ศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งให้บริษัท แมเนเจอร์ มีเดีย กรุ๊ป ล้มละลาย หนี้ท่วมกว่า 4,700ล้านบาท ทำให้นสพ.ผู้จัดการ ออกจำหน่ายในวันที่ 19 พ.ย.เปลี่ยนหัวจาก "ผู้จัดการ" เป็น "ผู้จัดการ 2551" ชั่วคราว จนกว่าจะจดหัวใหม่ว่า "ASTV-ผู้จัดการ" ในนามของบริษัท "เอเอสทีวี"
รายงานข่าวจากศาลล้มละลายกลางเปิดเผยเมื่อวันที่ 19 พฤศจิกายนว่า ศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งเมื่อบ่ายวันที่ 18 พฤศจิกายนที่ผ่านมาให้บริษัท แมเนเจอร์ มีเดีย กรุ๊ป จำกัด(มหาชน)ล้มละลายเนื่องจากไม่สามารถดำเนินการตามแผนฟื้นฟูกิจการที่ศาลเห็นชอบได้ โดยศาลไม่เห็นชอบไม่ขยายระยะเวลาการดำเนินการตามแผนฟื้นฟูตามที่ผู้บริหารแผนยื่นคำร้อง
รายงานข่าวแจ้งว่า ก่อนหน้านี้ศาลนัดพิจารณาเรื่องคำร้องขอขยายระยะเวลาดำเนินการตามแผนฟื้นฟู ในวันที่ 29 ตุลาคม 2551 ที่ผ่านมา แต่เนื่องจากผู้บริหารแผนได้รับรายงานข้อเท็จจริงของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์เพื่อให้โอกาสผู้บริหารแผนได้ทำคำชี้แจงเกี่ยวกับรายงานของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ จึงเลื่อนการพิจารณามาเป็นบ่ายวันที่ 18 พฤศจิกายน 2551
แหล่งข่าวจากบริษัท แมเนเจอร์ มีเดีย กรุ๊ป กล่าวว่า ผลจากคำสั่งศาลดังกล่าว ทำให้หนังสือพิมพ์ผู้จัดการที่ออกจำหน่ายในวันที่ 19 พฤศจิกายน ต้องเปลี่ยนหัวจาก "ผู้จัดการ" เป็น "ผู้จัดการ 2551" เป็นการชั่วคราว จนกว่าจะจดหัวหนังสือพิมพ์ใหม่ว่า "ASTV-ผู้จัดการ"ในนามของบริษัท เอเอสทีวีหรือไทยเดย์ ดอทคอมซึ่งเป็นเจ้าของโทรทัศน์ เอเอสทีวีในปัจจุบัน
แหล่งข่าวกล่าวว่า สำหรับพนักงานบริษัทซึ่งมีอยุ่ประมาณ 500 คน ฝ่ายบริหารได้เรียกประชุมชี้แจงทำความเข้าใจเมื่อเช้าวันที่ 19 พฤศจิกายนว่า บริษัท แมเนเจอร์ มีเดีย กรุ๊ปจะทำหนังสือเลิกจ้างอย่างเป้นทางการ และให้พนักงานเขียนใบสมัครเป็นพนักงานบริษัทใหม่ในเครือของนายสนิธฺ ลิ้มทองกุลโดยพนักงานจะทำงานในตำแหน่งเดิมและเงินเดิมเท่าเดิมทุกอย่างรวมถึงกองบรรณาธิการนด้วย
"อย่างไรก็ตามประเด็นที่ยังไม่สามารถชี้แจงให้ชัดเจนได้คือ เงินชดเชยจากการเลิกจ้างของบริษัทเดิมจะได้รับหรือไม่ เพราะการเข้าทำงานกับบริษัทใหม่ต้องนับเวลาใหม่ซึ่งจะทำให้พนักงานเสียสิทธิ์" แหล่งข่าวกล่าว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ศาลแพ่งมีคำสั่ง เมื่อวันที่ 3 สิงหาคม 2542 เห็นชอบด้วยแผนฟื้นฟูกิจการบริษัท แมเนเจอร์ มีเดีย กร๊ป ตาม พ.ร.บ.ล้มละลาย พ.ศ.2483 และแต่งตั้งน.ส.เสาวลักษณ์ ธีรานุจรรยงค์ เป็นผู้บริหารแผน โดยมีเจ้าหนี้ยื่นคำขอรับชำระหนี้ในการฟื้นฟูกิจการ 359 ราย เป็นจำนวนหนี้ที่ขอรับชำระหนี้กว่า 4,726 ล้านบาท แต่ไม่สามารถดำเนินการตามแผนได้จนศาลสั่งให้ล้มละลายในที่สุด