ที่มา ประชาทรรศน์
สวัสดีผู้รักประชาธิปไตย หลายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันนี้นั้น หลายท่านขมขื่นรับไม่ได้ ผมติดใจถึงการเป็นนายกรัฐมนตรีของ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นะครับ เป็นการลงทุนที่มาก ซึ่งสิ่งที่ได้ลงทุนไปคือการโหวตในสภาเพื่อเลือก นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นนายกรัฐมนตรีนั้น ซึ่งถ้าเป็นการค้าเรียกได้ว่าขาดทุนย่อยยับ สิ้นเนื้อประดาตัวแน่นอน แต่ปัญหาคือ ผู้ที่จะชดใช้การลงทุนอันแสนแพงนี้ไม่ใช่คุณอภิสิทธิ์ ไม่ใช่ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ไม่ใช่ทหาร ไม่ใช่ใครต่อใคร แต่คนที่ต้องชดใช้คือประเทศไทยนะครับ เพราะก่อนที่จะมีการลงมติ ก่อนที่จะได้ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นนายกรัฐมนตรี ก่อนการโหวตในสภานั้น คนไทยทุกคนต้องรับทราบว่าประเทศไทยได้สูญเสียอะไรไปบ้างเพื่อแลกกับสิ่งนี้
ประการที่ 1 สถาบันตุลาการ ได้ถูกนายทุนเข้ามาแย่งชิงอำนาจทางการเมืองอย่างเปิดเผยและมากที่สุดอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน รวมทั้ง ประการที่ 2 บรรดาองค์กรอิสระ ทั้งหลายภายใต้รัฐธรรมนูญ ซึ่งไร้ความเป็นธรรมโดยสิ้นเชิง ประการที่ 3 กองทัพ ถูกใช้เป็นเครื่องมือในการเล่นการเมือง ในการแย่งชิงอำนาจทางการเมือง อย่างเปิดเผยโจ๋งครึ่มที่สุดเท่าที่เคยมีมา ไม่มีขวยอาย
ประการที่ 4 สื่อมวลชน เอียงเลือกข้าง ในเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 6 ตุลาคม หรือพฤษภาทมิฬ สื่อมวลชนยังเลือกข้างประชาธิปไตย แต่ตอนนี้ชัดเจนว่าสื่อมวลชนเอียงกระเท่เร่ 90 เปอร์เซ็นต์ เข้าข้างอำมาตยาธิปไตย ถ้าสื่อมวลชนไม่เป็นกลาง ไม่ซื่อสัตย์สุจริตต่อประเทศแล้ว ประเทศชาติจะลำบากแน่นอนครับ ประการที่ 5 ระบบพรรคการเมืองพังพินาศ ไม่เว้นแม้แต่พรรคประชาธิปัตย์ ทหารหลายท่านที่ต้องการจะทำการรัฐประหารแต่ไม่สำเร็จ แต่คราวนี้ยึดอำนาจไม่รู้จะยึดที่ไหนได้ ก็ยึดพรรคประชาธิปัตย์
ฉะนั้น อย่าทะนงตัวว่าพรรคประชาธิปัตย์เป็นพรรคการเมืองเก่าแก่ในประเทศ เพราะพรรคได้ตายไปแล้วจากความรู้สึกของประชาชน ตั้งรัฐบาลหนนี้คนที่ได้ประโยชน์มี 2-3 คน คุณอภิสิทธิ์ได้เป็นนายกฯ คุณสุเทพได้เป็นรองนายกฯ หรือนายกฯ ตัวจริง ทั้งหมดในพรรคประชาธิปัตย์ไม่ได้อะไรเลย ตำแหน่งสำคัญพรรคไม่ได้อะไร ทั้งๆ ที่ชุดก่อนจะต้องยึดไว้ แล้วอย่างนี้จะรักษาพรรคได้อย่างไร ไอ้ 80 ล้านบาท ที่พูดๆ กันระวังเป็นเหยื่อสื่อมวลชนกับฝ่ายตรงกันข้ามนะ เขารู้ดี เขาไม่ได้เป็นเหยื่อหรอกครับ แต่เป็นต้นเหตุความเสื่อมของพรรคประชาธิปัตย์เอง
ประการที่ 6 เจตจำนงของประชาชน ที่ไปใช้สิทธิเลือกตั้งทั่วไป เป็นการแสดงออกถึงเจตจำนงของประชาชนในระบอบประชาธิปไตย ในวันที่ 23 ธันวาคม 2550 การจัดตั้งรัฐบาลในครั้งนี้ทำให้เห็นว่าเจตจำนงของประชาชนที่มาเลือกตั้งทั่วไปในระบอบประชาธิปไตยไร้ความหมายโดยสิ้นเชิง เพราะระยะเวลาใน 4 ปีตามวาระ จะสามารถใช้อำนาจนอกระบบบีบให้เปลี่ยนแปลงเจตจำนงนี้ตลอดเวลาเลย
ประการที่ 7 อนาธิปไตย ไร้ขื่อแป กลายเป็นอาวุธที่ชอบธรรมในการโค่นล้มแย่งชิงอำนาจทางการเมือง การปิดทำเนียบรัฐบาล ปิดเส้นทางเสด็จพระราชดำเนิน ยึดสนามบินยังว่าดีเลย ประเทศมันย่อยยับไปหมดแล้วครับ ประการที่ 8 หลักคำสอน ของพระพุทธศาสนาที่ว่า ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เสื่อมมนต์ขลังไปคราวนี้ เพราะเห็นชัดๆ ว่าทำชั่วยังได้ดี ได้เป็นรัฐมนตรี ทำลายหลักการแนวคิดของประชาธิปไตยก็ได้เป็นใหญ่เป็นโตในบ้านเมือง ด่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อย่างถึงอกถึงใจผ่านเอเอสทีวี 24 ชั่วโมง ท่านเลยให้เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ตบหน้าประเทศไทยทั้งประเทศ น่าไม่อาย เอาคนอย่างนี้มาเป็นรัฐมนตรีต่างประเทศ แถมยังไปบอกสื่อต่างประเทศว่ายึดสนามบินสนุกดี ไม่รู้หัวใจทำด้วยอะไร
ที่มาของรัฐบาลชุดนี้ แม้กระทั่งองค์ประกอบการเรป็นรัฐบาล เป็นลาภอันไม่ควรได้ ประเทศไทยและทุกคนต้องชดใช้ ถ้าตั้งฉายารัฐบาล ผมขอตั้งว่า “รัฐบาล 4 เสาต่างตอบแทน” ไม่ต้องตกใจ ผมไม่ได้พูดถึงสี่เสาเทเวศร์ แต่เป็น 4 เสาจริง เสาที่ 1 คือ สื่อสารมวลชน คือ ส.สนธิ และ ส.สุทธิชัย ได้รับการปูนบำเหน็จเต็มๆ 90 เปอร์เซ็นต์ มีส่วนอย่างมากในการอุ้มชูเป็นเสาค้ำรัฐบาลให้อยู่ได้ เสาที่ 2 คือ กระบวนการยุติธรรม ไม่ได้หมายถึงศาลยุติธรรม เป็นศาลรัฐธรรมนูญ อาจจะเป็นศาลเดียวในโลกที่ล้มรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง รัฐบาลที่มาจากรัฐธรรมนูญได้ ไม่มีประเทศไหนที่ให้ศาลโค่นล้มผู้นำประเทศ เพราะอำนาจของรัฐบาลมาจากประชาชน คนที่จะให้ผู้นำประเทศออกจากตำแหน่งคือประชาชน หรือองค์กรที่มาจากประชาชนเท่านั้น
การล้มพรรคพลังประชาชนเป็นคุณูปการที่สำคัญกับพรรคประชาธิปัตย์ จึงต้องมีการตอบแทนว่าอย่างน้อยจะไม่มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ที่ให้บรรดาองค์กรทั้งหลายในบทเฉพาะกาลที่ คมช. ตั้งไว้ อยู่มัน 7 ชั่วโคตร รับรองได้ว่าพรรคประชาธิปัตย์ต้องไม่แก้ไขแน่ๆ
เสาที่ 3 คือ ทหาร ผู้บังชาการเหล่าทัพชัดเจนที่สุด การตอบแทนที่ชัดเจนที่สุด คนระดับเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์หอบดอกกุหลาบจากเนเธอร์แลนด์ไปให้อดีตข้าราชการทหาร ขอให้มารับตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เสียศักดิ์ศรีพรรคประชาธิปัตย์ มีแต่คนจะมาขอ นี่ไปเชิญเขามา อานิสงส์ไปถึง พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผบ.ทบ. แน่นอนว่าได้เป็น ผบ.ทบ. จนปลดเกษียณ ไม่มีใครมาทำร้าย เอื้อไปถึงน้องชาย เมื่อมีคำสั่งแต่งตั้ง ก็มีคำสั่งย้ายให้ พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ มาเป็น ผบ.ตร.
เสาที่ 4 ค้ำนำรัฐบาล สู่ความเป็นอำนาจ นอกจากนี้ยังมีตัวช่วยอุปถัมภ์ที่เรียกได้ว่าเป็นพ่อทูนหัวตัวจริงของรัฐบาลอภิสิทธิ์ คือ พันมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ซึ่งตอบแทนเรียบร้อยแล้ว โดยตั้งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศตบหน้าประเทศ และให้ชาวโลกคิดว่าประเทศไทยมันก็เท่านี้ และต้องตอบแทนเพิ่มคือ ไม่มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ดีไม่ดี อาจจะถึงต้องมีการแก้ไขรัฐธรรมนูญสำหรับการเมืองใหม่ 70 : 30 และผมว่ารัฐบาลต้องทำเอาหูไปนาเอาตาไปไร่กับความผิดของพันธมิตรฯ นะครับ ในการก่อความไม่สงบเรียบร้อย ตรงนี้จะยอมได้หรือยอมไม่ได้ แต่ถ้ายังเฉยอยู่เราต้องเป็นผู้ชดใช้เอง
ถ้าจะให้ผมเป็นโหร ผมว่ารัฐบาลชุดนี้อยู่ไม่เกิน 3 เดือน ภายใน 1 เดือนแรก เชื่อว่าโดยสภาของคนที่มีลักษณะเด็กเมื่อวานซืน ด้วยการอุปถัมภ์ของเฒ่าทารกอย่างในปัจจุบัน ผมว่าไปไม่รอด นี่ไม่ได้ดูถูกนะ ด้วยความเคารพ ดังนั้น ผมจึงอยากจะเตือนคนที่รักความเป็นประชาธิปไตย ที่รู้สึกขมขื่น ขอให้เราอดทน คือ เห็นเขาทำอะไรแล้วเราจะทำเทียบเคียงบ้างอย่าเชียวนะครับ เราอยู่ในฐานะที่เสียเปรียบ แต่เรามองในแง่ดี คือทหารไม่สามารถที่จะทำการปฏิวัติรัฐประหารเต็มรูปแบบได้ แต่ใช้วิธีการปล้นในรูปแบบอย่างนี้ เพื่ออ้างว่ายังอยู่ในครรลองประชาธิปไตย ผมมองในแง่ดีว่ามันสิ้นท่าแล้ว
ดังนั้น การต่อสู้ในระบอบประชาธิปไตยกับอำมาตยาธิปไตย อย่าคิดว่าประชาธิปไตยได้เพลี่ยงพล้ำแล้วนะครับ การที่พรรคพลังประชาชนถูกล้มไป มีการเปลี่ยนขั้วไป อาจเป็นสัญญาณของชัยชนะได้ อย่างน้อยที่สุด พรรคประชาธิปัตย์ส่อให้เห็นร่องรอยของความแตกสลายแล้ว ถ้าเปรียบพรรคประชาธิปัตย์เป็นจักรวรรดิ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นผู้นำคนสุดท้าย แน่นอนที่สุดมีความเจ็บปวด ชอกช้ำสูญเสีย แต่มองไปข้างหน้า เราจะเห็นแสงสว่าง เพราะฉะนั้นอย่าทำอะไรที่เป็นอุปสรรคขวางกั้นหนทางสู่ชัยชยะ
เชื่อผมเถอะครับ การที่ทหารสามารถล้มพรรคพลังประชาชนได้ ไม่ใช่ว่าประชาธิปไตยจะพ่ายแพ้ มองในแง่ดีเถอะครับ ถ้ามองในแง่นี้ หนทางของเราจะสว่างไสว คนบางคนทำเพื่อตัวเอง ยึดติดทรัพย์สินอำนาจบารมี ไม่ได้นึกถึงลูกหลาน แต่สิ่งที่นักประชาธิปไตยได้สั่งสมไว้ จะถึงลูกหลาน แน่นอนว่าเราอาจจะไม่ได้รับอะไร เราอาจจะได้รับความเจ็บปวด ขมขื่น เราอาจจะได้แต่ความสูญเสียด้วยซ้ำไป แต่ลูกหลานของเราจะได้รับทุกสิ่งทุกอย่างที่เราทำในวันนี้ครับ
*****************
ที่มา : ถอดความบางตอนในงานเสวนา "รัฐบาลอนาธิปไตย" นพ.สันต์ หัตถีรัตน์ ประธานสมาพันธ์ประชาธิปไตย นพ.เหวง โตจิราการ นายคณิน บุญสุวรรณ อดีตสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ 2540 ดร.วรพล พรหมิกบุตร คณะสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ที่ห้องราชา โรงแรมรัตนโกสินทร์ 23 ธันวาคม 2551 จัดโดย มูลนิธิกลุ่มวีรชนประชาธิปไตย และ สมาพันธ์ประชาธิปไตย
*****************