** การแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 291 และมีการตั้ง สสร.3 จะเป็นเงื่อนไขให้พันธมิตรฯ สร้างความรุนแรงรอบใหม่ และใช้เป็นข้ออ้างในการเคลื่อนไหว
ประเด็นการแก้ไขรัฐธรรมนูญจะเห็นได้ว่ารัฐบาลและซีกของพรรคพลังประชาชนถอยจนไม่รู้จะถอยอย่างไร เพราะข้อเท็จจริงในมาตรา 291 ให้อำนาจคณะรัฐมนตรี และ ส.ส. หรือ ส.ส. อย่างเดียว หรือบวก ส.ว. ในการที่จะยื่น รวมทั้งภาคประชาชนรวบรวมรายชื่อกว่า 5 หมื่นรายชื่อขึ้นไป ประเด็น สสร. ไม่มีอยู่ในรัฐธรรมนูญมาตรา 291 แต่รัฐบาลพยายามที่จะหาทางออกว่าเมื่อไม่มีการไม่ไว้วางใจพรรคการเมือง หาคนที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับพรรคการเมืองมาเป็นผู้ร่าง โดยสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ ซึ่งจะมาจากหลากหลายรูปแบบทั้ง 76 จังหวัด ภาควิชาการ และภาควิชาชีพ
แต่ทั้งหมดคือ ไม่ว่ารัฐบาลจะลงมือแก้ไขรัฐธรรมนูญเมื่อไร ไม่ว่า ณ วันนี้ หรืออีกกี่เดือนข้างหน้า ก็มีค่าเท่ากัน ฝ่ายต่อต้านก็ยังต่อต้านเหมือนเดิม เมื่อซีกประชาธิปัตย์ พันธมิตรฯ กลุ่ม 40 ส.ว. แม้กระทั่งว่าองค์กรอิสระที่เป็นผลพวงมาจากคณะรัฐประหาร ก็ยังยืนหยัดเหมือนเดิม เพียงแต่ว่าฝ่ายเรามักจะไม่มีความหนักแน่น คือ จะพยายามเลี่ยงมาโดยตลอด ซึ่งความจริงแล้วควรจะพิจารณาร่าง คปพร. ของคุณหมอเหวง (นพ.เหวง โตจิราการ) และ อ.จรัล (ผศ.จรัล ดิษฐาอภิชัย) และคณะ ที่ไปยื่น นั่นคือหนทางที่ถูกต้องที่สุดของรัฐบาล เพื่อเป็นสิทธิของภาคประชาชนซึ่งเป็นครั้งแรกในการยื่นแก้ไขรัฐธรรมนูญ ในรัฐธรรมนูญปี 2540 มี พ.ร.บ.ป่าชุมชน แต่ว่าในกรณีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ 5 หมื่นรายชื่อ นี่เป็นปรากฏการณ์แรก แต่ว่าท้ายที่สุดก็จะมีเรื่องกับกลุ่มพันธมิตรฯ ฝ่ายค้าน กลุ่ม 40 ส.ว. และองค์กรอิสระ แนวทางของ สสร. ก็มีปัญหาเดียวกัน
ผมถึงบอกว่าวันนี้คนในซีกของรัฐบาลควรใช้ความกล้าหาญมากกว่าความขี้ขลาด ไม่เช่นนั้นก็จะหนีไปเรื่อยๆ ควรจะยืนหยัด ท้ายที่สุดก็มาบอกกับพี่น้องประชาชนว่าเสียงข้างมากเขาต้องการให้แก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับนี้ ซึ่งก็ต้องยืนยัน ฉะนั้นข้อเรียกร้องอื่นๆ ไม่ว่านิรโทษกรรม 111 คน ก็ควรที่จะถอยไปก่อน และเอาเรื่องรัฐธรรมนูญมาเป็นอันดับแรก และอย่าเพิ่งคุยในเรื่องส่วนตัวของแต่ละส่วน แม้กระทั่งเรื่องนิรโทษกรรม 111 คน และเรื่องอดีตนายกฯ ทักษิณ
เราต้องตั้งโจทย์ว่าปัญหาที่เกิดขึ้นเกิดจาก 19 กันยายน ไม่ว่าอะไรก็ตามที่เป็นผลพวงของ 19 กันยายน ถ้าเราตีโจทย์แตกว่าทุกเรื่องมาจาก 19 กันยายน และด้วยการแก้ไขรัฐธรรมนูญให้เป็นประชาธิปไตยทั้งหมด มันจะได้ครบ อะไรก็ตามที่มีผลพวงเกี่ยวกับ 19 กันยายน ต้องมีการแก้ไข เราจะเห็นได้ชัดเจนว่า ในคณะรัฐประหารที่มีขึ้นมาแต่ละชุด ไม่ว่าจะเป็น คณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ (รสช.) ที่ยึดอำนาจตัวเองจนเกิดเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ ปี 2535 จะเห็นได้ชัดว่าคณะรัฐประหารที่ต้องการจะทำให้ตัวเองรอด โดยการนิรโทษกรรมตัวเองนั้น เขาก็นิรโทษกรรมให้กับคู่ต่อสู้ของเขาด้วย คือเห็นได้ชัดว่าเขาไม่มีทางที่จะนิรโทษกรรมให้กับตัวเองเพียงอย่างเดียว ใครที่ต่อสู้กับ รสช. ในพฤษภาทมิฬ ปี 2535 เขานิรโทษกรรมให้หมด เอาตัวเองให้รอด แต่ไม่ได้ใช้ความเห็นแก่ตัวและความน่าเกลียดเหมือน คมช. ชุดนี้
คมช. ชุดนี้ เลือกแนวทางใส่ในรัฐธรรมนูญมาตรา 309 เพื่อนิรโทษกรรมให้กับตนเองและบริวารพวกพ้อง สามารถทำความผิดตั้งแต่อดีต ปัจจุบัน อนาคต ก็ไม่ผิด ถึงบอกว่าเราต้องย้อนกลับไปที่เดิม ไม่ใช่ฉายภาพคนละส่วน ถ้าฉายคนละส่วนมันไปกลบเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญหมด พอพูดเรื่องการนิรโทษกรรม 111 คน การนิรโทษกรรม พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร มันไปกลบเรื่องใหญ่ คือรัฐธรรมนูญ ถ้าเราทำให้รัฐธรรมนูญเป็นประชาธิปไตยมันจะบอกเลยว่าการยึดอำนาจเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549 มันไม่ถูกต้อง ฉะนั้นการตั้งคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) ไม่ถูกต้อง การตั้งคู่ปฏิปักษ์ทำหน้าที่เป็นคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) และทำสำนวนฟ้องในแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ซึ่งคือปลายเหตุ แต่ต้นเหตุคือการยึดอำนาจ และตั้ง คตส. เลือกผู้ปฏิบัติมา
ฉะนั้นถ้าคิดเฉพาะหน้าคือการนิรโทษกรรม คือเหตุปัจจุบัน ซึ่งมันไม่มีทางที่จะลง แต่บอกไว้เลยว่าเหตุการณ์เมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549 มันผิดทั้งหมด เป็นสิ่งที่ต้องรื้อออกไปทั้งหมด แล้วมันจะแก้ปัญหาได้ทุกอย่าง โดยไม่ต้องมองว่าแก้ไขให้กับใคร หรือมาตราเขาเป็นอย่างไร แต่ถ้าเราไปฉายภาพแบบวันนี้ อย่างที่ผมบอกว่าต้องขอร้องนักการเมืองให้ตีโจทย์ให้แตก ถ้าไม่แตก ความรู้สึกส่วนตัว จากความรักความห่วงใย จะเป็นอะไรก็ตาม มันจะไปหักลบเรื่องใหญ่ก็คือการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ซึ่งจะเป็นการทำลายผลิตผล 19 กันยายน 2549 ทั้งหมด
** แกนนำของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย พยายามพูดว่าถ้ามีการแก้ไขรัฐธรรมนูญก็จะมีการคัดค้าน ปิดล้อมสภาเพื่อไม่ให้มีการพิจารณา สิ่งนี้มองปัญหาอย่างไร
ถามว่าข้อเรียกร้องพันธมิตรฯ ต่อการเมืองใหม่ มันมีอยู่ในรัฐธรรมนูญหรือไม่ ตอบว่ามันไม่มีอยู่ในรัฐธรรมนูญนะ ข้อเรียกร้องของพันธมิตรฯ จะเป็นจริงได้อย่างเดียวคือการแก้รัฐธรรมนูญ มิฉะนั้นให้ทหารออกมาฉีกรัฐธรรมนูญ ต่อมาคือว่าคนของพันธมิตรฯ เอง ไม่ว่าจะเป็น นายสุริยะใส กตะศิลา นายสมศักดิ์ โกศัยสุข ที่ไปตั้งองค์กรที่เรียกว่า สปก. อะไรนั่นแหละ และเป็นคนที่ใช้งบประมาณของภาครัฐทำเวทีคู่ขนานกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญ 2550 ท้ายที่สุด คนพวกนี้พอมีการรับร่างรัฐธรรมนูญในวันที่ 18 สิงหาคม 2550 เขาออกมาประกาศว่าให้ประชาชนรับๆ ไปก่อน โดยเขาจะออกมาเป็นแกนนำในการล่ารายชื่อ 5 หมื่นรายชื่อในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ แต่ผมบอกว่าจะเอาสาระอะไรกับคนกลุ่มนี้ วันนั้นพูดอย่าง วันนี้ก็มาพูดอย่าง เหมือนพรรคการเมืองซีกฝ่ายค้านปัจจุบัน ที่บอกว่ารัฐธรรมนูญจะต้องแก้ไข คุณอภิสิทธิ์คือนักการเมืองคนแรกที่ออกมาพูดว่าต้องแก้ไขรัฐธรรมนูญ และตัวเองอยู่ในซีกของผู้รับร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้
แต่ว่า...เมื่อประชาชนไม่พอใจ ลงมติวันที่ 18 สิงหาคม 19 สิงหาคม นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ พูดแล้วว่าต้องแก้ไขรัฐธรรมนูญ วันนี้เราอยู่ ณ จุดเดิม ถ้าวันนี้เราคิดว่าถ้าทำอะไรแล้วกลัวพันธมิตรฯ ไม่ต้องทำอะไร แต่ต่อไปจะเลือกคนที่ขี้ขลาดตาขาวมาบริหารประเทศนี้ แล้วให้พันธมิตรฯ ข่มขู่ทุกวันได้ เอาอย่างนี้ ถึงได้บอกว่ารัฐบาลจะทำวันนี้หรือวันหน้า มีค่าเท่ากัน คือถูกต่อต้านเหมือนกัน ยกเว้นไม่คิดจะทำ นี่จึงต้องใช้ความกล้าหาญ
สภาพพันธมิตรฯ ในตอนนี้อยู่ในสภาพง่อยเปลี้ยเสียขา กึ่งวิกลจริตไปแล้ว!!! เพราะที่ สนธิ ลิ้มทองกุล ไปทำเสด็จพ่อ ร.5 มันเป็นเรื่องที่คนไทยรับไม่ได้ เพราะ ร.5 ถามหน่อย บ้านไหนของคนไทยไม่มีรูป ร.5 บ้าง แต่ความวิกลจริตของสนธิที่ไปทำนั้น ใครก็รับไม่ได้ หรือแม้กระทั่งพันธมิตรฯ ไปทำกับ นายสมัคร สุนทรเวช ที่สหรัฐอเมริกา เป็นเรื่องที่เกินเลย โดยมาสร้างจินตนาการว่าพวกเราจัดวันที่ 1 ครอบครัวความจริงวันนี้สัญจร ที่สนามราชมังคลาฯ ในวันที่ 1 พฤศจิกายน มีการใส่ร้ายว่ามีการแสดงละครเรื่องพระมหากษัตริย์ มีโอรส มีปุโรหิต เป็นความเท็จทั้งสิ้น ข้อเท็จจริงไม่มีการเล่นละคร และไม่มีอะไร จะเห็นได้ชัดว่าการโกหกอย่างหน้าด้านๆ ของพันธมิตรฯ ให้สุจริตชนมันต้องกลัวกันอยู่ มันทำไม่ได้ ถ้าถามความเห็นเราในฐานะที่เป็น ส.ส. พรรครัฐบาล และเป็นนักเคลื่อนไหวต่อต้าน รัฐบาลต้องตัดสินใจ และวันนี้ถ้าเสียงข้างมากไม่สำนึก วันข้างหน้าประชาชนเขามีความรู้สึกว่าเสียงข้างมากไม่กล้าที่จะดำเนินการ
ฉะนั้นผมจึงบอกว่าถ้าคิดแก้ไขรัฐธรรมนูญไม่ควรกลัวพันธมิตรฯ ประชาธิปัตย์ กลุ่ม 40 ส.ว. เพราะว่าพวกนี้จะหลอกหลอนไปตลอด
*** แนวทางของรัฐบาลที่จะดำเนินการกระทำก็ขัดแย้งกัน เพราะร่างของ คณะกรรมการประชาชนเพื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญ (คปพร.) ยังอยู่ในวาระ
โดยหลักแล้วอย่างที่บอกว่าซีกรัฐบาลความที่เกรงว่าประชาธิปัตย์ พันธมิตรฯ องค์กรอิสระ ฝ่ายค้าน และกลุ่ม 40 ส.ว. ค้าน สุดท้ายตัวเองไปออก สสร.3 ผมยังอุปมาอุปไมยว่าท้ายที่สุดถึงไหนแล้ว สสร.3 ถูกด่า แล้วทำไมในพรรคประชาชนได้ใช้วิธีคาบเนื้อข้ามสะพาน โดยเห็นก้อนเนื้อใหญ่กว่า ความจริงแล้วมันคือเงาในน้ำอยู่ดี คือไม่ว่าไปทางไหนโดนทั้งขึ้นทั้งล่อง ผมถึงบอกว่าวันนี้ร่างประชาชนควรได้รับการดำเนินการ ผมได้แสดงความเห็นไว้แล้วตั้งแต่แรก รัฐบาลบอกว่าการตั้ง สสร.3 เพื่อยุติความขัดแย้ง วันนี้เห็นแล้วว่ามันไม่ใช่ ยังมีความขัดแย้งทางการเมืองอยู่
อย่างไรก็ตาม ปัญหามันมาที่จุดเดิม ทำไมไม่ยอมกลับมาคิดเรื่องร่างที่ภาคประชาชนเข้าชื่อไป ถามผม...วันนี้ถึงไหนกันแล้ว ไม่มีอะไรจะเสียไปกว่านี้แล้ว ทำไมต้องเสียเวลาในเมื่อถูกด่าเท่าเดิม ต้านเท่าเดิม ทำไมไม่เอาร่าง คปพร. ที่เติมอำนาจพรรคการเมือง นักการเมือง และเอารัฐธรรมนูญปี 2540 โดยหลักมาทั้งหมด ถ้าเขาคิดไปทั้งหมด ความรู้สึกของผมนะ วันนี้ถึงอย่างไรรัฐบาลต้องเผชิญกับมรสุมอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็น สสร.3 พันธมิตรฯ คปพร. บุกสภา ทำไมต้องเสียเวลา เพราะ สสร.3 ต้องใช้เวลา
*** หลายคนห่วงว่าพันธมิตรฯ จะมาล้อมอีก และเกิดความรุนแรงอีก
คือประเทศนี้มันจะขึ้นกับพันธมิตรฯ ไม่ได้ พันธมิตรฯ จะไม่เห็นด้วยกับรัฐบาลและแนวทางประชาธิปไตย เพราะหน้าที่เขาคือการกวักมือให้ทหารมายึดอำนาจ คือเราสำแดงพลังเพราะต้องการจะเตือนสติทหารว่าคุณจะทำคุณต้องมาเจอกับพวกเรา และมากกว่าพันธมิตรฯ มากๆ ฉะนั้นการที่พันธมิตรฯ เข้ามาข่มขู่ก็เท่ากับว่าเป็นการข่มขู่ทุกเรื่อง ปัญหาว่าวันนี้เราจะอยู่ภายใต้การปกครองของพันธมิตรฯ หรือเปล่า ถ้าพันธมิตรฯ บอกว่าไม่ให้ทำอย่างนี้ ในขณะที่ยึดทำเนียบรัฐบาลอยู่โดยไม่ผิด ใครก็ทำอะไรพันธมิตรฯ ไม่ได้ แต่ขณะเดียวกันรัฐบาลชุดนี้ไม่มีหน้าที่ทำตามพันธมิตรฯ ถ้าทำตามควรจะลาออกจากการเป็นรัฐบาล ควรให้พันธมิตรฯ ปกครองไปเลย
*** ราษฎรอาวุโส และหลายๆ ฝ่าย มองว่าการแก้ไขจะนำไปสู่วิกฤติการนองเลือด
หมอประเวศ (ศ.นพ.ประเวศ วะสี) เสียศูนย์ตั้งแต่ที่เขามาบอกเรื่องกรณีลอบฆ่า พ.ต.ท.ทักษิณ บอกว่ามีสิทธิฆ่าทักษิณได้ แต่อย่าให้โดนลูกหลงคนอื่น คือท่านไปไกลตั้งแต่วันนั้น คนที่มีแนวทางสันติวิธี แต่สุดท้ายวิธีการอะไรก็แล้วแต่สุดท้ายจะไปเลือกพันธมิตรฯ ถูกพันธมิตรฯ กระทำอย่างนี้ เกิดความอยุติธรรม แล้วปล่อยไว้ มันจะไม่นองเลือดหรือ เพราะว่าอีกฝ่ายหนึ่งที่เรียกว่าเสียงข้างมากเขามีความอดทนภายใต้ขีดจำกัดอยู่แล้ว ตลอดการยึดอำนาจ 19 กันยายน จนถึงเลือกตั้ง 23 ธันวาคม 2550 ปรากฏว่าฝ่ายเสียงข้างมากถูกรุกรานมาโดยตลอด
ฉะนั้น ไอ้ที่สำแดงมา 2 ครั้ง และจะสำแดงไปอีกเรื่อยๆ เพื่อให้เห็นว่าข้าคือเสียงข้างมาก ตัดสินอนาคตของประเทศนี้ได้ เพราะที่ผ่านมาพันธมิตรฯ ราษฎรอาวุโส อะไรก็ตาม โดยทิศทางรูปแบบเอื้อพันธมิตรฯ ทั้งสิ้น พฤติการณ์ของพันธมิตรฯ ในวันนี้ใครจะอุ้มเขาได้ แต่รู้ได้ว่าถ้าคนเห็นด้วยกับพันธมิตรฯ คนคงไม่ถึงหยิบมือในปัจจุบัน จะโม้จำนวนเท่าไรก็ตาม แต่เอาเต็นท์ไปกางหน้าทำเนียบ พื้นที่ครึ่งสนามฟุตบอล คนนิดเดียว จะจินตนาการอะไรก็แล้วแต่ แต่ชี้ได้ชัดว่าไอ้วิธีโกหก ก้าวร้าว ที่ใครเห็นต่างไมได้ ท้ายที่สุดพันธมิตรฯ จะไม่เหลือใคร และคนที่ทำลายพันธมิตรฯ อย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุดคือพันธมิตรฯ เอง ไม่มีองค์กรใดทำลายได้ แต่วันนี้พันธมิตรฯ ฆ่าตัวเองทุกวัน พันธมิตรฯ ทำลายทุกสภาบันของประเทศอย่างเลวร้ายที่สุด
*** ท่าทีของพรรคประชาธิปัตย์ที่บอกว่า ทางออกที่ดีที่สุดคือการยุบสภา คืนอำนาจให้ประชาชน และไม่เห็นด้วยกับแนวทางการแก้ไขรัฐธรรมนูญ เพราะมองว่ามันเป็นหนทางที่จะก่อให้เกิดการนองเลือดนั้น ตรงจุดนี้มีความเป็นไปได้มากน้อยแค่ไหน
มันเป็นความคิดเห็นของฝ่ายค้าน แล้วมีโอกาสที่จะเป็นฝ่ายค้านโดยตลอด เพราะว่าเหตุผลของคุณอภิสิทธิ์ โดยสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์จำนวนมากไปอยู่บนเวทีพันธมิตรฯ บางคนลงจากเวทีไปลงเลือกตั้งซ่อม เพราะฉะนั้นพรรคประชาธิปัตย์กับพันธมิตรฯ แยกกันไม่ออกว่าส่วนไหนเป็นพันธมิตรฯ ส่วนไหนเป็นพรรคประชาธิปัตย์ เพราะฉะนั้นความคิดความอ่านของคุณอภิสิทธิ์จึงไม่แตกต่างจากพันธมิตรฯ แสดงความคิดเห็น และในขณะเดียวกันคุณอภิสิทธิ์เคยมีการแสดงความคิดเห็นแตกต่างไปจากกลุ่มพันธมิตรฯ ผมเองเคยคุยส่วนตัวกับคุณอภิสิทธิ์ วันที่คุณอภิสิทธิ์เสนอให้มีการยุบสภา ผมถามว่าแล้วถ้ายุบสภาแล้วพันธมิตรฯ ยังไม่ออกจากทำเนียบจะเอาอย่างไร และผมถามว่าหลักประกันคืออะไร
ปัญหาคือว่าถ้ารัฐบาลยุบสภา พันธมิตรฯ ยังจะอยู่ทำเนียบ เอเอสทีวีจะระดมถ่ายทอด ระดมใส่ซีกพรรคพลังประชาชนอย่างสาดเสียเทเสีย และพวกนี้จะป่วนเมือง โดยที่ยังยึดทำเนียบรัฐบาลอยู่ รัฐธรรมนูญจะไม่มีการแก้ไข สุดท้ายจะไม่มีการเลือกตั้ง ผมเองและคณะมีความเชื่อว่ายุบสภาแล้วจะไม่มีการเลือกตั้ง เช่นว่า จะต้องมีการให้คนที่ดูแลการเลือกตั้งลาออกบ้าง ทำให้เกิดสุญญากาศทางการเมืองบ้าง ท้ายที่สุดจะมีอำนาจนอกระบบที่จ้องอยากจะเป็นนายกฯ อยู่ในขณะนี้เริ่มออกมาเพ่นพ่านสำแดงตน เพราะฉะนั้นวิธีคิดของคุณอภิสิทธิ์มันจึงเป็นไปไม่ได้
วันนี้พรรคพลังประชาชนไม่ได้กลัวเสียของ เพราะเรารู้อยู่แล้วว่าเลือกตั้งมาพรรคประชาธิปัตย์แพ้พรรคพลังประชาชนอยู่แล้ว แต่เรารู้วิธีคิดของประชาธิปัตย์ เพราะเรามีบทเรียนก่อน 19 กันยายน 2549 ที่มีการปฏิวัติ การคืนอำนาจให้ประชาชน ยังไม่มีหลักประกันอะไรเลยว่าจะมีการเลือกตั้ง และหากมีอำนาจนอกระบบมาพรรคประชาธิปัตย์จะปกป้องอย่างไร
ฉะนั้นแนวคิดของพรรคพลังประชาชนตอนนี้ จะต้องคิดตรงข้ามกับพรรคประชาธิปัตย์ เพราะถ้าคิดแบบเดียวกันประชาชนวางตัวไม่ถูกแน่นอน ข้อเสนอที่พรรคประชาธิปัตย์เสนอให้ยุบสภาโดยไม่มีหลักประกันอะไรเลย รัฐบาลชุดนี้ก็ไม่ควรที่จะทำตาม หน้าที่ของรัฐบาลชุดนี้คือต้องประคับประคองประชาธิปไตยต่อไป
อีกอย่างให้ดูวันเวลา ทุกวันนี้ ยิ่งนับวันพันธมิตรฯ เริ่มมีมวลชนลดลง เชื่อว่าในท้ายที่สุดคนที่อุ้มพันธมิตรฯ อยู่ในขณะนี้จะค่อยๆ วางมือ มีคนอุปมาอุปไมยว่าพันธมิตรฯ แรกๆ เหมือนลูกเสือ มันน่ารักดี แต่วันนี้มันโตขึ้นมีพฤติกรรมดุร้าย และคาดว่าสักพักมันคงคิดที่จะกินเจ้าของ และสักวันคงเป็นอย่างนั้น เพราะฉะนั้นเวลานี้รัฐบาลจะต้องยืนให้แข็งแรง และขณะเดียวกันจะต้องคิดว่ารัฐบาลนี้จะถูกรุมโดยองค์กรอิสระที่มีตัวตั้งเรื่องอย่างพรรคประชาธิปัตย์ และ กลุ่ม 40 ส.ว. สายพันธมิตรฯ แล้วจะถูกจัดการแบบนายสมัคร
อันนี้น่าคิดมากครับ เรื่องยุบพรรคไม่มีปัญหา ตอนนี้มีการวางแผนที่จะดำเนินการอย่างไรกันต่อ ซึ่งมันไม่ใช่เรื่องยาก แต่สิ่งสำคัญคือคนที่รักประชาธิปไตยจะอดทนต่อองค์กรอิสระที่มาโดยไม่ชอบให้ทำหน้าที่ต่อไปหรือไม่ บางทีเราคิดเหมือนกันว่าคนในตุลาการรัฐธรรมนูญขาดคุณสมบัติ ไม่ใช่เฉพาะนายจรัญ (นายจรัญ ภักดีธนากุล) ยังมีอีกหลายคน แม้กระทั่งความเป็นอยู่ของคุณหญิงจารุวรรณ (คุณหญิงจารุวรรณ เมณฑกา) ส่วน ป.ป.ช. นั้นไม่ได้รับการโปรดเกล้าฯ ทุกวันนี้คนที่มาภายใต้สิ่งที่ผิดมาบังคับสิ่งที่ถูก สิ่งที่มาจากประชาชนคือรัฐบาล ผมถึงบอกว่ารัฐบาลชุดนี้ควรจะต้องมีสติเหมือนกัน ในส่วนของคุณสมชาย (นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์) ถ้ามีการพิจารณาอีกไม่นานคงจะต้องไปอย่างคุณสมัครเหมือนกัน
เพราะฉะนั้นเราต้องคิดแล้วว่าจะยอมให้คนเถื่อน องค์กรเถื่อน มาจัดการองค์กรที่มาด้วยความถูกต้อง มาจากประชาชน หรือเปล่า เพราะฉะนั้นการกลัวคำว่าจะนองเลือด ผมบอกว่าวันนี้เราไม่มีหน้าที่ที่จะต้องไปกลัว ที่ผ่านมาเรามีแต่กลัวที่จะนองเลือด กลัวที่จะสูญเสีย แล้วกลายเป็นฝ่ายที่รับชะตากรรม เพราะฉะนั้นอะไรจะเกิดต้องปล่อยให้มันเกิด แต่ต่อไปนี้เสียงข้างมากจะต้องสำแดงพลัง และอย่ายอมให้สิ่งที่ผิด เถื่อน มาทำลายกันอีกต่อไป
***เมื่อก่อนนายชวนบอกว่าจะต้องยึดมั่นในระบบรัฐสภา ขณะนี้การกระทำของพรรคประชาธิปัตย์มันสวนทางกันหรือไม่
มันคือมารยา คุณชวน (นายชวน หลีกภัย) พูดเรื่องการยึดมั่นในระบบรัฐสภาหลังเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ เพราะว่าพรรคประชาธิปัตย์ร่วมต่อสู้น้อยที่สุดในเหตุการณ์นั้น แต่อาศัยความชุลมุนและความสูญเสียของประชาชน บอกว่าต้องยึดมั่นในระบบรัฐสภา เพราะฉะนั้นในยุคของคุณอภิสิทธิ์ (นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ) มีการเสนอให้ตั้งรัฐบาลแห่งชาติ เสนอนายกฯ พระราชทาน ตามมาตรา 7 แล้วมา “รัฐบาลแห่งชาติ” สิ่งเหล่านี้มันลบจุดยืน... จุดยืนของประชาธิปไตย มันไม่ใช่ เพราะสิ่งที่คุณเสนอนั้นมันขัดต่อระบบรัฐสภาในทุกๆ เรื่อง
เพราะฉะนั้น พรรคประชาธิปัตย์ถ้าไม่เลิกเล่นการเมืองแบบเอาหน้า ท้ายที่สุดคืนวันนี้ประชาชนเขาลงโทษพรรคประชาธิปัตย์ จะเห็นได้ว่าพรรคประชาธิปัตย์แพ้การเลือกตั้งมาหลังจากปี 35/2 มานั้นเขาแพ้ตลอด แต่ที่ได้เป็นนายกฯ เพราะใช้วิธีพิเศษ เพราะฉะนั้นผมถึงบอกว่าจุดยืนทางการเมืองของพรรคประชาธิปัตย์นั้นถ้ายังยึดแนวนี้ก็จะเป็นฝ่ายค้านไปตลอดชาติ
** พรรคประชาธิปัตย์เขายกให้คุณอภิสิทธิ์เป็น นายบารัค โอบามา ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาคนใหม่ เมืองไทย มองว่าอย่างไร
“โอบามา” เขาไม่ได้ขายหน้าตา “โอบามา” เขาขายความคิด แล้วเขาสู้จากความเป็นรองเรื่องสีผิว เขาใช้ความสามารถของเขาทุกสิ่งทุกอย่าง แต่คุณอภิสิทธิ์แตกต่างไปหมดทุกสิ่งทุกอย่าง คือวิธีการคิด วิธีการดำรงอยู่ของคุณอภิสิทธิ์มันไม่เหมือนกัน โดยเฉพาะทัศนคติต่อระบอบประชาธิปไตย คุณอภิสิทธิ์มีปัญหา
เพราะฉะนั้น คุณอภิสิทธิ์เทียบไม่ได้กับโอบามา เพราะโอบามาเขาหาเสียงแบบมีวิวัฒนาการของการต่อสู้ แต่คุณอภิสิทธิ์...ไม่มี ฉะนั้นการที่จะบอกว่าคนสหรัฐเลือกโอบามา แล้วคนไทยต้องเลือกคุณอภิสิทธิ์ มันเป็นเรื่องที่ตลก เพราะมันเทียบกันไม่ได้ ตำแหน่งเดียวที่คุณอภิสิทธิ์เคยเป็นแค่รัฐมนตรีสำนักนายกฯ แล้วทุกวันนี้คนไทยยังนึกไม่ออกเลยว่ามีผลงานอะไร พอๆ กับนึกถึงคุณชวน ที่นึกถึงแต่ สปก.4-01 กับคณะกรรมการองค์การเพื่อการปฏิรูประบบสถาบันการเงิน (ปรส.) แต่สิ่งที่คนจะนึกถึงคือวันนี้ คุณอภิสิทธิ์ไปเกณฑ์ทหารแล้วหรือยัง? คือไม่ได้เห็นผลงานอะไรที่เป็นรูปธรรม เพราะฉะนั้นโอบามาชนะที่สหรัฐ แต่คุณอภิสิทธิ์จะแพ้อีกในประเทศไทย ผมเชื่อว่าอย่างนั้น
***สโลแกน “เชื่อมั่นประเทศไทย มั่นใจประชาธิปัตย์” มองว่าอย่างไร
เหมือนกับคำว่า “ประชาชนต้องมาก่อน” มันเป็นแค่นามธรรม ซึ่งจะทำให้เป็นรูปธรรมนั้นยากมาก คือต้องคิดว่าตั้งแต่พรรคไทยรักไทยจนมาถึงพรรคพลังประชาชน พรรคประชาธิปัตย์มีโอกาสดีที่สุดคือ การเลือกตั้งเมื่อวันที่ 23 ธันวาคม 2550 เพราะว่าอยู่ในบันไดขั้นที่ 5 ของ พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน หัวหน้าคณะปฏิวัติ ว่าให้พรรคการเมืองที่อยู่ตรงข้ามกับพรรคไทยรักไทย คือ ประชาธิปัตย์ เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล พูดง่ายๆ ว่ากลไกการเลือกตั้งทั่วประเทศเอื้อให้กับพรรคประชาธิปัตย์มากอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน แต่มันสู้พลังของประชาชนไม่ได้ พรรคประชาธิปัตย์อาจจะชนะได้ในหลายๆ ที่ แต่ไม่อาจจะทำให้ประชาชนทั้งประเทศไว้วางใจได้ ซึ่งจะเห็นได้ชัดเจนอีกครั้งในการเลือกตั้งครั้งหน้า แล้วถ้าพรรคประชาธิปัตย์ยังไม่ปรับตัว ยังอยู่กับพันธมิตรฯ มันจะไปพร้อมกัน ที่เรียกว่า “สงครามครั้งสุดท้าย” จะตายไปพร้อมกัน
** พันธมิตรฯ พยายามเรียกให้ทหารออกมาปฏิวัติ เรื่องนี้มองว่าอย่างไร
การที่พันธมิตรฯ เขาจะชนะได้ทหารต้องปฏิวัติ โดยจะเห็นได้ว่าเขาพยายามจุดเรื่องการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ เรื่องเขาพระวิหาร แล้วเรียกทหารเข้ามายึดอำนาจทุกครั้ง เพราะว่าเขาไม่รู้จะชนะอย่างไร นอกจากดึงทหารให้ออกมาปฏิวัติอย่างเดียว แล้วประกาศว่าชัยชนะของพวกเขาคือการที่ทหารออกมายึดอำนาจ เขาอ้างว่าเป็นคนส่งข้าวกล่อง ส่งดอกกุหลาบมาให้ พอถึงเวลามาทวงบุญคุญกัน เขาบอกว่าอุตส่าห์ไปหลอกประชาชนมาขับไล่ทักษิณ ทำไมไม่เห็นคุณค่ากันบ้าง เขายังเชื่อว่ามีคนที่ยังหลงเขาจนโงหัวไม่ขึ้น แม้กระทั่งการที่สนธิ (นายสนธิ ลิ้มทองกุล) บอกว่าไปนั่งสมาธิในทำเนียบแล้วบอกว่าเห็นสัมภเวสีในทำเนียบเต็มไปหมด คนยังเชื่อ จนกระทั่งเรื่อง “โกเต๊กซ์” คนยังเชื่อ ซึ่งคนปกติเขาฟังแล้วบอกว่ารับไม่ได้ แต่คนที่เข้าขั้นสาวกบางครั้งมันไม่มีเหตุผล เหมือนคนไม่ปกติ ดูจากหลังๆ เขาเริ่มเอาวิธีทางไสยศาสตร์มาใช้มากขึ้น เพื่อปลุกกลุ่มคนที่ถูกโกหกซ้ำๆ
แต่ผมเชื่อว่าเมื่อ “รายการความจริงวันนี้” เกิดขึ้น และเริ่มที่จะไปฉายความเห็น ต่างคนเริ่มตั้งหลักได้ว่ามันไม่ใช่ มันทำไปได้อย่างไรที่บอกว่าเอาผ้าอนามัยไปวางที่เสด็จพ่อ ร.5 มันเป็นเรื่องที่รับไม่ได้ แล้ววันนี้ถ้าทหารไทยจะออกมาปฏิวัติเพราะนายสนธิ ผมเชื่อว่าทหารจะไปพร้อมๆ กับนายสนธิ ที่เราพูดกันไว้ที่ว่าทันทีที่ยึดอำนาจจะออกมาต้านทันทีที่ท้องสนามหลวง ไม่มีทางที่จะยึดอำนาจแล้วจะควบคุมสถานการณ์ได้ จะทำตั้งแต่วินาทีแรกที่ยึดอำนาจ จะได้เจอกับพลังประชาชนทั่วประเทศอย่างแน่นอน
ส่วนพันธมิตรฯ ผมเชื่อว่ามันผ่านจุดสูงสุดของเขาไปแล้ว คือ เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2551 ที่ผ่านมา เพราะว่าถ้าคนเชื่อเขา ป่านนี้คนออกมาเต็มทำเนียบ ออกมาเต็มถนนราชดำเนินไปแล้ว แต่เป็นเพราะว่าคนเขาไม่เชื่อมันก็เท่านั้น
*** ความจริงวันนี้ครั้งที่ 2 ประเมินสถานการณ์หรือไม่ว่ามีผู้มาร่วมงานเป็นจำนวนมาก
คือเราในฐานะผู้จัด คุณวีระ (นายวีระ มุสิกพงศ์) คุณณัฐวุฒิ (นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ) คุณก่อแก้ว (นายก่อแก้ว พิกุลทอง) เราไม่คาดคิดว่าคนจะมาเยอะขนาดนี้ แต่เป็นการท้าทาย เพราะเราคิดตั้งแต่วันที่ไม่รู้ว่า พ.ต.ท.ทักษิณ จะโฟนอินหรือไม่ ประกาศจัดที่ราชมังคลากีฬาสถาน ดำเนินการมาก่อน โดยมีความเชื่อมั่นกับปรากฏการณ์ที่ธันเดอร์โดม เมืองทองธานี ว่าจริงๆ แล้วเราไม่รู้ว่าที่เมืองทองธานีคนจะมามากขนาดนี้ แต่ว่ากรณีราชมังคลากีฬาสถาน เราคิดว่าถ้าคนมันไม่เต็มสนามมันไม่เต็มอัฒจันทร์...คนไม่มี แต่เอาเป็นเวทีวัดใจที่เราจะพิสูจน์ เราต้องการพิสูจน์ว่าผู้รักประชาธิปไตยมีจำนวนมากเท่าไร และความจริงได้ทาบทามนายกฯ สมัคร แล้วท่านรับปากว่าจะมาร้องเพลงให้ แต่ว่าท่านยังไม่หายป่วย และนายกฯ ทักษิณ ท่านเห็นปรากฏการณ์ที่ธันเดอร์โดมแล้วเสนอว่าจะมาขอโฟนอินในรายการ สร้างความแรงของวันที่ 1 พฤศจิกายน 2551 ให้เกิดมากขึ้น
แต่ปรากฏการณ์ของวันที่ 1 พฤศจิกายน ทำให้เชื่อว่าต่อไปนี้คนรักประชาธิปไตยมีจำนวนมาก แล้วไม่ใช่แบบที่เป็นการระดมคนทางการเมืองปกติ คือผมบอกเลยว่าเวทีนี้ใครขนคนมาจ้างคนมาเราไม่ต้อนรับ เพราะต้องการพิสูจน์ของจริง เพื่อนนักการเมือง เพื่อน ส.ส. บอกด้วยซ้ำว่าเป็นปรากฏการณ์ที่เขาไม่เคยเจอ ชาวบ้านบอกกับ ส.ส. ว่าช่วยพาเขาไปหน่อย ชาวบ้านเขาดูแลตัวเองหมด
ผมจึงบอกว่าภาพที่เมืองทองธานีมันเป็นกำลังใจให้สร้างประชาธิปไตย เข้าใจว่าในครั้งต่อไปเราคงเห็นปรากฏการณ์นี้มากขึ้น เพราะฉะนั้นในวันที่ 1 เราถึงได้บอกว่าการรัฐประหารมันยากขึ้นแล้วนะ ปรากฏการณ์วันนี้มันยาก แต่ถ้าเราขนคนจ้างคนมาเราคิดอย่างนี้ยากนะ ไม่มีเรื่องการจ้างคน ขนคน ระดมคน คนที่เขามาในวันนั้นเขาเชื่อว่าหากทหารยึดอำนาจครั้งนี้ จะไปหมด และเรามีความเชื่อมั่นว่าเรามีมากกว่าพันธมิตรฯ หลายร้อยเท่า ผมถึงได้บอกว่าเสียงข้างมากในวันนี้ต้องแสดงพลัง นี่กำลังจะจัดภาคพิเศษที่วัดสวนแก้ว ในวันที่ 23 พฤศจิกายน 2551
*** หลังในวันที่ 1 พฤศจิกายน 2551 สื่อมวลชนไทยได้วิจารณ์ว่าคนมาเพราะรักทักษิณ แต่ได้ลดประเด็นการต่อต้านรัฐประหารไป
มัน 2 ส่วน ซึ่งต้องยอมรับความเป็นจริงว่า วันที่เราชุมนุมต่อต้าน คมช. ตอนแรกเราบอกว่าเราต้องข้ามพ้นอดีตนายกฯ ทักษิณ ไปแล้ว แต่ปรากฏว่าประชุมกันไปประชุมกันมามันคือผู้รักประชาธิปไตย คือแยกไม่ออกแล้วว่าทักษิณกับผู้รักประชาธิปไตย คนที่มาชุมนุมเป็นเช่นนั้นจริงๆ เอาชัดๆ เลยว่าแม้ไม่มี พ.ต.ท.ทักษิณเลย แต่พอพูดถึง พ.ต.ท.ทักษิณ กระแสจะฮือขึ้นมา พูดง่ายๆ ว่าเราเองมีความพยายามที่จะสู้อย่างที่คนเขาบอกเหมือนกันว่าต้องข้ามพ้น พ.ต.ท.ทักษิณ ไปให้ได้ คล้ายๆ ว่าพิสูจน์กัน ซึ่งพิสูจน์หลายเดือนอย่างที่ผ่านมา ปรากฏว่าฝ่ายประชาธิปไตย รักประชาธิปไตย มีใจให้กับ พ.ต.ท.ทักษิณ ด้วยเป็นส่วนใหญ่ ฉะนั้นมันก็เป็นปรากฏการณ์หนึ่ง อย่างที่ผมบอกว่าที่ธันเดอร์โดมเราไม่มีนายกฯ ทักษิณ คนเต็ม แต่ว่าพอผมพูดถึงนายกฯ ทักษิณ คนตอบรับกันทั้งงาน
กรณีที่ราชมังคลาฯ ผู้ต่อต้านการรัฐประหาร แม้ว่ากรณีของ พ.ต.ท.ทักษิณ ที่มีคนบอกว่ามากลบประเด็น แต่ พ.ต.ท.ทักษิณ พูดถึงการต่อต้านรัฐประหารเหมือนกัน เราเองสรุปกันเลยว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ต้องเป็นคนหนึ่งในกระบวนการประชาธิปไตย ที่ยังมีฤทธิ์เดชที่จะต่อสู้กับเผด็จการ หรือที่จะมาขับเคลื่อนแม้ว่าตัวจะไม่ได้อยู่ด้วยก็ตาม เราถึงบอกว่าเราไม่ได้มีปัญหาอะไร และนายกฯ ทักษิณ มาในทำนองนี้เช่นกัน แล้วเราจะเอา พ.ต.ท.ทักษิณ ไปไว้ไหนล่ะ เมื่อท่านยื่นไมตรีจิตออกมา แล้วตัวเองถูกยึดอำนาจ และวันที่เขาถูกยึดอำนาจมันเป็นวันที่มีความแข็งแรงของผู้คน ฉะนั้นมันจึงแยกกันไม่ออก ฉะนั้นมันก็เป็นพลังของเขาไป
** ครั้งที่ 3 ที่วัดสวนแก้ว จะจัดงานอย่างไร
เป็นภาคพิเศษ คือ ท่านเจ้าคุณพยอม ท่านติดต่อคนที่สนิทกัน และก็สนิทกับพวกเราด้วย บอกผ่านคุณวีระ ที่สุดก็บอกว่าเราอยากได้วันเสาร์ ท่านก็บอกว่าเป็นวันอาทิตย์แล้วกัน ก็มาลงเอยวันที่ 23 ก็เป็นการบันทึกเทป แต่ในขณะเดียวกันความจริงวันนี้ไปก็ชวนพรรคพวก เพื่อนพ้องน้องพี่ที่ร่วมกัน ก็คงต้องไปสนทนา เราก็คิดตลอดเวลาว่าวัดสวนแก้วจะจอดรถอย่างไร ผมก็ตระเวนนะ ก็มีที่จอดรถ แล้วก็ต้องไปเพิ่มตรงเครื่องขยายเสียง และให้คนอยู่ตรงไหนดีที่วัดสวนแก้ว เพราะไม่มีที่ให้อยู่ ถ้าคนมาแบบครั้งที่ 1-2 คงแย่แน่ๆ เพราะไม่มีที่ให้ ตอนนี้ก็กำลังให้ทีมงานประสานอยู่
** มีการกำหนดการต้านกลุ่มสันติอโศกไหม
ยังไม่ได้กำหนด แต่ความจริงแล้วเราจะจัด คือตอนนี้เรากำลังคิดว่า 1.เราจะสัญจรต่างจังหวัด หรือคิดว่าจะทำฐานในกรุงเทพฯ เดิมทีสิ้นเดือนนี้จะไปขอนแก่น และต้นเดือนจะไปเชียงใหม่ แต่มีคนเสนอความคิดว่าสงครามมันอยู่ในกรุงเทพฯ เราจัดที่ราชมังคลาฯ แล้วหลังจากวันที่ 23 พฤศจิกายน 2551 จัดที่วัดสวนแก้ว น่าจะกลางใจเมืองเสียที ความคิดอันนี้จะนำไปสู่สนามศุภชลาศัย กลางใจเมือง สยามสแควร์ คนเป็นแสนๆ คน อยู่กลางใจเมือง น่าจะท้าทายสักครั้งหนึ่งก่อนที่จะไปต่างจังหวัด ซึ่งขณะนี้ความคิดยังสรุปกันก่อนว่าจะเอาอย่างไร เพราะถ้าเราจัดที่ใจกลางเมืองสยามสแควร์ คนเป็นแสนๆ อยู่ที่นั่นจะเกิดปรากฏการณ์ใหม่ และผมกำลังศึกษาดูว่าสนามฮ็อกกี้นั่งได้ไหม อะไรประมาณนั้น ส่วนใครจะไปเป็นแขกพิเศษนั้นกำลังดูอยู่
** ใครจะโฟนอินอีกรอบ
เอาแบบไม่คาดคิดกันดีกว่า รายการความจริงวันนี้ คุณสมัครเขียนจดหมายมา ไอ้ปรากฏการณ์อย่างนี้รายการความจริงวันนี้มีอะไรที่เซอร์ไพรส์ เราไม่นึกว่าพระพยอม (พระพิศาลธรรมพาที หรือ พระพยอม กัลยาโณ) จะเชื้อเชิญเอารายการความจริงวันนี้ไปจัดที่วัดสวนแก้ว
*** ฝ่ายค้านโจมตีว่าเป็นการเอาพระเข้าไปเกี่ยวข้องกับการเมืองหรือไม่
คือก่อนการเลือกตั้ง ท่านสมัคร กับ คุณอภิสิทธิ์ ทั้งสองพรรค เจ้าคุณพยอมเชิญเข้าไปแสดงความคิดเห็นเหมือนกัน คือโดยปกติแล้วพระกับนักการเมือง จะไม่เข้ากัน แต่ความจริงในวันนี้มี 2 มิติ ทั้งมุมมองแบบนักการเมือง หรือมุมมองแบบมิติของนักเคลื่อนไหวในหลายๆ แง่มุมที่จะเป็นปรากฏการณ์ มันไม่ใช่ว่าคนที่นับถือศาสนาพุทธเขามีสิทธิที่จะรับรู้หลายๆ เรื่อง อยากให้ชวนกันไป อย่างที่บอก เช้าคุณสมัครไป เย็นคุณอภิสิทธิ์ไป ไม่มีใครว่า
ฉะนั้นในตอนนี้ที่ท่านพยอมบอกว่าจะเชิญพันธมิตรฯ ไปอีกวันไม่ขัดข้อง ไม่มีปัญหาอะไร นอกจากว่าวันที่ 23 พฤศจิกายน 2551 ชวนกันไป เราตบปากรับคำซึ่งจะคุยกันสงบๆ สบายๆ ในรูปแบบความจริงวันนี้
** แนวทางสานสันติที่นักวิชาการเสนอ มองว่าจะสันติกันได้ไหม อย่างไร
มันไม่มีคนกลางเหมือนของพระปกเกล้า ซึ่งความจริงแล้วทัศนคติของสถาบันพระปกเกล้ามีปัญหาพอสมควรกับการยึดอำนาจ ซึ่งทัศนคติเคลือบแคลงใจของฝ่ายประชาธิปไตยพอสมควร แต่มีวิธีคิดเป็นเรื่องที่ดี แต่พออธิบาย มุมมองแล้วเห็นได้ชัดว่าเกรงใจพันธมิตรฯ พอสมควรในท่วงทำนองและวิธีการ ในด้านคนที่เป็นเลขาธิการของพระปกเกล้าเองที่เริ่มต้นโครงการบอกว่าไม่ประณามใคร ไม่ว่ากล่าวใคร แต่วิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลเหมือนกัน เริ่มต้นมาปากก็ไม่มีความเป็นกลางแล้ว
ดังนั้น หากมาชวนในยามที่ไม่มีความเป็นกลางเกิดขึ้น มันก็เป็นปัญหา ซึ่งพันธมิตรฯ เองไม่มีการขานรับอยู่แล้ว โดยฝ่ายเขาบอกว่าต้องพยายามเอาใจพันธมิตรฯ เสียก่อน ซึ่งมันไม่ใช่วันนี้ ถ้าเป็นกลางจริงต้องไม่เอาใจใคร ฝ่ายเราไม่ได้เป็นผู้ที่สร้างปัญหา แต่ฝ่ายเราเป็นฝ่ายที่ยอมถ้าปัญหาจบ
ฉะนั้นผมถึงได้บอกว่าวิธีการคิดที่ต้องเอาใจพันธมิตรฯ ก่อน แค่เริ่มต้นมันผิดแล้ว และมันจะเป็นไปในทางปฏิบัติยากมาก ผมกลับไปเห็นด้วยกับแนวคิดของ อ.ชาญวิทย์ (นายชาญวิทย์ เกษตรศิริ) ที่หยุดการปะทะกัน หยุดให้ท้ายพันธมิตรฯ หยุดอนาธิปไตย หยุดการรัฐประหาร นี่คือวิธีการ คือถ้าตราบใดที่ยังจ้องให้ท้ายพันธมิตรฯ อยู่อย่างนี้เท่ากับว่ายอมพันธมิตรฯ หมด ซึ่งมันไม่ใช่ ยอมคนเก คนก้าวร้าว มันไม่ถูก คนส่วนใหญ่เขาไม่ได้ขี้ขลาด แต่เขาเป็นสุภาพชน ฉะนั้นผมจึงบอกว่าจะเจรจาอะไรก็แล้วแต่มาด้วยความเสมอภาค
*** มีลู่ทางในการที่จะเจรจากันได้หรือไม่
คือ...พันธมิตรฯ ในวันนี้มีปัญหาว่าเขาจะเหยียบหัวใคร คือเขาเป็นคนที่ไม่ปกติ เขาจะเป็นเงื่อนไขทั้งหมด ฝ่ายอื่นไม่มีบัญหาเลย พันธมิตรฯ มีปัญหาอยู่ฝ่ายเดียว ยึดทำเนียบผิดแน่นอน คนประณามว่าพันธมิตรฯ ทำไม่ดี ฉะนั้นถ้าพันธมิตรฯ ทำตามกฎหมาย เรื่องเหล่านั้นมันจบแล้ว กลายเป็นว่าพันธมิตรฯ อยู่เหนือกฎหมายควบคุม กลายเป็นว่าอะไรก็ตามที่สามารถเล่นงานรัฐบาลได้ คือกระบวนการยุติธรรม แต่ฝ่ายพันธมิตรฯ จะกระทำผิด จะกระทำอะไรแล้วแต่ กระบวนการยุติธรรมเอาผิดไม่ได้
ฉะนั้นผมถึงได้บอกว่ามันอยู่ด้วยกันไม่ได้ หากให้ฝ่ายเรายอมรับเพราะเงื่อนไขว่ากลัวการนองเลือด ผมตอบว่าถ้ามันจำเป็นจะต้องนองเลือดให้เกิดความยุติธรรมมันต้องเป็น แต่ว่าคุณมาย่ำยีเหยียบย่ำเราอย่างนี้แล้วไม่ให้เราต่อสู้ ข่มขู่ว่าจะนองเลือด ซึ่งมันไม่ใช่ เราต้องมีสิทธิในการต่อสู้
** การแตกหัก จุดจบของเหตุการณ์คืออะไร
หลายคนคิดแตกต่างกันไป แต่ผมมองปรากฏการณ์ตรงนี้พันธมิตรฯ กำลังจะจบ เพียงแต่ว่าใครจะเป็นประธานให้เท่านั้นเอง คือหมายความว่าใครจะไปเติมเชื้อ อุณหภูมิเท่านี้ เชื้อโรคจะมีพลัง ผมติดตาม ASTV นะ เห็นปรากฏการณ์คน และสิ่งที่พันธมิตรฯ กระทำ และมองไปจุดสูงกว่านั้นอีก มันหล่นเร็วเหมือนนาฬิกาทราย มันไปเร็ว เพราะฉะนั้นถ้ารัฐบาลตั้งหลัก ใจเย็น อย่างมีระบบ โดยที่อดทนดูว่าใครจิตใจเข้มแข็งกว่า เกมนี้ชนะ แต่ถ้าเราไปหาทางทะลวงพันธมิตรฯ พันธมิตรฯ จะไปพักรักษาตัว แล้วจะย้อนมาฆ่ารัฐบาลอีกกี่ชุด...ก็ไม่รู้ ตราบใดที่พรรคประชาธิปัตย์ไม่ได้เป็นฝ่ายชนะ ซึ่งไม่รู้ว่าวันนั้นจะมาถึงเมื่อไร
ผมถึงบอกว่าทำให้สงครามครั้งสุดท้ายของเขาเป็นสงครามครั้งสุดท้ายจริงๆ ซึ่งคิดว่าไม่นาน คนเราจะอยู่ท่ามกลางความวิตกจริตทั้งหลาย ข้างในแตกแยกกันมากมาย วิวาทกันนับครั้งไม่ถ้วน เรารู้กันอยู่ แต่เอาเป็นว่าคนที่ทำลายพันธมิตรฯ ได้ดีที่สุดคือตัวพันธมิตรฯ เอง และคนที่ทำลายพันธมิตรฯ ได้ดีที่สุดคือตัว นายสนธิ ลิ้มทองกุล
** อีกกี่เดือนปัญหาคาราคาซังที่ทำเนียบรัฐบาลจะจบลง
คิดว่าคงไม่นาน ในฐานะนักเคลื่อนไหว อาการแบบนี้มันไปไม่ได้แล้ว เพราะสิ่งที่สูงสุดคุณพยายามเต็มที่แล้ว และมันผ่านไปแล้ว แต่คุณยังเอาชนะรัฐบาลไม่ได้ คุณจะเอาไม้ตายมาเล่นแล้วยังไม่ได้ ฉะนั้นต้องหาทางลงสิ แล้วมีพฤติกรรมเสนอเรื่องสะเปะสะปะแบบนี้ ปกติการทำมวลชนต้องมีเรื่องที่เขาเห็นด้วย นี่เป็นเรื่องก้าวร้าว ขวางทางเสด็จฯ จะไม่เปิด อ้างความปลอดภัยของตนเอง โดยไม่คิดถึงความปลอดภัยของพระเจ้าแผ่นดิน คนเขามีความคิดเหมือนกันว่าตัวเองจงรักภักดี ใครไม่ร่วมกับตัวเองล้มล้างราชบัลลังก์ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผบ.ทบ. ไม่เว้น โดนด้วย พอเส้นทางเสด็จฯ มา พันธมิตรฯ บอกว่าจะไม่ปลอดภัย เลยกลายเป็นว่าพันธมิตรฯ เห็นแก่ตัวเองมากกว่าพระราชวงศ์ มากกว่าพระเจ้าแผ่นดิน ผมบอกว่าคนไทยทุกคนที่ผ่านมาเขาถอยให้พันธมิตรฯ หมด แม้แต่...เรื่องทางเสด็จฯ ต้องถอยให้พันธมิตรฯ อีก เปลี่ยนเส้นทางไปหลานหลวงซึ่งไม่ใช่เส้นทางเสด็จฯ ถนนราชดำเนินคือเส้นทางเสด็จพระราชดำเนินของพระราชา ชื่อก็บอกอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นคนไทยทุกคนต้องยอมพันธมิตรฯ แล้ว เส้นทางเสด็จฯ ต้องยอมพันธมิตรฯ อีก ผมบอกว่าเรื่องนี้มันเกินเลยไป
** เป็นข้อสรุปใช่หรือไม่ว่าพันธมิตรฯ หาบันไดลงไม่เจอ
ยังหาไม่เจอ คือ 1.เขาต้องการโค่นรัฐบาล ใครก็ได้ ให้พรรคประชาธิปัตย์ได้ก็จบ เขาจึงกวักมือเรียกทหารออกมายึดอำนาจ วันที่ 7 ตุลาคม 2551 เป็นวันที่จะเกิดการยึดอำนาจมากที่สุด ท้าทายให้เกิดความรุนแรง คาร์บอมบ์ ซึ่งเถียงไม่ได้ว่าเป็นการระเบิดเอง ฉะนั้นเกมทั้งหมดมันถูกใช้ในวันที่ 7 ตุลาคม 2551 แต่ว่าคนไทยมีสติ เขาจึงรู้ว่าสิ่งที่พันธมิตรฯ ทำนั้น...มันไม่อาจรับได้
ผมจึงพูดว่า หลังจากที่เกิดเรื่องวันที่ 7 ตุลาคม 2551 คนต้องเต็มทำเนียบ ล้นราชดำเนิน รัฐบาลอยู่ไม่ได้แล้ว เพราะฉะนั้นเขาได้พาประชาชนมาสุ่มเสี่ยงบาดเจ็บล้มตาย เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลง คือพาคนมาตายเพื่อให้เกิดการปฏิวัติ แต่ไม่สำเร็จ ฉะนั้นจะหาโอกาสที่ไหนได้อีกล่ะ
ผมจึงบอกว่าวันนี้ข้อมูลชัดเจน มันไม่ชุมนุมโดยปราศจากอาวุธ ศาลปกครองพูดเอง วินิจฉัยมา ผมจึงบอกว่าผ่านจุดสูงสุดมาแล้ว ท่านสมัครออกจากนายกรัฐมนตรี ทำอะไรไม่ได้ กระบวนการประชาธิปไตยเอาท่าน สมชาย วงศ์สวัสดิ์ ถ้าจะฆ่าสมชาย มีคนอื่นมาต่อ กระบวนการประชาธิปไตยไม่มีที่สิ้นสุด แต่กระบวนการอนาธิปไตยมันอยู่ได้ด้วยการกวักมือเรียกทหารเข้ามา
และในวันนี้ทหารเขาชัดเจน พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา คือ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ประชาชนที่ราชมังคลากีฬาสถานคือของจริงที่เขาต้องหยั่งเชิงควบคุมสถานการณ์ให้ได้ ผมถึงบอกว่าวิธีการในวันนี้รัฐบาลถูกล้อมห่อหุ้มไว้ ไม่ใช่ความรุนแรง และในเมื่อพันธมิตรฯ ใครแตะไม่ได้ เขาปิดผ้ายันต์ไว้ ไม่เป็นไร ผมถึงบอกว่าให้พันธมิตรฯ ฆ่าตัวเองเสียก่อน และคนที่สังหารพันธมิตรฯ ได้ชัดเจนที่สุดคือถ้อยคำของพันธมิตรฯ ซึ่งทำลายพันธมิตรฯ และแนวร่วม และท้ายที่สุดพันธมิตรฯ จะถูกทอดทิ้ง ซึ่งวันนี้มันเห็นชัดมากขึ้น
** คำยืนยันของ ผบ.ทบ. ที่กล่าวว่าจะไม่มีการปฏิวัติ แต่นักวิชาการไม่เชื่อใจ ในฐานะที่เป็นนักเคลื่อนไหว มีอะไรบ่งชี้หรือไม่ว่าจะเกิดการปฏิวัติ
ผมไม่ได้เชื่อทหาร...คือการที่ทหารบอกว่าจะไม่ปฏิวัติเหมือนเสือบอกไม่กินเนื้อ พูดง่ายๆ ว่า เสือบอกว่าข้าพเจ้ากินมังสวิรัติ มันน่าเชื่อไหมกับคำว่าทหารจะไม่ปฏิวัติ เห็นว่าทหารออกมาปฏิวัติทุกครั้งนะ ล้วนเป็นทหารที่บอกว่าข้าพเจ้าจะไม่ปฏิวัติ ถ้าจะมาถามความเชื่อส่วนตัว ผมไม่มีความเชื่อส่วนตัวในด้านนี้หรอก ไม่ใช่ว่า พล.อ.อนุพงษ์ ไม่น่าเชื่อถือ แต่เพราะว่าพฤติกรรมในอดีตของทหารในแต่ละยุคแต่ละสมัยก็พูดเหมือน พล.อ.อนุพงษ์ เพียงแต่ว่า พล.อ.อนุพงษ์ จะแตกต่างจากคนอื่นตรงที่ว่า ฝ่ายต้านการปฏิวัติเขาประกาศตัวต่อต้านทันที และผ่านการต่อสู้กับ คมช. มาแล้ว และเขาเห็นว่าการยึดอำนาจของ คมช. มันมีผลเสียอย่างไร
ผมบอกได้ว่าการรัฐประหารไม่สิ้นไปจากประเทศไทย ฉะนั้นฝ่ายประชาธิปไตยต้องมีความเชื่อว่าทหารยึดอำนาจได้เมื่อไร ฝ่ายของเรามีหน้าที่ว่าจะไปต่อต้านทันที เราจะไม่เชื่อเรื่องนี้ไม่ว่าคุณจะพูดดีอย่างไรเราก็ไม่เชื่อ เพราะเขาถูกฝึกมาให้โกหก ร้อนไม่ให้บอกร้อน หนาวไม่ให้บอกหนาว หิวไหม...ไม่หิว ปฏิวัติไหม...ไม่ปฏิวัติ สุดท้าย...ยึดอำนาจ
ผมจึงบอกว่าวันนี้เราต้องเชื่อใจตนเอง คือฝ่ายประชาธิปไตยอย่าไว้ใจเขานะ โดยเฉพาะคนที่ปฏิวัติได้ ผมจึงบอกกับเขาว่า จุดยืนเราคือว่าไม่ปฏิวัติดีแล้ว แต่ถ้าปฏิวัติ...ต้องมาต่อสู้กัน
/////////////////////