ที่มา ประชาทรรศน์
* กว่าร้อยบริษัทเจอข้อหาหนุนก่อวินาศกรรม
“จงรัก” สั่งเชือดนายทุนหนุนหลังม็อบพันธมิตรฯ ส่อเข้าข่ายความผิดตามกฎหมายฟอกเงิน โทษถึงขั้นยึดทรัพย์แถมโทษอาญาติดคุกอีก 10 ปี เผยชงเรื่องให้ ปปง. ไปแล้วกว่า 100 บริษัท ขณะที่ สน.ดุสิต ไล่เช็กบิลคดีย้อนหลังที่ม็อบชั่วสร้างความเดือดร้อนให้ชาวบ้านตลอดการชุมนุมที่ผ่านมา รวมกว่า 400 คดี เช่นเดียวกับ สภ.ราชาเทวะ เจ้าของพื้นที่สุวรรณภูมิ ที่เตรียมแถลงข่าวคดีและความเสียหายวันนี้ ส่วนทำเนียบรัฐบาลเปิดใช้งานวันแรก หลังถูกยึดนาน 192 วัน เจ้าหน้าที่ช่วยกันทำความสะอาดพร้อมทั้งสำรวจความเสียหาย เตรีมพร้อมแจ้งความดำเนินคดี
* สน.ดุสิตไล่เช็กบิล400คดีม็อบชั่วกวนเมือง
แม้ว่าม็อบชั่ว! พันธมิตรฯ จะยุติการชุมนุมลงเป็นการชั่วคราว แต่ร่องรอยความเสียหายที่ได้สร้างเอาไว้ทั้งที่สนามบินทั้ง 2 แห่ง และที่ทำเนียบรัฐบาลก็มากจนไม่สามารถประเมินค่าได้
โดยในวันที่ 8 ธันวาคมที่ผ่านมา ทำเนียบรัฐบาลได้เปิดทำการตามปกติเป็นวันแรกนับตั้งแต่กลุ่มพันธมิตรฯ บุกเข้ายึดเมื่อวันที่ 26 สิงหาคม เป็นเวลา 192 วัน แต่ก็ยังมีข้าราชการมาทำงานบางส่วนเท่านั้น เนื่องจากบางส่วนราชการยังคงทำงานอยู่ภายนอก
ซึ่งการเข้าทำงานในทำเนียบรัฐบาลครั้งนี้ส่วนใหญ่ก็ยังเป็นเพียงการสำรวจความเสียหาย เพื่อเตรียมสรุปข้อมูลฟ้องร้องดำเนินคดีกับแกนนำม็อบ และขณะเดียวกันก็เป็นการทำความสะอาดสถานที่ เนื่องจากถูกทิ้งมานาน และบางส่วนก็ยังมีการเข้าไปสร้างความเสียหาย
ในส่วนของตึกบัญชาการ 1 และ 2 จะพบว่ามีความเสียหายมากที่สุด จนไม่สามารถเริ่มใช้งานได้ จึงได้แต่เพียงให้ข้าราชการสำรวจความเสียหาย และบันทึกสิ่งของที่เสียหายไว้ประกอบการดำเนินคดี ส่วนมาตรการด้านการรักษาความปลอดภัย ได้มีการอนุญาตให้เข้า-ออก เฉพาะในส่วนของประตู 5 ฝั่งกระทรวงศึกษาธิการเท่านั้น เพื่อดูแลความปลอดภัยและอำนวยความสะดวก
ทั้งนี้ ได้มีการขอการสนับสนุนจากกรุงเทพมหานคร และกำลังทหารจากกองพันทหารพัฒนา มาช่วยในการเก็บอุปกรณ์ต่าง ๆ อาทิ บังเกอร์ทราย และยางรถยนต์ โดยตัวเลขความเสียหายอย่างเป็นทางการนั้น จนถึงขณะนี้เจ้าหน้าที่แจ้งว่ายังไม่สามารถสรุปได้
ขณะเดียวกันในส่วนของเจ้าหน้าที่ตำรวจก็ได้นำหน่วยประดาน้ำ เข้าตรวจดูใต้น้ำคลองผดุงกรุงเกษม ด้านข้างทำเนียบรัฐบาลด้วย
โดยพล.ต.อ.จงรัก จุฑานนท์ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (รอง ผบ.ตร.) ในฐานะกำกับดูแลกองบัญชาการตำรวจนครบาล กล่าวว่านักประดาน้ำจากศูนย์ ปฏิบัติการกองทัพเรือ และเจ้าหน้าที่เก็บกู้วัตถุระเบิดใต้น้ำ จากกองทัพเรือได้ตรวจค้นสิ่งของในคลองผดุงกรุงเกษม ที่เชื่อว่าอาจมีอาวุธที่กลุ่มพันธมิตรฯโยนทิ้งในคลองก่อนสลายการชุมนุม
ซึ่งจากการตรวจสอบในคลอง พบขวดเครื่องดื่มชูกำลังบรรจุนำมัน 2 ขวด บันไดเหล็กและมือตบเท่านั้น ส่วนวัตถุระเบิดไม่พบแต่อย่างใด
อย่างไรก็ตาม ได้มีการสรุปผลการตรวจสิ่งของที่พบภายในทำเนียบรัฐบาลว่า มีระเบิดชนิดต่างๆ ทั้งระเบิดปิงปอง ระเบิดขวด 110 ลูก ระเบิดเพลิง ประทัดและพลุ รวม 280 อัน อุปกรณ์ประกอบระเบิด 55 ชิ้น ปุ๋ยแอมโมเนียที่ใช้ ทำระเบิด 10 ถุง
กระสุนปืน .38 จำนวน 105 นัด น้ำกรด 75 ขวด ท่อนเหล็ก 312 ท่อน ท่อนไม้ 150 ท่อน ไม้กอล์ฟ 55 อัน หนังสติ๊ก 16 อัน ลูกเหล็ก ลูกแก้ว หิน นอต ใช้สำหรับยิง 497 อัน หมวกนิรภัย 24 ใบ สารเสพติด 4 คูณ 100 รวม 33 ขวด ใบกระท่อม 12 ถุง โล่ 5 อัน สนับแขน 183 อัน ท่อพีวีซี ที่เป็นกระบอกฉีดน้ำ 81 อัน และมีด 1 เล่ม
ขณะเดียวกันบริเวณประตู 5 ได้มีกลุ่มผู้ชุมนุมประมาณ 100 คน จากผู้ประกอบการ โอท็อป ทั่วประเทศ เดินทางมายื่นหนังสือขอความเป็นธรรม กรณีที่กลุ่มพันธมิตรฯ ก่อความวุ่นวายจนต้องยกเลิกการจัดงาน มิดไนท์โอทอป ที่เมืองทองธานี กลางเดือน พ.ค.ที่ผ่านมา ทำให้สมาชิกทั่วประเทศต้องขาดทุนร่วม 100 ล้านบาท จึงขอให้รัฐบาลช่วยเหลือ เตรียมจัดงานให้ใหม่ พร้อมขู่จะต้องมีคำตอบภายใน 48 ชั่วโมง ไม่เช่นนั้น จะเดินทางกลับมาชุมนุมใหม่อีกครั้ง
พล.ต.อ.จงรัก กล่าวด้วยว่าตำรวจเตรียมดำเนินคดีกับกลุ่มพ่อค้าและแม่ค้า รวมถึงห้างร้านต่างๆ ในความผิดฐานก่อการร้าย ซึ่งเป็นหนึ่งในมูลฐานความผิดตามกฎหมาย ที่ให้การสนับสนุนกลุ่มพันธมิตรฯ ในเหตุการณ์ชุมนุมและปิดสนามบิน โดยตำรวจสันติบาลเตรียมส่งรายชื่อให้สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินต่อไป ซึ่งหากพิสูจน์ความผิดได้ จะต้องถูกยึดทรัพย์และจำคุก 10 ปี
“ความผิดฐานก่อการร้ายมีอนุสัญญาภาคีระหว่างประเทศที่ระบุว่า หากบริษัทห้างร้านใด ใช้เงินสนับสนุนช่วยเหลือทางการเงินในการก่อการร้าย ยึดสนามบินประเทศนั้น สามารถห้ามการนำเข้าสินค้าของบริษัทห้างร้านดังกล่าวได้”
ทั้งนี้แหล่งข่าวระบุว่าขณะนี้มีกว่า 100 บริษัทแล้ว ที่เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ส่งเรื่องให้ ปปง.
ผู้สื่อข่าวรายงานพล.ต.ท.พงศพัศ พงษ์เจริญ โฆษกศูนย์ปฏิบัติการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพื่อติดตามสถานการณ์การชุมนุม แถลงผลการประชุมในวันนี้ (8 ธ.ค.) ซึ่งมี พล.ต.อ.ปทีป ตันประเสริฐ รักษาการผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เป็นประธานการประชุมว่า ในที่ประชุมได้กำชับให้ตำรวจนครบาล และตำรวจภูธรภาค 1 ดำเนินคดีกับแกนนำและกลุ่มผู้ชุมนุมพันธมิตรฯ กรณีการบุกยึดท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ และดอนเมือง ด้วยความเป็นธรรม ไม่เลือกปฏิบัติ
พร้อมสั่งตำรวจภูธรทั่วประเทศให้ติดตามความเคลื่อนไหวของกลุ่มต่างๆ ที่มีการรวมตัวกันในหลายพื้นที่อย่างใกล้ชิด แล้วรายงานให้ตำรวจสันติบาลรับทราบ เพื่อให้ตำรวจสันติบาลสืบหาความเชื่อมโยงของแต่ละกลุ่ม เพื่อป้องกันไม่ให้มีการรวมตัวเป็นม็อบขนาดใหญ่ขึ้นได้อีก
ส่วน สน.นางเลิ้ง ที่มีคดีความพันธมิตรฯ อยู่มากมายหลายคดี พ.ต.อ.วิบูลย์ยุทธ สันทัดเวช ผกก.สน.นางเลิ้ง กล่าวว่าการดำเนินคดีที่มีผู้ร้องเรียนแจ้งความดำเนินคดีกรณีที่พันธมิตรฯชุมนุมและสร้างความเดือดร้อนทางเจ้าหน้าที่ได้ทำการสรุปแบ่งแยกชนิดคดีตามที่พนักงานสอบสวนได้รับแจ้งเอาไว้เป็นชนิดของคดีแพ่งและคดีอาญาจากทั้ง 400 คดี โดยในส่วนของคดีอาญาเจ้าหน้าที่จะรับหน้าที่ในการสอบสวนเพื่อสรุปสำนวนส่งยื่นฟ้องให้กับอัยการต่อไป ซึ่งขณะนี้กำลังเร่งดำเนินการอย่างเร็วที่สุดและรอบคอบเพื่อให้เกิดความยุติธรรมกับทุกฝ่าย
โดยในส่วนของคดีอาญาและความเสียหาย ที่ต้องทำการตรวจสอบเพื่อหาหลักฐาน ที่ทำเนียบรัฐบาลอยู่นอกเหนือจากเขตพื้นที่สน.นางเลิ้ง คงต้องให้ทางเจ้าของพื้นที่เป็นผู้ดำเนินการนั้นคือ สน.ดุสิต จะเข้ามาตรวจสอบและดำเนินการต่อไป ส่วนสำหรับเรื่องการเรียกร้องให้ชดเชยความเสียขึ้นอยู่ที่สน.ดุสิตจะสรุปเรื่องอย่างไร
อย่างก็ตามทางเจ้าหน้าที่จะดำเนินการตรวจสอบสำนวนตามที่มีการร้องเรียนของเจ้าทุกข์อย่างเร่งด่วน และยืนยันว่าจะเอาผิดกับทางกลุ่มพันธมิตรฯอย่างแน่นอนไม่มีข้อยกเว้น