ที่มา Thai E-News
เรียบง่ายทรงพลัง-เป็นงานศพที่ไม่มีพวงหรีด หรือรับเกียรติยศใดๆ ทุกคนเสมอกันในงานนี้ไม่ว่าจะอดีตนายกฯ ว่าที่นายกฯ หรือใครก็ตาม ภาพหน้าศพเป็นภาพที่คนรู้จักมากที่สุดคือตอนที่ท่านผู้หญิงยืดอกอย่างอาจหาญในตอนที่ฝ่ายเผด็จการควบคุมตัว
โดย ทีมข่าวไทยอีนิวส์
ภาพโดย newskythailand
15 ธันวาคม 2551
งานฌาปณกิจศพท่านผู้หญิงพูนศุข พนมยงค์ ภริยานายปรีดี พนมยงค์ รัฐบุรุษ เมื่อค่ำวานนี้ เป็นไปโดยเรียบง่ายแต่ทรงพลัง ให้บทเรียนสังคมไทยครั้งสุดท้ายว่าทุกๆคนมีศักดิ์ศรีเท่าเทียม ไม่ขอรับเกียรติยศใดๆ นอกจากเกียรติยศที่สั่งสมและสังคมยอมรับโดยที่ไม่ต้องมีกระทั่งสัญลักษณ์อย่างพวงหรีดติดป้ายเคารพศพ ทุกฝ่ายที่กำลังขัดแย้งในประเทศเข้าร่วมพิธีอย่างสงบ ทั้งฝ่ายพระที่ไปทั้งพระพยอมVSสมณจันทร์ ฝ่ายรัฐบาลVSฝ่ายค้าน นปช.VSพันธมิตร นักวิชาการหนุนเผด็จการVSนักวิชาการประชาธิปไตยแถมด้วยริบบิ้นขาว ส่วนภาคประชาชนไปทั้งเสื้อแดงVSเสื้อเหลือง
สำหรับฝ่ายสงฆ์ที่เข้าร่วมพิธีมีทั้งพระพยอม กัลยาโณ เจ้าอาวาสวัดสวนแก้ว ที่เคยเปิดวัดให้รายการความจริงวันนี้ของกลุ่มเสื้อแดงเข้าไปจัดกิจกรรมในวัด และสมณจันทร์ แห่งสันติอโศก ซึ่งเป็นนักบวชที่ขึ้นเวทีพันธมิตรเป็นประจำ
ส่วนฝ่ายฆราวาสนั้นก็มาจากทั้ง2ฝ่าย โดยฝ่ายพรรคร่วมรัฐบาลเดิม มีนายจาตุรนต์ ฉายแสง อดีตรักษาการหัวหน้าพรรคไทยรักไทย นายยงยุทธ ติยะไพรัช อดีตรองหัวหน้าพรรคพลังประชาชน ที่เป็นเหตุให้ศาลรัฐธรรมนูญยุบพรรค เป็นต้น ส่วนฝ่ายค้านนำโดยนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ นายชำนิ ศักดิเศรษฐ และนายองอาจ คล้ามไพบูลย์ เป็นต้น (สำหรับนายอภิสิทธิ์ยังได้ไปร่วมงานในฐานะญาติห่างๆ อีกด้วย เนื่องจากคุณยายของภรรยาคุณอภิสิทธิ์ คุณอัมพา สุวรรณศร เป็นน้องสาวแท้ๆ ของท่านผู้หญิง: ข้อมูลจากท่านผู้อ่าน)
ทางด้านภาคประชาชนนั้นก็เข้าร่วมพิธีทั้ง2ฝ่ายเช่นกัน โดยฝ่ายพันธมิตรมีนายพิภพ ธงชัย นายเจิมศักดิ์ ปิ่นทอง นายสุริยะใส กตะศิลา เป็นต้น ส่วนฝ่ายนปช.นั้นมีนายแพทย์เหวง โตจิราการ นายจักรภพ เพ็ญแข เป็นต้น
สมาชิกชมรมฟ้าใหม่ ซึ่งอยู่ฝ่ายเสื้อแดงยังได้รับหน้าที่แจกหนังสืออนุสรณ์งานศพด้วย ขณะที่มีรายงานว่าฝ่ายพันธมิตรก็ได้รับเกียรตินี้ เพียงแต่ว่าอยู่คนละมุม
สำหรับนักวิชาการที่เข้าร่วมพิธี ฝ่ายพันธมิตรนำโดยนายเจิมศักดิ์ ส่วนฝ่ายประชาธิปไตยนำโดยดร.วรเจตน์ ภาคีรัตน์ ส่วนฝ่ายริบบิ้นขาวนำโดยดร.โคมทม อารียา และดร.ปริญญา เทวนฤมิตกุล
ส่วนสื่อมวลชนมีไปที่เห็นหน้าคือฝ่ายประชาธิปไตยเช่น จอมเพชรประดับ ส่วนฝ่ายพันธมิตรมีวสันต์ ภัยหลีกลี้ จากอสมท.เป็นต้น
ส่วนแขกผู้อาวุโสอื่นๆ เช่นอดีตนายกฯอานันท์ ปันยารชุน ส.ศิวลักษ์ นายโภคิน พลกุล เป็นต้น
จากการสังเกตการณ์จะพบว่าผู้มาร่วมพิธีนั้นประกอบไปด้วยบุคคลจากทุกฝ่ายที่ขัดแย้งทางการเมืองอยู่ในขณะนี้ พิธีฌาปณกิจศพนั้นเป็นไปโดยเรียบง่าย นอกจากการบรรเลงเพลงประสานเสียงของวงสวนพลูคอรัสที่สดุดีท่านผู้หญิงโดยไม่ต้องเอ่ยนามถึงแล้ว ก็มีน้องสาวของท่านผู้หญิงคนหนึ่งที่ต้องนั่งรถเข็น เป็นประธานในพิธี มีพระไพศาล วิสาโล พระวัดป่าภูหลง จังหวัดชัยภูมิ กล่าวแสดงธรรมก่อนประชุมเพลิง โดยพระไพศาลกล่าวในตอนหนึ่งว่า ชีวิตของท่านผู้หญิงนั้นเป็นไปโดยความเสียสละอย่างที่สุด แม้กระทั่งถึงแก่อนิจกรรมแล้วก็ให้สังขารเป็นบทเรียนแก่นักศึกษาแพทย์ และสังคมไทย
เจ้าภาพได้จัดทำหนังสือระลึกชื่อ "หวนอาลัย พูนศุข พนมยงค์"เป็นบรรณาการแก่ผู้ร่วมงานจำนวน5,000เล่ม โดยมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์บริจาคค่าจัดทำ400,000บาท ซึ่งนี่น่าจะเป็นการใช้เงินงบประมาณที่มากที่สุดสำหรับพิธีกรรมอันเรียบง่ายทรงคุณค่านี้
เป็นที่น่าสังเกตว่าปณิธาน"ไม่ขอรับเกียรติยศใดๆ"นั้นเป็นไปโดยเคร่งครัด ในบริเวณงานปราศจากพวงหรีดเคารพศพจากบุคคลมีชื่อเสียง หรือชนชั้นสูงในวงสังคม และไม่มีหรีดเคารพศพใดๆอยู่เลย นักการเมืองที่ไปในงานทั้งอดีตนายกฯอย่างนายอานันท์ หรือว่าที่นายกฯอย่างนายอภิสิทธิ์ ก็ไม่ต้องมีเจ้าภาพไปพินอบพิเทาต้อนรับขับสู้ใดๆ กระทั่งนายอภิสิทธิ์ที่มาถึงงานก็ต้องเดินหาที่นั่งเอาเอง ขณะที่นายชำนิ ศักดิเศรษฐต้องยืนด้านหลังงาน เช่นเดียวกับประชาชนอื่นๆที่หากมาทีหลังงานเริ่มไปแล้วก็ต้องหาที่ยืน
ผู้ไปร่วมพิธีล้นศาลาที่เจ้าภาพจัดเตรียมการไว้ลงมาด้านล่างจำนวนมาก บรรยากาศเป็นไปโดยสงบเรียบง่าย ทรงพลัง และฝ่ายต่างๆที่ขัดแย้งกันทางการเมืองในประเทศทักทายกันตามธรรมเนียม เสมือนว่าไม่มีวิกฤตการณ์ใดๆในทางการเมืองอยู่ในขณะนี้
......
ที่มาของภาพหน้าศพของท่านผู้หญิง
ท่านผู้หญิงเคยเล่าถึงเหตุการณ์ในภาพนี้กับนิตยสาร สารคดีว่า
(ในปีพ.ศ.2495)ตอนนั้นลูกปาล(พนมยงค์)ถูกเกณฑ์ทหารและอยู่ระหว่างลาป่วย ตำรวจก็มาจับตัวถึงในบ้าน ฉันพยายามทำใจเข้มแข็งเมื่ออยู่ต่อหน้า พอพวกนั้นกลับไปฉันวิ่งขึ้นไปร้องไห้ด้วยความคับแค้นใจ
หลังจากตำรวจเอาลูกฉันไป สองวันต่อมา ฉันเป็นเถ้าแก่หมั้นคุณศักดิ์ชัย บำรุงพงศ์ (เสนีย์ เสาวพงศ์) ตำรวจก็มาจับในงานไปสอบสวนที่สันติบาล ตอนนั้นลูกสาวสองคนยังเล็กอยู่ เลยต้องเอามานอนที่สันติบาลด้วยสองคืน ตำรวจที่สอบสวนฉันคือพระพินิจชนคดี พี่เขยของ ม.ร.ว. คึกฤทธิ์ ปราโมช
ติดคุกได้ ๑๒ วัน ตำรวจก็พาไปศาล ผู้ต้องหาหญิงคนเดียว ไม่รู้ใช้กำลังเท่าไหร่ ไปศาลแล้วพวกหนังสือพิมพ์ก็จะมาถ่ายรูป ตำรวจพยายามจะเอาฉันหลบกล้อง ตอนนั้นไม่กลัวเลยนะ หลังจากติดคุกได้ ๘๔ วัน
ตอนติดคุก ฉันสะเทือนใจมาก เมื่อได้รับการปล่อยตัวออกมา มีความรู้สึกไม่ปลอดภัยอีกต่อไป จึงเห็นว่าไม่สมควรอยู่เมืองไทย พอปี ๒๔๙๖ ก็เดินทางไปอยู่ฝรั่งเศสกับลูกสองคนคือดุษฎีและวาณีที่ยังเล็กอยู่ จากนั้นพยายามติดต่อนายปรีดีจนสำเร็จ จึงเดินทางไปอยู่เมืองจีนพร้อมกัน