นายแพทย์เหวง โตจิราการ หนึ่งในคณะกรรมการประชาชนเพื่อการแก้ไขรัฐธรรมนูญ 2550 (คปพร.) กล่าวบนเวทีสภาสนามหลวง เมื่อช่วงเย็น ในวาระปิดสภาฯว่า การเปิดสภาสนามหลวงตลอด กว่า 2 สัปดาห์ นับเป็นคุณูปการอย่างยิ่งต่อการต่อสู้กับเผด็จการ เพราะสภาสนามหลวง นอกจากจะมีส่วนช่วยทำให้กลุ่มคนที่โกรธแค้นกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ไม่ออกไปปะทะจนเกิดเป็นความรุนแรงขึ้นได้แล้ว ยังเป็นอาวุธค้ำคอพันธมิตรฯที่จะก่อความวุ่นวายด้วย แต่อย่างเพิ่งไว้ใจเพราะยังมีนายทหารบางคน มีเชื้อร้ายเผด็จการแฝงเร้นซ่อนอยู่ภายใน
นายแพทย์เหวง กล่าวต่อไปว่า กลุ่มพันธมิตรฯ ที่อยากจะขอเรียกว่า พันธมาร มากกว่า ครั้งแรกออกมาชุมนุมประท้วงเพื่อต่อต้านการแก้ไขรัฐธรรมนูญ และจะถอดถอนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) ที่ยื่นญัตติขอแก้ไข แต่แล้วก็เป็นการโกหกอย่างเห็นได้ชัด โดยกลับเรื่องกลายไปสู่เป็นความต้องการล้มล้างรัฐบาล และยังเบี่ยงเบนไปเพื่อเป็นล้มล้างระบอบทักษิณอีกด้วย ดังนั้น ที่บอกว่า เป็นอารยะขัดขืน จึงไม่ใช่ แต่เป็นอันธพาลขัดขืนมากกว่า ที่คนเพียง 5-6 คน กำลังเหยียบหัวคนถึง 63 ล้านคนทั่วประเทศ
“ผมอยากเสนอประชาชนไว้ 3 ข้อ เพื่อสกัดการก่อความวุ่นวายของพันธมาร คือ 1. ให้ทุกคนเมื่อกลับไปบ้านแล้ว ให้ช่วยบอกต่อทั้งญาติพี่น้องและคนรู้จักว่าอย่ามาร่วมชุมนุมกับพันธมาร เพราะจะทำให้ประเทศชาติเสียหาย บอกไปเรื่อยๆ 1 คนต่อ 100 คน อย่างนี้ก็เป็นแสนคน ล้านคน แล้ว 2. อย่าซื้อ อย่าสนับสนุน สื่อในเครือข่ายของผู้จัดการ ที่มีนายสนธิ ลิ้มทองกุล เป็นหัวหน้าใหญ่ เช่น เอเอสทีวี หนังสือพิมพ์ผู้จัดการและในเครือทั้งหมด และ 3. ฟากใครมาซื้อของ ซื้อสินค้า ให้ถามว่า จะซื้อไปสนับสนุนอันธพาลที่สะพานมัฆวานฯหรือไม่ หากใช่ก็อยากขายให้ นี่คือสันติวิธี”
นายแพทย์ เหวง กล่าว พร้อมกล่าวต่ออีกว่า เมื่อปิดสภาสนามหลวง ไม่อยากให้ท้อใจว่า จะไม่สู้กับเผด็จการแล้ว เพราะการปิดครั้งนี้ เป็นเพียงชั่วคราว และยังมีกิจกรรมที่ยังต้องดำเนินการต่ออีกแน่นอน เช่น การจัดสภาประชาชนครั้งที่ 2 หลังจากได้จัดไปแล้วครั้งที่ 1 ที่ห้องประชุมคุรุสภา ที่จะเกิดขึ้นในเร็วๆ นี้ ทั้งที่กรุงเทพฯ และในต่างจังหวัด
อย่างไรก็ตาม ใกล้ๆ นี้ ก็คือ วันที่ 24 มิ.ย. ที่เป็นวันครบรอบ 76 ปี ที่ประเศไทยได้เปลี่ยนแปลงการปกครองของประเทศจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชมาสู่ระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ซึ่งฝ่ายประชาธิปไตยที่ร่วมต่อสู้กับเผด็จการเมื่อ 19 กันยายน 2549 จะร่วมกันจัดอย่างยิ่งใหญ่ ซึ่งจะมีการร่วมตัวกันอีกครั้ง