ที่มา ประชาทรรศน์
คอลัมน์ : ตะแกรงข่าว
โดย อัชฌาวดี
แม้ว่ากลุ่มพันธมิตรฯ จะยุติการชุมนุมป่วนบ้าน กวนเมืองไปแล้วเป็นการชั่วคราว แต่สิ่งที่กลุ่มคนพวกนี้ทำบ้านเมืองเสียหายวายวอด เป็นสิ่งที่ประเมินค่ามิได้ และที่สำคัญในช่วงเวลา 6 เดือนของการชุมนุม ได้เกิดพฤติกรรมผิดกฎหมายมากมาย
นายวีระ มุสิกพงศ์ ได้พูดเอาไว้ในเวทีที่ลานคนเมือง เมื่อวันที่ 3 ธันวาคม ที่ผ่านมาอย่างน่าสนใจ
“...นี่คือความชัดเจนยืนยันคำพูดที่ผมกล่าว ผมขอเรียนให้ทราบว่าทางตำรวจบอกว่าถึงนาทีนี้เขายังไม่ไว้ใจม็อบพันธมิตรฯ พล.ต.อ.ปทีป ตันประเสริฐ รักษาการผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่า ตำรวจยังต้องจับตาดูความเคลื่อนไหวของแกนนำพันธมิตรและตรึงกำลังในทุกพื้นที่ กลุ่มพันธมิตรเคยไปที่ไหน ก็จะดูแลที่นั่น แม้จะยุติการชุมนุมไปแล้ว แต่เพื่อความไม่ประมาทเพราะทางกลุ่มพันธมิตรเคยประกาศไว้ว่าจะกลับมาชุมนุมอีก หากมีการสร้างเงื่อนไขจากฝ่ายการเมืองเครือข่ายของอำนาจเก่า
ฝากไปยังสำนักงานตำรวจแห่งชาติว่า เหตุไฉนทางตำรวจจึงไม่เร่งถอนประกันตัวแกนนำพันธมิตรฯ เพื่อให้ไปอยู่ในที่จ้องจำ ในที่ที่ควรจะอยู่เสียทันใด มีอะไรมามัดมือมัดเท้าไม่ให้ท่านทำเช่นนั้น มันเรื่องอะไร ในเมื่อคนพวกนี้เป็นผู้ต้องหาได้เข้ามอบตัวกับทางตำรวจ ได้รับการประกันตัวมา แล้วก็ออกมาปฏิบัติการซ้ำรอยเดิม ซ้ำร้ายความผิดครั้งหลังนั้นยังนำความเสียหายให้เกิดแก่บ้านเมืองมากกว่าเดิมอีก แต่ท่านไม่ใช้มาตรการในการถอนประกันตัว ถามว่ามันเรื่องอะไร ถ้าหากท่านจะตอบผมว่าเรื่องมันอยู่ที่อัยการผมก็รับฟังได้ ผมก็จะถามไปที่อัยการนั่นแหละ แต่ว่าให้ท่านร้องขอไปขอถอนประกันตัว ถ้าติดขัดที่อัยการก็จะถามที่สำนักงานอัยการแห่งชาติว่า เพราะเหตุอะไร จึงไม่ถอนประกันตัวคนเหล่านี้ และถ้าอัยการจะบอกว่ากำลังจะฟ้องศาลอยู่แล้ววันพรุ่งนี้ มะรืนนี้ ถ้าจะให้ประกันตัวก็ต้องรอที่ศาลอีกที่หนึ่ง ถ้าท่านจะว่าอย่างไรก็แล้วแต่ท่าน ถ้าอย่างนั้นพูดกับศาลเอาไว้เลยในอนาคต ถ้าเรื่องนี้เข้าไปถึงศาลเมื่อไรขอได้โปรดพิจารณาว่า ไม่ควรจะให้ประกันตัวผู้ต้องหาทั้ง 9 เพราะให้ประกันตัวครั้งแรกแล้วมากระทำความผิดซ้ำอีกแล้ว
ถ้าทำได้เช่นนี้ข้อกังวลของ พล.ต.อ.ปทีป ตันประเสริฐ ที่บอกว่าคนพวกนี้จะหวนกลับมาอีกครั้งหนึ่ง ในเวลาที่เงื่อนไขเหมาะสม มาสร้างความเดือดร้อนวุ่นวายอีกครั้งหนึ่ง ผมเอาหัวเป็นประกัน ว่าจะไม่มีเหตุการณ์อย่างนั้นเกิดขึ้นอีกครั้ง ประชาชน 85-95 % ที่มาชุมนุมเขามาด้วยหลงผิด นี่กลับบ้านไปเขามีความสุขแทบเป็นแทบตายไม่มีวันที่จะย้อนกลับมาอีกถ้าไอ้หัวโจกมันอยู่ในคุก จะไม่มีปัญหาครับ
ถ้าหัวโจกเหล่านี้อยู่ในคุก แน่นอนว่ากฎหมายเล่นงานแน่นอน เอากันตามตัวบทกันจริงๆ ผมคิดว่าคนเสื้อเหลืองกลุ่มนั้นจะมาซื้อเสื้อแดงจนเราพิมพ์ขายไม่ทัน เพราะเขารู้ครับว่าใครอยู่ข้างความถูกต้อง ใครอยู่ข้างความเป็นธรรม
ประการที่สองผมอยากฝากผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติให้พิจารณาก็คือว่า ผมเฝ้าติดตามมาตลอดในระยะเวลาที่ยาวนานตั้งแต่ 9 คนแรกที่เป็นแกนนำถูกจับครั้งแรก เขาก็ตั้งแกนนำแถว 2 ไอ้แกนนำแถว 2 ก็ปฏิบัติการเต็มที่เพื่อสร้างชื่อเสียง ทำงานเต็มที่แล้วก็ได้ข่าวจากตำรวจว่ามีความผิดใกล้เคียงกัน ก็จะตั้งข้อหาอย่าเดียวกับ พวกนั้นเลยเกรงว่าถ้าขาดหัวแถวคนจะกลับบ้านหมด รีบตั้งแกนนำแถว 3 ยกกำลังบุก บช.น. ยืนบนหลังคารถโจมตี บช.น. ก่อนที่จะสลายตัว รวมความว่าแถว 2 และ 3 รวมกันกระทำความผิดแบบเดียวกันกับแกนนำแถวที่ 1 รวมทั้ง “อีนางปอง ตองแปด” ถามตำรวจว่าเหตุใดไม่ออกหมายจับคนพวกนี้เสียที แล้วถ้าถึงวันนี้แล้วยังไม่ออกหมายจับ มันยาวนานพอที่เราจะตั้งข้อสังเกตได้ว่าตำรวจได้ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่
ที่ผมพูดเรื่องนี้ทั้งหมดก็เพื่อจะบอกพี่น้องว่า การที่จะทำให้บ้านเมืองาสงบร่มเย็นนั้นมันเป็นไปได้ ไม่ใช่ว่าเป็นไปไม่ได้ แต่ว่าไม่ทำกัน ก็ทำให้ชาติเสียหาย พี่น้องประชาชนเดือดร้อน คนเสื้อแดงก็เดือดร้อนต้องออกมากระตุ้นเตือน แล้วก็อยากจะถามว่าถ้าตำรวจไม่ทำหน้าที่นี้ออกไปเถอะ ยังมีคนเขาอยากเป็นตำรวจอีกเยอะเลย ที่พูดแบบนี้ไม่ได้หมายความว่าจะตัดเยื่อใยกับตำรวจ จนไม่เห็นอกเห็นใจกันแล้วไม่ใช่อย่างนั้นหรอกครับ ก็เรียนท่านตั้งแต่วันแรกแล้วตำรวจเล็กๆลงมาเราเห็นใจ แต่ที่สงสัยคือนโยบายของตำรวจใหญ่ เราสงสารตำรวจ ถามตำรวจว่าทำไมไม่คิดสู้ ตำรวจบอกว่าผู้บังคับบัญชาสั่งห้ามใช้อาวุธ เราก็เห็นใจ เพราะตำรวจก็ต้องมีวินัย ผู้ใหญ่ห้ามใช้อาวุธก็ไม่ใช้อาวุธ
แต่เราต้องถามผู้ใหญ่ว่า นโยบายเฉพาะกิจต้องการสลายม็อบไม่ให้ใช้อาวุธเราก็เข้าใจได้ แต่เวลานี้มันเสร็จภารกิจแล้วทำไมไม่ตั้งข้อหาแกนนำแถว 2 แถว 3 แล้วถ้าช้าไปกว่านี้ ท่านเองจะกลายเป็นจำเลยข้อหาละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ แล้วจะมาโทษคนเสื้อแดงไม่ได้
ถ้าอยากให้บ้านเมืองเราเดินไปข้างหน้าจริงๆ ทุกคนต้องรู้จักหน้าที่ของตนเองใครเป็นพ่อค้าทำหน้าที่พ่อค้า ใครเป็นนายธนาคารทำหน้าที่นายธนาคาร ใครเป็นนักการเมืองทำหน้าที่นักการเมือง ใครเป็นทหารทำหน้าที่ทหาร ถ้าทำหน้าของตัวเองบ้านเมืองก็ไม่สับสน ก็คงจะพัฒนาไปมากกว่านี้
ตำรวจและทหารก็เหมือนกันควรจะปฏิบัติหน้าที่ของตนเอง ไม่ใช่ว่าทหารไปนั่งประชุมกับนักวิชาการแล้วให้นายกรัฐมนตรียุบสภามันก้าวก่ายหน้าที่กันไปหมดแล้วมีแต่มาโทษกัน จนแก้ปัญหาไม่ได้ จนมาพบเข้ากับข้อเฉลยของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ว่าถ้าหากจะมีการยุบสภาเสียในสภาวการณ์เช่นนี้ให้เลือกตั้งใหม่ ก็จะได้รัฐบาลที่ประชาชนเขายอมรับ ความต้องการของ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ก็ยังคงเป็นเรื่องเก่าที่เราพูดมาตั้งแต่ต้นว่าการยุบสภานั้นแก้ปัญหาประเทศไม่ได้ ฟังเข้าใจไหม
แต่ที่บอกว่ายุบสภาแล้วแก้เงื่อนไขไม่ได้นั้นติดอยู่ตรงที่ว่ายุบสภาไปในช่วงเวลาที่ยังไม่ได้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ยุบสภาไปในช่วงเวลาที่กฎกติกายังเป็นเผด็จการซึ่งได้ทำไว้ในประเทศตั้งแต่วันที่ 19 กันยายน 2549 บ้านเมืองเราเสียหายมาตั้งแต่ช่วงนั้นเพราะว่ามีการตั้งสมมุติฐานขึ้นมาผิดๆ แล้วใช้กำลังทหารเข้ามายึดอำนาจ บ้านเมืองก็ได้เปลี่ยนจากระบอบประชาธิปไตยเป็นระบอบเผด็จการทหาร จากนั้นการกระทำตั้งแต่ในปี 2550 จึงเป้นความผิดหมดเลยตั้งแต่ 1.จัดตั้งรัฐบาลขึ้นมา 2.ตั้งองค์กรอิสระต่างๆมากมาย เอาคนใส่เข้าไปในองค์กรอิสระเสร็จสรรพแล้วตั้ง คตส. แล้วบอกว่าต่อไปนี้นักการเมืองที่ทุจริตต้องถูกปราบอย่างสิ้นซาก คตส.ไม่ใช่กระบวนการยุติธรรม ขอให้ตั้งหลักตรงนี้ที่ผมต่อสู้มา 2 ปีแล้วอยากบอกให้โลกทั้งโลกรู้ว่า คตส.ไม่ใช่กระบวนการยุติธรรมตามหลักสากล ตั้งขึ้นมาเฉพาะกิจขึ้นมาเพื่อจัดการกับใครคนใดคนหนึ่งหรือกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง ซึ่งโลกนี้เขาไม่ยอมรับกันแล้ว
ถ้าอยากได้รับการยอมรับจากคนทั่วโลกว่าเป็นหลักการในระบอบประชาธิปไตย คตส.ต้องถูกตั้งขึ้นมาเพื่อตรวจสอบการคอร์รัปชั่นของทุกๆ รัฐบาล แล้วบุคคลที่ถูกตั้งขึ้นมาจะเป็นบุคคลกลางที่สังคมยอมรับได้ ไม่ใช่คู่วิวาทของคนใดคนหนึ่ง และเมื่อแต่งตั้งแล้วได้รับจากโปรดเกล้าฯ จากประมุข แต่ว่ามันไม่ได้ทำอย่างนั้น มันจัดตั้งขึ้นมาเพื่อจัดการกับคนกลุ่มเดียว เอาคนที่เป็นพวกพ้องของตน และมีที่มาไม่ถูกต้องเราซึ่งคัดค้าน ถ้าคุณตั้ง คตส. ขึ้นมาก็ต้องตรวจสอบพรรคประชาธิปัตย์ด้วย เพราะว่าพรรคประชาธิปัตย์เคยเป็นรัฐบาลและทำชาติสูญเสียเงินเป็นจำนวน 650,000 ล้านบาท...”