WeLoveOurKing
How to insert weloveking to you website

ทรงพระเจริญ

ขัตติยาอัด คอป แต่งนิทานโยนความผิดเสธ แดง 18 9 55

สถาบันกษัตริย์อยู่ได้ด้วยความจริง

ธงชัย วินิจจะกูล: Truth on Trial

สถาบันกษัตริย์ถึงเวลาต้องปรับตัว

ตุลาการผิดเลน !


ฟังกันให้ชัด! "นิติราษฎร์" ไขข้อข้องใจ ทุกคำถามกรณีลบล้างผลพวงรัฐประหาร





วิดีโอสอนการทำน้ำหมักป้าเช็ง SuperCheng TV ฉบับเต็ม 1.58 ชม.

VOICE NEWS

Fish




เพื่อไทย

เพื่อไทย
เพื่อ ประชาธิปไตย ขับไล่ เผด็จการ

Tuesday, June 10, 2008

ดื้อด้าน!คตส.เมินหมายเรียก กองปราบเล็งขอออกหมายจับ

คตส.ออกอาการดื้อด้าน มีมติเมินหมายเรียกพนักงานสอบสวนกองปราบปราม คดีหมิ่นประมาท เป็นหนที่ 2 ทั้งยังทำหนังสือกดดันถึง ผบ.ตร. จี้ให้ดูแลลูกน้องทำคดีด้วยความสุจริตเที่ยงธรรม ยกข้อกฎหมายข่มขู่ “ดูหมิ่นเจ้าพนักงาน-แจ้งความเท็จ” ขณะที่กองปราบ ประชุมจ่อขออนุมัติหมายจับ “นักกฎหมาย” เรียงหน้าถล่ม ทำตัวยิ่งใหญ่เหนือกฎหมาย แถมตัวเองอยู่ในกระบวนการตรวจสอบแต่กลับไม่เคารพกระบวนการยุติธรรม

จากกรณีที่พนักงานสอบสวน กองปราบปราม ได้ออกหมายเรียกนายนาม ยิ้มแย้ม ประธานคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายต่อรัฐ (คตส.) พร้อมพวกรวม 11 คน ให้มารับทราบข้อหาหมิ่นประมาท และข้อหาแจ้งความเพื่อให้ผู้อื่นต้องได้รับโทษทางอาญา ตามที่ทนายความผู้ได้รับมอบอำนาจจากครอบครัวชินวัตร แบละดามาพงษ์ เข้าแจ้งความไว้ ตั้งแต่วันที่ 30 พฤษภาคม แต่ทาง คตส. ก็ไม่ไปพบพนักงานสอบสวนโดยอ้างว่าไม่ได้ทำผิดอะไร

จนกระทั่งล่าสุด กองปราบปราม ได้ออกหมายเรียกครั้งที่ 2 ในวันนี้ ( 10 มิ.ย.) ให้ คตส. ทั้ง 11 คน ประกอบด้วย นายนาม ยิ้มแย้ม นายอำนวย ธันธรา นางเสาวนีย์ อัศวโรจน์ นายแก้วสรร อติโพธิ นายกล้านรงค์ จันทิก คุณหญิงจารุวรรณ เมณฑกา นายมณเฑียร เจริญผล นายอุดม เฟื่องฟุ้ง นายวิโรจน์ เลาหะพันธุ์ นายบรรเจิด สิงคะเนติ นายจิรนิติ หะวานนท์ และนายสัก กอแสงเรือง เข้ารับทราบข้อกล่าวหาในความผิดฐานร่วมกันหมิ่นประมาท

คตส.ท้าทายเมินหมายเรียก
แต่นายสัก ในฐานะโฆษก คตส. ก็ได้ออกแถลงภายหลังการประชุมในวันที่ 9 มิถุนายน ว่าที่ประชุมมีมติ ไม่เดินทางไปพบพนักงานสอบสวนของกองปราบปรามที่ได้มีการออกหมายเรียก ครั้งที่ 2 ในวันนี้ อย่างแน่นอน

โดยกรรมการทุกคนจะมาทำงานที่ คตส.ตามปกติ และไม่เดินทางหนีไปไหนทั้งสิ้น นอกจากนี้ที่ประชุมยังมีมติให้ส่งหนังสือไปถึงผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติเป็นครั้งที่ 2 ในฐานะผู้บังคับบัญชาของกองปราบปราม ที่มีอำนาจหน้าที่ตามระเบียบราชการแผ่นดินเป็นผู้แทนขององค์กร รับผิดชอบในผลที่จะเกิดขึ้นจากการกระทำของพนักงานสอบสวนของสำนักงานตำรวจแห่งชาติและในฐานะเป็นผู้บังคับบัญชาสูงสุดและหัวหน้าพนักงานสอบสวนของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ที่จะต้องเป็นผู้ตรวจสอบ รับผิดชอบ ดูแลและแก้ไขผู้ใต้บังคับบัญชาให้การดำเนินการของพนักงานสอบสวนเป็นไปตามครรลอง ของกฎหมายว่าด้วยความเสมอภาค กล่าวคือต้องดำเนินการด้วยวิธีการสุจริต เที่ยงธรรม และไม่มีเจตนาก่อให้เกิดความเสียหายในทางสังคม

ทำหนังสือกดดันถึง ผบ.ตร.
“อยากให้ ผบ.ตร. พิจารณาว่าสิ่งที่พนักงานสอบสวนกองปราบปรามดำเนินการมานั้น ผบ.ตร. เห็นว่าเป็นการดำเนินการที่ถูกต้องชอบธรรมตามกฎหมายกำหนดหรือไม่ อย่างไร เพื่อ ผบ.ตร. จะได้พิจารณาตามอำนาจหน้าที่ต่อไป และต้องถือว่าการกระทำต่อจากนี้ไปอยู่ในความรู้เห็นของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และอยู่ในความรู้เห็นของ ผบ.ตร. นอกจากนี้เพื่อเป็นข้อมูลประกอบการพิจารณาของ ผบ.ตร. หรือผู้ได้รับมอบหมายในปัญหาและเรื่องที่เกิดขึ้น เป็นเรื่องเกี่ยวข้องกับการใช้กฎหมาย”

โฆษก คตส. กล่าวว่า นอกจากนี้ คตส. ได้แนบหลักการการใช้กฎหมายตามคำพิพากษาของศาลฎีกา ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดฐานดูหมิ่นเจ้าพนักงาน ฐานหมิ่นประมาทและฐานแจ้งความเท็จ มาให้เพื่อประกอบการพิจารณาของเจ้าหน้าที่ตำรวจด้วย ทั้งนี้ผลเป็นประการใดขอให้ ผบ.ตร. แจ้งให้ คตส. ทราบด้วย พร้อมกันนี้ได้ส่งหนังสือถึงศาลในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑลทุกแห่งเป็นครั้งที่ 2 เพื่อขอให้ศาลแจ้งให้ทราบกรณีที่เจ้าหน้าที่ตำรวจไปขออนุญาตศาลในการออกหมายจับด้วย

“หากพนักงานสอบสวนเห็นว่าเอกสารการชี้แจงของ คตส. ฟังไม่ขึ้น ก็ให้ไปขออำนาจศาลออกหมายจับได้เลย แต่อยากให้นายตำรวจชั้นยศ พ.ต.อ. ขึ้นไป ไปดำเนินการ ไม่ใช่ให้นายตำรวจชั้นยศ ร.ต. เพราะในการออกหมายเรียก คตส. ทั้ง 11 คนได้ลงชื่อโดยนายตำรวจชั้นยศ พ.ต.อ. แถมในวันส่งหมายเรียกเจ้าหน้าที่ตำรวจมีการแต่งเครื่องแบบเต็มยศเดินทางไปส่งถึงที่บ้าน คตส.ทั้ง 11 คน จนทำให้คนในบ้านของคตส.และเพื่อนบ้านที่ไม่ทราบเรื่องตื่นตกใจและเกิดความวิตกกังวล ทำให้ได้รับความเสียหาย”

กองปราบจ่อออกหมายจับ
ขณะที่มีรายงานความคืบหน้าจากเจ้าหน้าที่ตำรวจกองปราบปรามว่า หากทาง คตส.ยังไม่เข้าพบพนักงานสอบสวนตามหมายเรียกครั้งที่ 2 ทางพนักงานสอบสวนก็จะนำหนังสือชี้แจงที่ คตส. มอบให้มาดูอีกครั้งว่า คตส. มีเหตุผลเพียงพอหรือไม่อย่างไร จากนั้นจะมีการประชุมคณะพนักงานสอบสวนเพื่อพิจารณาว่าจะขออนุมัติออกหมายจับต่อไป

"ขอยืนยันว่าได้ดำเนินคดีนี้ตามขั้นตอนกฎหมายทุกอย่าง ไม่มีใบสั่งจากใคร และไม่อยากให้การดำเนินคดีครั้งนี้ถูกนำไปโยงกับประเด็นทางการเมืองเพราะคดีที่ทาง คตส.ได้แจ้งความต่อพนักงานสอบสวนกองปราบปรามให้ดำเนินคดี กับครอบครัวชินวัตร และสำนักกฎหมายนิติเอกราช ในข้อหาหมิ่นประมาท เมื่อวันที่ 17 ตุลาคม 2550 ที่ผ่านมา ซึ่งขณะนี้ คดีกำลังอยู่ในชั้นศาลแล้ว ซึ่งได้ทำไปตามหน้าที่ไม่ได้เข้าข้างฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด" เจ้าหน้าที่ตำรวจคนหนึ่ง กล่าว

ทนายชี้คตส.ไม่มีอภิสิทธิ์
ด้าน นายพิชา วิจิตรศิลป์ ทนายความจากสำนักสภาทนายความ กล่าวถึงกรณีดังกล่าวว่า เมื่อทางคตส.ออกมาปฏิเสธไม่ไปตามหมายเรียกของพนักงานสอบสวน ดังนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจควรไปยื่นคำร้องต่อศาลเพื่อขอให้ศาลออกหมายจับซึ่งตามกฎหมายแล้วหากว่าเจ้าหน้าที่ออกหมายเรียก 2-3 ครั้ง แล้วผู้ถูกกล่าวหาไม่มีท่าทีที่จะปฏิบัติตามหรือไม่มีเหตุอันควร ถึงแม้ว่าจะมีหนังสือไปแจ้งแล้วว่าจะไม่มาขอพบตามที่เจ้าหน้าที่ออกหมายเรียกตัว ดังนั้นเจ้าหน้าที่มีสิทธิ์เต็มที่อย่างแน่นอนที่จะออกหมายจับ

นายพิชา กล่าวว่า การกระทำดังกล่าวของ คตส. เป็นสิ่งที่แสดงออกถึงความไม่เหมาะสม ซึ่งกลุ่มคนพวกนี้ไม่มีอภิสิทธิ์อะไรอยู่เหนือกฎหมายบ้านเมืองได้ การที่แสดงตนว่าขัดขืนทำให้ภาพลักษณ์ของ คตส. นั้นดูไม่น่าเชื่อถืออย่างยิ่ง

ซึ่งถ้าหากเจ้าหน้าที่ไม่มีพยานหลักฐานที่แน่ชัดหรือพิจารณาดูว่าไม่น่าจะมีปัญหาคงจะไม่มีทางออกหมายเรียกมา ซึ่งเพียงแค่เรียกตัวมาให้แก้ข้อกล่าวหาเท่านั้นเอง จึงไม่น่าที่จะแสดงออกหรือปฏิบัติเช่นนี้ หรือจะพยายามบ่งบอกว่ากลุ่มบุคคลพวกนี้เป็นอภิสิทธิ์ชน หรือคิดว่าผู้พิพากษาที่ออกหมายจับนั้นไม่มีความรู้ความสามารถหรืออย่างไร หรือเกรงว่าจะมีการกลั่นแกล้ง ซึ่งจริงๆ แล้วเรื่องนี้ไม่ได้มีการกลั่นแกล้ง ซึ่งก็มีการปฏิบัติตามขั้นตอนทุกประการ อีกทั้งยังผ่านการประชุมพิจารณาอย่างรอบคอบ

“เพราะฉะนั้นจะมาถือว่าตัวเป็นผู้รู้กฎหมายและอยู่ในกระบวนการยุติธรรมแล้วจะมีอภิสิทธิ์เหนือบุคคลอื่นนั้นไม่ได้ อย่างที่ผมเคยกล่าวเอาไว้ว่า คนพวกนี้มาจากการที่พวกโจรตั้งมาทำหน้าที่ เพราะฉะนั้นจึงนึกว่าไม่มีใครทำอะไรได้”

ซัดอย่าทำตัวเหนือกฎหมาย
ด้าน นายศุภชัย ใจสมุทร รองโฆษกพรรคพลังประชาชน กล่าวว่า ในกรณีดังกล่าวนั้นโดยกฎหมายเมื่อมีการออกหมายเรียกโดยเจ้าพนักงานตามกฎหมาย แต่ถ้าหากมีการเรียกมาพบแล้วปรากฏว่าไม่ยอมมาตามนัดจะถือว่าเป็นการขัดหมายเรียก เจ้าพนักงานมีสิทธิ์ที่ขอออกหมายจับได้ แต่ประเด็นกลับกันทำให้ตนรู้สึกว่า ในการกระทำของ คตส.เองกำลังทำตัวให้อยู่เหนือกฎหมาย

อีกทั้ง หากพิจารณาตามอำนาจหน้าที่เป็นองค์กรที่ต้องบังคับใช้กฎหมายและจะต้องปฏิบัติตามกฎหมายแต่ไม่ยอมอยู่ภายใต้สิ่งที่ตัวเองจะต้องเคารพและรักษานั้นก็คือกฎหมาย ซึ่งการที่พยายามจะสร้างภาพลักษณ์ว่าเป็นองค์กรที่ควรจะมีอยู่ต่อหรือดำเนินอำนาจหน้าที่อย่างตรงไปตรงมา ซึ่งส่งผลให้ไม่เป็นที่ยอมรับจากประชาชนมากขึ้นไปอีก และหมดความชอบธรรมที่จะดำรงอยู่ ซึ่งภายในสิ้นเดือนมิถุนายนนี้ คตส. เองกำลังจะหมดวาระหน้าที่แล้วต้องถือว่าไม่ควรที่ให้ถึงตอนนั้นด้วยซ้ำไป ดังนั้น จึงอย่าได้คิดว่าจะมีโอกาสต่ออายุจากข้อเรียกร้องพันธมิตรฯ เลย

นายศุภชัย ยังกล่าวอีกว่า คตส.นั้น นอกจากที่มาจะไม่ชอบธรรมที่มีการแต่งตั้งจากผู้ทำการรัฐประหารแล้ว วิธีคิดแนวทางต่าง ๆ ของ คตส. ยังแสดงให้เห็นว่าที่ไม่เคารพกฎหมายแบบเดียวกับผู้ที่แต่งตั้งอีกเช่นกัน เพราะฉะนั้นกรณีดังกล่าว ประชาชนควรที่จะได้รับรู้ว่า คตส.เป็นองค์กรที่ตั้งตนมีอำนาจนอกเหนือกฎหมาย

ชี้ คตส.ไม่เคยยึดหลักความชอบธรรม
นายศุภชัย กล่าวว่า สิ่งสำคัญที่สุดในการปฏิบัติหน้าที่ ถ้าประชาชนที่ติดตามข่าวของตตส.มาตลอดจะสังเกตได้ว่า คตส.ไม่ได้ยึดหลักความชอบธรรมและตรงไปตรงมา ประการแรกแสดงให้เห็นโดยตลอดว่าการปฏิบัติหน้าที่นั้นมีเจตนาพยายามเอาผิดผู้ที่ถูกกล่าวหาโดยไม่ได้คำนึงถึงพยานหลักฐาน

“สังเกตได้ในช่วงที่ คตส.ปฏิบัติหน้าที่ใหม่ ๆ คตส.นั้นมีหน้าที่เป็นเพียงพนักงานสอบสวนเพื่อรวบรวมพยานหลักฐานสำคัญ แต่กลับมาออกมาจัดรายการและพยายามชี้ข้อเท็จของคดีที่กำลังพิจารณาของ พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร ซึ่งเป็นการแสดงให้เห็นชัดว่า คตส.มีอคติจะเอาผิดโดยไม่ได้คำนึงถึงว่าจะต้องให้ความเป็นธรรมกับผู้ถูกกล่าวหาด้วย”

นอกจากนี้อำนาจหน้าที่ของ คตส. ต้องยึดหลักเหมือนกับกระบวนการยุติธรรมทั่วไป ก็คือถ้ามีการพิจารณาสอบหาข้อเท็จจริงมาแล้ว ถ้าเห็นว่าผิดจริงก็ต้องดำเนินการตามกฎหมายโดยเสนอต่อพนักงานอัยการต่อไปตามกฎหมาย แต่ถ้าเมื่อมีการสอบสวนไปแล้วปรากฏว่า ผู้ถูกกล่าวหาไม่ได้กระทำตามความผิด คตส. ก็สามารถที่จะยุติเรื่องหรือสามารถที่จะแสดงความเห็นไม่สั่งฟ้องไปยังพนักงานอัยการได้ แต่ว่า คตส.กลับไม่ทำหน้าที่ตรงนี้ ซึ่งเป็นเรื่องที่ถือว่าเป็นการปฏิบัติโดยไม่ชอบ แต่ว่าคตส.เสนอไปว่ามีความเห็นสมควรฟ้องไปแล้ว ปรากฏว่าเมื่อส่งถึงพนักงานอัยการ คตส.เองก็ควรที่จะเคารพต่อความเห็นพนักงานอัยการที่มีความเห็นว่าสำนวนไม่พอฟ้อง ก็ที่จะเคารพสิทธิตรงนี้ด้วย เพราะว่าอัยการเป็นองค์กรที่ตั้งมาเป็น 100 ปีควบคู่มากับศาล

แต่ว่าคตส.เกิดขึ้นจากการแต่งตั้งโดยพวกเผด็จการ กลับมุแต่อำนาจออกมากล่าวว่าถ้าอัยการไม่ฟ้องก็ส่งฟ้องศาลเอง เหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นการทำให้ประชาชนที่พอจะศรัทธา คตส. อยู่บ้าง เสื่อมศรัทธาในที่สุด และหมดความน่าเชื่อถือไป ตนจึงอยากจะเรียกร้องว่า หาก คตส.ยังไม่ยอมมาตามหมายเรียก ขอให้พนักงานสอบสวนรีบดำเนินการขอออกหมายจับได้เลย ต้องว่าไปตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด โดยให้ คตส.รู้ว่าบ้านเมืองนี้ต้องยึดหลักนิติธรรมเป็นใหญ่ ดังนั้นอย่าพยายามทำตัวเป็นผู้มีอภิสิทธิ์