คอลัมน์ : ฮอตสกู๊ป
กลุ่มสร้างสรรค์ชีวิตและสังคมอีสาน (กสส.),เครือข่ายขบวนคนรุ่นใหม่ภาคอีสาน (คคส.),สหพันธ์เยาวชนอีสาน (สยส.) เขียนบทความ หรือจะเรียกว่า เรื่องพิเศษ เกี่ยวกับการเคลื่อนไหวใน “ขบวนการเอ็นจีโอ”อีสาน หรือ กลุ่มที่พันธมิตรชอบอ้างว่า เป็น”ภาคประชาชน” ได้อย่างแสบสันต์ ดุเดือด สมกับเป็นคนรุ่นใหม่ในภาคอีสาน ที่ปฎิเสธ “แนวทาง “ “ความคิด” ของบรรดาเอ็นจีโอรุ่นเก่า เก๋ากึกส์ของอีสานที่ทำตัวเป็นหางเครื่องให้แก่พันธมารอย่างสุดจิต สุดใจ งานเขียนชิ้นนี้จึงพิเศษตรงที่ เปิดหน้ากาก ตัวตน ของเอ็นจีโออีสานอย่างล่อนจ้อน จริงเท็จประการใด เชิญทัศนา!
“บทนำ
หนึ่ง : ควรวาลัย “ปุ๋ย”ปัญญาชนชนชั้น...ของ “ขบวนเขื่อน”และ“สมัชชาคนจน”
นันทโชติ ชัยรัตน์ “ปุ๋ย” พร้อมลูกชาย “ลำน้ำ” ได้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุรถยนต์บนเส้นทางกลับบ้านเมื่อวันที่ 2 พฤษภาคม พ.ศ.2551 นับเป็นการสูญเสีย “ปัญญาชนชนชั้น” ครั้งใหญ่ของขบวนการ “เขื่อน” และ “สมัชชาคนจน” รวมทั้งขบวนคนรุ่นใหม่ภาคอีสาน ในนาม “กลุ่มสร้างสรรค์ชีวิตและสังคมอีสาน” (กสส.) ด้วย
“ปุ๋ย” ได้เข้าร่วมขวนแถวกับกลุ่ม กสส. ตั้งแต่เริ่มแรก และในช่วงการเคลื่อนไหวต่อต้านเผด็จการทหาร คมช. เขาก็เข้าร่วมกับพวกเราโดยตลอด, ก่อนจะเสียชีวิตเข้ายังได้นัดหมายที่จะมาเข้าร่วมเวทีสัมมนาขบวนคนรุ่นใหม่ ครั้งที่ 2/2551 ที่จะจัดขึ้นเนื่องในวาระครบรอบ “16 ปีพฤษภาทมิฬ 2535” ในวันที่ 10 พฤษาภาคม พ.ศ.2551 ณ มหาวิทยาลัยขอนแก่น
อนิจจา ! ไม่นึกเลยว่าพวกเรากลุ่ม กสส. ต้องย้ายเวทีสัมมนาในวันเวลาดังกล่าวไปร่วมพิธีไว้อาลัยและฌาปนกิจศพของ “ปุ๋ย” แทนที่วัดทุ่งศรีเมือง อ.เมือง จ.อุบลราชธานี
ในวันนั้น, ก่อนที่ร่างของเขาและลูกชายจะถูกส่งเข้าเมรุ พิธีกรรมไว้อาลัย “ปุ๋ย” ยังได้สร้างผลสะเทือนต่อพวกนิยมเผด็จการ “พันธมิตรฯ” อย่างสำคัญ....
ภายในเอกสารประกอบการสัมมนาครั้งนี้ จึงขอนำบทความของ “ศิโรตม์ คล้ามไพบูลย์” / “บารมี ชัยรัตน์” / บทรายงานพิธีกรรมไว้อาลัยดังกล่าว.....มอบให้มิตรสหายทุกท่านที่ไม่มีโอกาสไปร่วมเคารพดวงวิญญาณของเขา.....
และขอเชิญมิตรสหายทุกท่านเข้าร่วมงานรำลึกครบรอบ 50 วัน การจากไปของ “ปุ๋ยและลูกชาย” ในวันที่ 21 มิถุนายน พ.ศ.2551 ณ “ป๋วยเสวนาคาร” ฝั่งธนบุรี กทม.
พวกเรากลุ่ม กสส. ขอควรวะและอาลัยยิ่ง.....
สอง : ขบวนคนรุ่นใหม่ภาคอีสาน กับ ภาระกิจที่ยังไม่เริ่มต้น.....
นับตั้งแต่ปี 2548 ถึง ปัจจุบัน การรวมตัวของ “คนรุ่นใหม่” ในภาคอีสาน” ในนาม กสส. นั้น ได้ผ่านการทำกิจกรรมร่วมกันมาพอสมควร โดยระหว่างปี 2548-2549 ได้มั่งเน้นไปที่การจัดกระบวนการศึกษาภายในกลุ่มกันเอง
ภายหลังการรัฐประหาร 19 กันยายน พ.ศ.2549 ทาง กสส. ทำการเคลื่อนไหวต่อต้านเผด็จการทหาร คมช. และรณรงค์ไม่รับร่างรัฐธรรมนูญปี 2550 ในภาคอีสานอย่างคึกคัก
ในวันที่ 19 กันยายน พ.ศ.2550 กสส.ได้ประกาศเจตนารมณ์ร่วมกันในการที่ร่วมกับภาคีอื่น ๆ ในการเคลื่อนไหว, รณรงค์ให้มีการ “แก้ไขรัฐธรรมนูญ 2550” ภายหลังที่มีการเลือกตั้ง ส.ส. และจัดตั้งรัฐบาลใหม่
ที่ผ่านมา กสส. ได้จัดสัมมนาขบวนคนรุ่นใหม่ภาคอีสาน ครั้งที่ 1/2551 ขึ้น เมื่อวันที่ 18-20 มกราคม พ.ศ.2551 ที่ วังอสูร อ.กระนวน จ.ขอนแก่น ซึ่งในที่ประชุมสัมมนาดังกล่าวมีมติ
อย่างน้อย 2 ประการ คือ
1. กสส. จะต้องเคลื่อนไหวแก้ไขรัฐธรรมนูญ 2550 โดยการจัดตั้ง “คณะทำงานเฉพาะกิจ” ขึ้นมา 1 ชุด ทำการกำหนดเนื้อหา และออกแบบการเคลื่อนไหว ซึ่งให้ประกอบไปด้วย “กลุ่ม” / “องค์กร” ที่เป็นมิตรสหายและมีความคิดคล้ายคลึงพวกเราเท่านั้น
2. กสส. จะต้องทำการศึกษา และมีชุดเสนอให้กับสาธารณะในการขับเคลื่อน “การปฎิรูปการเมืองครั้งใหม่” ที่จะมีไปพร้อมกับการรณรงค์แก้ไขรัฐธรรมนูญ 2550 โดยมุ่งเน้นไปที่การสร้างผลสะเทือนในระดับโครงสร้างส่วนบน ด้วยการเสนอหลักการสำคัญ คือ “กระจายอำนาจการปกครองตนเองของท้องถิ่น” อย่างเป็นรูปธรรม
3. ให้จัดตั้ง “เครือข่ายขบวนคนรุ่นใหม่ภาคอีสาน” (คคส.) ขึ้นมา โดยมีองค์คณะมารับผิดชอบ เพื่อรองรับการขยายงานกับคนทำงานเพื่อสังคมรุ่นต่อ ๆ ไป เพื่อหนุ่นเสริมภารกิจบางประการที่ กสส. ไม่สามารถทำได้
นอกจากนั้น กสส. ยังร่วมกันวิเคราะห์ว่า ในขณะที่กำลังของพวกเรามีน้อย การอาศัยเงื่อนไข “แก้ไขรัฐธรรมนูญ 2550” และสถานการณ์ของความขัดแย้งทางการเมืองในขณะนี้นั้น เป็น “เครื่องมือ” ในการทำงานขยายเพื่อนมิตร และจัดตั้งกลุ่มศึกษาในพื้นที่ให้มีประสิทธิภาพ
กล่าวให้ถึงที่สุดก็คือ ทิศทางของ กสส. ใน 5 ปีข้างหน้า มุ่งเน้นไปที่การสร้างและขยายผู้ปฏิบัติงาน ให้ขยายเพื่อนมิตร จัดตั้ง “กลุ่มศึกษา” ในพื้นที่ปฏิบัติงานของสมาชิกให้เข้มข้นขึ้น ให้มีการขยายงานทั้งในด้าน “ปริมาณ” และ “คุณภาพ” ด้วย
เพื่อให้บรรลุเป้าหมายตามทิศทางดังกล่าว จึงได้จัดปรับโครงสร้าง และกิจกรรมการสัมมนา หรือ จัดการศึกษา ให้จัดออกเป็น 2 ระดับ คือ
1. เวทีสัมมนากลาง ให้จัดกระบวนการศึกษาเข้มข้น เพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้ปีละ 3 ครั้ง
2. เวทีสัมมนาโซน ให้จัดกระบวนการศึกษา อย่างน้อยบปีละ 4 ครั้ง โดยกำหนดโซนจังหวัดและผู้รับผิดชอบ/ประสานงาน ดังนี้
โซนอีสานเหนือ : มี ดู่ (หนูเกิด ทองนะ) เป็นผู้ประสานงาน ประกอบด้วย ชัยภูมิ/ เลย/ หนองบัวลำภู/ อุดรธานี/ หนองคาย/ นครพนม
โซนอีสานกลาง : มี ทัก (สุพิทักษ์ วีระพล) เป็นผู้ประสานงาน ประกอบด้วย ขอนแก่น/ มหาสารคาม/ ร้อยเอ็ด/ กาฬสินธุ์/มุกดาหาร/สกลนคร
โซนอีสานใต้ : มี แป๊ป (นิรัติศัย ขันทอง) เป็นผู้ประสานงานประกอบด้วย นครราชสีมา/ บุรีรัมย์/ สุรินทร์/ ศรีสะเกษ/ อุบลราชธานี/ อำนาจเจริญ
ดังนั้น สิ่งที่พวกเราทำมาด้วยกันตลอดระยะเวลา 3 ปี.... จึงไม่ใช่ภาระกิจที่ยังไม่เสร็จสิ้น
แต่มันคือ ภาระกิจที่ยังไม่เริ่มต้น....ต่างหาก
สาม : จะหัวเราะก็ไม่ได้ จะร่ำไห้ก็ไม่ออก ! .....แด่ มรณกรรมของ“ซ้ายท่องจำ”
ตั้งแต่ปีใหม่ 2551 ถึงวันนี้ กว่า 6 เดือน....มีหลายสิ่งที่ทำให้พวกเราตื่นเต้น ตกใจ รวมถึงไม่เข้าใจว่า.....ดู ดู้ ดู ทำไมถึงทำกับฉันได้ !!!
เรื่องหนึ่ง : เป็นคนละเรื่องเดียวกัน ต่างกรรมต่างวาระ แต่เสือกสอดคล้อง เกี่ยวข้องสัมพันธ์กันอย่างน่าพิสวง
กล่าวคือ ข้อวิเคราะห์ และข้อเสนอของ “3 ขันฑี” แห่งกรุงสยาม
ขันฑี 1 ป่าวประกาศทาง นสพ.ผู้จัดการ และเครือข่าย ASTV. ว่าจะมีคณะบุคคลเป็นขบวนการจะทำการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้เป็นสาธารณรัฐภายใน 20 ปี เขาเรียกว่า ขบวน Republic of Thailand ซึ่งเป็นการสร้างกระแสหลอกล่วงพี่น้องประชาชนอีกครั้งหนึ่งของเขาเหมือน “ปฎิญญาฟิลแลนด์” เด๊ะเลย (โปรดดู บทความของ ชัยอนันต์ สมุทวณิช)
ขันฑี 2 ป่าวประกาศทางสื่อทุกชนิด ให้พี่น้องประชาชนรู้รักสามัคคี ปรองดองสมานฉันท์ เขาเสนอให้มี “รัฐบาลแห่งชาติ” ซึ่งก็คือ ข้อเสนอที่ไม่ยึดหลักการประชาธิปไตย ก่อนที่พวกเขาจะลากไปสู่การจัดตั้ง “รัฐบาลเทวดา มาตรา 7” ในอนาคต (โปรดดู ข้อเสนอของ ประเวศ วะสี)
ขันฑี 3 ป่าวประกาศไปทั่วเขตขันฑสีมาว่า ข้าพเจ้าคือเทพจุติมาเกิด ขอเป็นกาวใจ ให้มีการเจรจาสมานฉันต์ มีแต่บุคคลที่เป็นเทพจุติมาเกิดเท่านั้นจึงจะสามารถนำพาบ้านเมืองไปสู่สุขติได้ เขาช่างเพ้อเจ้อ และดูถูกประชาชนได้แบบผู้ดีจริง ๆ (ดูการเสนอตัวของ อานันท์ ปัญยารชุน)
นี่ยังดีนะ.....หาก “ขันฑีเฒ่า” ออกมามีข้อเสนอแบบพิสดารพันลึกอีกในระยะอันใกล้นี้ ก็ตัวใครตัวมันแล้วกัน.....ได้กลิ่นสีเขียวอมฟ้าทะแม่ง ๆ