไปจากสมัยที่ท่านเคยเป็นนายกในระยะแรก ๆ ก็เพราะว่าท่านนายกทักษิณ เข้าใจถึงการต่อสู้ทางการเมืองมากยิ่งขึ้นว่า ต้องทำทุกวิถีทางเพื่อให้ครอบครองอำนาจรัฐมาให้ได้ มิฉะนั้นไม่ใช่เพียงแค่ สู้ไม่ได้ แต่จะ ไม่มีโอกาสได้สู้ เสียด้วยซ้ำ

หลังจากที่ท่านนายกทักษิณ โฟนอิน เข้ามาในงานความจริงวันนี้ที่สนามราชมังคลาฯ เมื่อวันที่ 1 พ.ย. ที่ผ่านมา จะเห็นได้ว่ามีข่าวท่านนายกทักษิณมีการเคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่อง และค่อนข้างจะแข็งกร้าวพอสมควร การให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวรอยเตอร์ว่าตนเองเป็นนักต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย และต้องการที่จะมีความเป็นอิสระไม่ถูกผูกมัด กระแสข่าวการเดินทางไปประเทศโน้นประเทศนี้โดยไม่สามารถหาที่อยู่แน่นอนได้ รวมทั้งมีข่าวลือหนาหูว่าท่านนายกทักษิณลอบเข้ามาในเมืองไทยในช่วงงานพระราชพิธีพระราชทางเพลิงศพพระพี่นางฯ ข่าวลือไม่มีที่มาเหล่านี้สร้างความหวั่นไหวอย่างมากให้กับเหล่าอมาตย์ที่เป็นคู่ต่อสู้ทางการเมืองกับท่านนายกทักษิณ

และโดยก่อนหน้านั้น พ.อ. พัลลภ ปิ่นมณี ที่เคยเป็นไม้เบื่อไม้เมากับท่านนายกทักษิณ สมัยท่านเป็นนายกอยู่นั้นและเคยเป็นผู้ต้องสงสัยคนสำคัญในเรื่อง คาร์บอม ที่เคยลอบสังหารท่านนายกทักษิณ ก่อนที่ท่านนายกทักษิณจะถูกรัฐประหารในวันที่ 19 ก.ย. 2549 ในสมัยนั้นทุก ๆ มือต่างชี้ไปที่ พ.อ. พัลลภ ปิ่นมณี ว่าเป็นศัตรูตัวสำคัญที่คอยทำลายท่านนายกทักษิณ จนถึงขั้นเอาชีวิตกัน แต่ทว่าหลังจาก พ.อ. พัลลภ ปิ่นเกล้า ได้เดินทางไปพบกับท่านนายกทักษิณ ที่ประเทศจีน จากนั้น พ.อ. พัลลภ ปิ่นมณี ที่เป็นไม้เบื่อไม้เมากับท่านนายกทักษิณ จนถึงขั้นจะเอาชึวิตกันก็กลับมาให้สัมภาษณ์ยืนยันถึงความ จงรักภักดี ที่ท่านนายกทักษิณ มีต่อสถาบันอย่างมั่นคง 100% และดูเหมือนจะออกมายืนเคียงข้างท่านนายกทักษิณ และพร้อมจะแตกหักกับเพื่อนรักร่วมรุ่นอย่าง พล.ต. จำลอง ศรีเมือง

ขณะนี้ท่านนายกทักษิณ ต้องการที่จะเอาชนะทางการเมืองเพื่อแนวคิดแบบประชาธิปไตย และในการต่อสู้ทางการเมืองนั้นจุดมุ่งหมายก็คือ ต้องครอบครองอำนาจรัฐ ให้ได้ การที่ พ.อ. พัลลภ ปิ่นมณี เคยเป็นศัตรูตัวร้ายของท่านนายกทักษิณ มาก่อน แต่ในที่สุดจะโดยอะไรก็ตามท่านนายกทักษิณ สามารถทำให้ พ.อ. พัลลภ ปิ่นมณี จากที่เคยยืนอยู่ฝ่ายตรงข้ามและเป็นศัตรู กลับกลายมาเป็นมิตรและยืนอยู่ฝ่ายเดียวกันได้ ในกรณีนี้ถ้านำแนวคิดเชิงอุดมคติแบบชาวบ้านรากหญ้าทั่ว ๆ ไป (แบบเรา ๆ ท่าน ๆ) มาพิจารณาโดยใช้มุมมองในลักษณะของ ขาวก็คือขาวดำก็คือดำ ใครที่เคยเป็นศัตรูกันมาก่อนถึงขั้นเอาชีวิตกันมาแล้วนั้น ยากที่จะไว้ใจได้ ไม่ควรจะนำมาร่วมทำงานด้วย วิธีคิดแบบนี้ใช้ไม่ได้กับการต่อสู้ทางการเมืองอย่างสิ้นเชิงครับ

วันนี้ท่านนายกทักษิณ ชินวัตร ได้ก่อตั้งมูลนิธิฯ buildingbetterfuture foundation ขึ้นมาแล้วน่ะครับ http://www.buildingbetterfuture.org/advisors/dr-thaksin-shinawatra มูลนิธิฯ นี้เป็นฐานกำลังอีกทางหนึ่งที่ท่านนายกทักษิณ ต้องการรวบรวมกำลังจากทั่วทั้งโลก ในการต่อสู้ทางการเมืองในทุกวิถีทาง ขณะที่ฝ่ายอมาตย์ก็รวบรวมกำลังของตนเองจากทั่วโลกเช่นกัน การที่ท่านนายกทักษิณ ถูกถอนวีซ่า ไม่อนุญาตให้เข้าประเทศอังกฤษอีก นั่นก็ไม่ใช่เหตุบังเอิญ แต่มาจากแนวร่วมของอมาตย์ที่แสวงหามาจากทั่วโลกเช่นกัน

ดังนั้นการต่อสู้ทางการเมืองในวันนี้ การนำศัตรู 1 คนมาเป็นมิตรได้ ก็เท่ากับทำลายศัตรูและเครือข่ายของศัตรูได้ไม่น้อย และเท่ากับเพิ่มกองกำลังในการต่อสู้ฝ่ายประชาธิปไตยขึ้นมาได้มากมาย ดังนั้นในชั่วโมงนี้ท่ามกลางการต่อสู้ทางการเมืองที่กำลังเข้าสู่จุดแตกหักในเวลาอีกไม่นานนี้ แมวสีขาวหรือแมวสีดำ ขอให้จับหนูได้ก็ใช้ได้ และนี่คือการต่อสู้ทางการเมืองที่จะนำประชาธิปไตยกลับมาสู่ประเทศไทยเพื่อพี่น้องคนไทย และลูกหลานของเราในอนาคตในอีกไม่นานนี้น่ะครับ

ปูนนก

จาก thaifreenews