คอลัมน์ : โต๊ะข่าวประชาทรรศน์
โดย เอกฉัตร
วันนี้ผมยังไม่แน่ใจว่า พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ จะทำใจลงนามออกคำสั่งแต่งตั้งโยกย้ายนายตำรวจระดับสารวัตรถึงรองผู้บังคับการได้หรือไม่ หลังจากที่มีการร้องเรียนกันมั่วไปหมดจากตำรวจที่บอกว่าไม่ได้รับความเป็นธรรมจากการแต่งตั้งโยกย้าย
ผมพยายามทำใจมองการแต่งตั้งโยกย้ายตำรวจมาทุกยุคทุกสมัยว่า เป็นเรื่องปกติที่มีการร้องเรียนขอความเป็นธรรม เพราะการแต่งตั้งโยกย้ายทุกคำสั่ง ไม่ต่างจากคดีที่เกิดขึ้นทุกคดี จะต้องมีคนพอใจและไม่พอใจ
ฝ่ายที่ชนะคดีก็จะบอกว่าศาลให้ความเป็นธรรม
ฝ่ายที่แพ้ก็จะบอกว่าไม่ได้รับความเป็นธรรม
ทุกครั้งที่มีการร้องเรียนความไม่เป็นธรรมในการแต่งตั้งโยกย้ายตำรวจ ผมจึงบอกกับตำรวจที่ร้องเรียนด้วยคำพูดเดิมๆ ว่า ย้ายไปอยู่ที่ไหนก็ยังเป็นตำรวจ รับเงินเดือนเหมือนเดิม
ต้องทำใจว่า “ค่าของคน อยู่ที่คนของใคร” การแต่งตั้งโยกย้ายจึงมีคำว่า “เพื่อความเหมาะสม” เป็นเหตุผลในทุกคำสั่งแต่งตั้งโยกย้าย
แต่คำสั่งแต่งตั้งโยกย้ายครั้งล่าสุด ที่ยังไม่แน่ใจว่าผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติจะทำใจลงนามได้หรือยัง ดูเหมือนมีการร้องเรียนกันมากผิดปกติ
ซึ่งผมถือว่าเป็นเหตุการณ์ปกติ เพราะในห้วงเวลาที่ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียาเวส ดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เป็นยุคที่มีการแต่งตั้งโยกย้ายที่สับสนอลหม่านที่สุด เพราะมีการย้ายกันเป็นรายวัน รายสัปดาห์ รายปักษ์ และ รายเดือน เหมือนกับการออกหนังสือพิมพ์และนิตยสาร จนมีการเรียกขานกระแนะกระแหนกันว่า เป็นผู้บัญชาการโยกย้ายแห่งชาติ โดยมีการโยกย้ายข้ามห้วยกันมากมายหลายตำแหน่ง
จึงเป็นเรื่องปกติที่การแต่งตั้งโยกย้ายครั้งนี้ก็ต้อง “ล้างบาง” กันขนานใหญ่กว่าปกติ ประกอบกับคนที่ถูกปลดออกไปกับคนที่มาใหม่ ตั้งป้อมงัดกันมาก่อน จึงถือเป็นเรื่องปกติที่คนใหม่จะต้องจัดการกับขบวนการศูนย์อำนาจเก่าให้เบ็ดเสร็จเด็ดขาด
คนที่ถูกย้ายไปสู่ตำแหน่งที่ต่ำกว่าเดิม ก็ขอให้ทำใจว่า ตอนที่ย้ายมาดีขึ้นนั้น ก็ข้ามห้วยข้ามหน้าข้ามตาคนอื่นมาเหมือนกัน
เช่นเดียวกับนายตำรวจระดับรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ หลังจากที่ศาลปกครองกลางมีคำพิพากษาให้เพิกถอนคำสั่งของคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข หรือ คปค. ที่มี พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน อดีตผู้บัญชาการทหารบก เป็นหัวหน้า กรณีที่ย้าย พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ พ้นจากรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ไปเป็นที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี ฝ่ายข้าราชการประจำ สำนักงานเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
เป็นที่รับรู้กันทั่วไปว่า การย้ายหลังจากที่ พล.อ.สนธิ ยึดอำนาจการปกครองประเทศจาก พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549 นั้น เพราะ พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ พ้นจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เป็นพี่ชาย คุณหญิงพจมาน ชินวัตร ภริยาของ พ.ต.ท.ทักษิณ เท่านั้น ส่วนความผิดอื่นๆ ไม่มีแม้แต่นิดเดียว พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ จึงฟ้องศาลปกครองให้เพิกถอนคำสั่ง
เมื่อศาลได้พิพากษาให้เพิกถอนคำสั่ง เมื่อวันที่ 12 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา นั่นหมายความว่า การดำรงตำแหน่งรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติของ พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ มีมาอย่างต่อเนื่อง การนับอาวุโสจึงมีการสะดุดลง อย่างที่หลายคนพยายามกล่าวอ้างว่า หากถูกย้ายไปเป็นที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี เมื่อย้ายกลับมาสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ก็ต้องเริ่มนับอาวุโสกันใหม่
ดังนั้น คำพิพากษาของศาลปกครองจะตีความเป็นอื่นไปไม่ได้ นอกจากว่าวันนี้ พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ เป็นรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ อาวุโส อันดับ 1
หากจำกันได้ก่อนที่ พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ จะถูก พล.อ.สนธิ ลงดาบเชือด เพราะเป็นพี่ชายของคุณหญิงพจมานนั้น เคยดำรงตำแหน่งรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ อาวุโสอันดับ 1 มาก่อน จ่อคิวจะขึ้นเป็นผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ต่อจาก พล.ต.อ.โกวิท วัฒนะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย คนปัจจุบัน
ทั้ง พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียาเวส และ พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ก็คงไม่ก้าวขึ้นมาเป็นเบอร์หนึ่งของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพราะ พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ จะเกษยีณอายุราชการปี 2555 แต่เมื่อเกิดอุบัติเหตุทางการเมืองขึ้นมาแล้ว ต้องถือว่าเป็นไปตามยถากรรม ต้องปล่อยเลยตามเลย
เมื่อทุกอย่างเข้าสู่ภาวะปกติ ศาลปกครองกลางได้เพิกถอนคำสั่งของ คปค. ไปแล้ว พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ จะต้องคืนความชอบธรรมให้กับ พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ จัดอันดับใหม่ให้เป็นรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ อาวุโสอันดับ 1
นั่นหมายความว่า วันที่ 1 ตุลาคม 2552 หากสถานการณ์ทางการเมืองปกติ ไม่มีการปฏิวัติรัฐประหารตามเสียงเรียกร้องโหยหาของกลุ่มของโกตั๊บ ณ โกเต๊กซ์ ในทำเนียบรัฐบาล หลัง พล.ต.อ.พัชรวาท เกษียณอายุราชการ พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ย่อมมีความชอบธรรมที่จะขยับขึ้นเป็นเบอร์หนึ่งของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ไม่ว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร จะกลับมาจดทะเบียนสมรสใหม่กับ คุณหญิงพจมาน ดามาพงศ์ หรือไม่ก็ตาม