“สมัคร” แจงชัดยังไม่มีอภิปรายทั่วไป เพราะเป้าหมายเปิดสภาสมัยวิสามัญ ต้องใช้เวลาเพื่อพิจารณากฎหมายสำคัญและงบประมาณ ปี 52 ระบุทำงานมาได้เพียงแค่ 4 เดือน แต่ดูจะกระเหี้ยนกระหือรือกันจนผิดปกติ ขณะที่ ร.ท.กุเทพ ระบุ ปชป.เล่นตี 2 หน้า หวังเชื่อมโยงกลุ่มพันธมิตรฯนอกสภาล้มรัฐบาล
ภายหลังที่พรรคประชาธิปัตย์ ได้มอบหมายให้ นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย ประธานประสานงานพรรคฝ่ายค้าน (วิปฝ่ายค้าน) ยื่นหนังสือต่อนายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ขอเปิดอภิปรายร่วม 2 สภา ตามมาตรา 179 ขณะที่สมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) จำนวน 61 คน ก็ได้เข้าชื่อยื่นขอเปิดอภิปรายทั่วไปรัฐบาล ตามมาตรา 161 ไปก่อนหน้านี้ ตามที่เป็นข่าวไปแล้วตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมา
ในวันนี้ (15 มิ.ย.) นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี ได้ชี้แจงถึงกรณีดังกล่าวทั้ง 2 เรื่อง ผ่านรายการ สนทนาประสาสมัคร ทางสถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทย เอ็นบีที ว่า ดูจะเป็นการกระเหี้ยนกระหือรือรีบร้อนเกินไป ที่จะขอเปิดอภิปรายทั่วไป เพราะรัฐบาลเพิ่งบริหารงานได้มาแค่เพียง 4 เดือนเท่านั้น ซึ่งรัฐบาลก็กำลังดำเนินการแก้ไขปัญหาตามการร้องขอในหลายประเด็นอยู่แล้ว
อย่างไรก็ตาม การเปิดประชุมสมัยวิสามัญครั้งนี้ มีจุดประสงค์เพื่อพิจารณากฎหมายภายใน 180 วัน และอภิปรายร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2552 ซึ่งเป็นเรื่องด่วน ไม่ได้เป็นการเปิดประชุมเพื่ออภิปรายไม่ไว้วางใจ
ทั้งนี้ จึงขอให้ประชาชนร่วมกันตัดสินใจดูว่า เหมาะสมหรือไม่ หากในวันที่ 23 มิถุนายน เปิดให้วุฒิสภาอภิปราย และต่อมาในวันที่ 25 มิถุนายน ยังเป็นการอภิปรายร่าง พ.ร.บ.งบประมาณ ซึ่งตนขอยืนยันว่า จะไม่มีการเปิดให้วุฒิสภาอภิปรายโดยไม่ลงมติอย่างแน่นอน
ส่วนกรณีที่ฝ่ายค้านเรียกร้องให้เปิดอภิปรายทั่วไปนั้น นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ปกติการเปิดประชุมสภาสมัยวิสามัญจะทำเพียง 3 วัน เพื่อพิจารณาเฉพาะร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี แต่วิปฯขอขยายเวลาเพิ่ม เพื่อพิจารณากฎหมายสำคัญอีก 3-4 ฉบับ ซึ่งตามรัฐธรรมนูญกำหนดให้แล้วเสร็จภายในเวลา 180 วัน รัฐบาลจึงเพิ่มเวลาให้การเปิดประชุมสมัยวิสามัญ เพื่อพิจารณาร่างกฎหมายงบประมาณ และร่างกฎหมายสำคัญเท่านั้น
นายกรัฐมนตรี ระบุด้วยว่า ในวันที่ 11-12 และ 18-19 มิถุนายนนี้ ที่ประชุมจะดำเนินการพิจารณากฎหมาย ส่วนวันที่ 25-26 มิถุนายน จะเป็นการพิจารณางบประมาณ ซึ่งอาจใช้เวลายืดเยื้อถึงวันที่ 27 มิถุนายน ซึ่งเป็นวันสุดท้ายของการเปิดสมัยประชุมสมัยวิสามัญครั้งนี้ จึงขอให้ลองตรองดูว่า ตนหนีการอภิปรายเพราะกลัวเกรง หรือเป็นการลุกไล่กันจนไม่ดูตาม้าตาเรือ
“หากอยู่กลางสมัยธรรมดาไม่มีปัญหาอย่างไรก็ต้องรับ ต้องย้ำไม่ได้กลัวเกรงการอภิปราย เพราะเพิ่งบริหารประเทศมาได้ 4 เดือน ยังไม่ทันทำอะไรผิด กระเหี้ยนกระหือรือ ทำไมรีบร้อนกันเหลือเกิน กำลังคิดแก้ไขปัญหา เสนอความคิดมา ต้องเห็นชอบตามความคิดก่อนไปดำเนินการ แต่นี่จะมาล่อกันเสียก่อน“ นายกรัฐมนตรี กล่าว
ขณะที่ ร.ท.กุเทพ ใสกระจ่าง โฆษกพรรคพลังประชาชน กล่าวถึงกรณีที่พรรคฝ่ายค้านไม่มีโอกาสเปิดอภิปรายทั่วไปในการประชุมสภาสมัยวิสามัญครั้งนี้ว่า แม้นายกรัฐมนตรีจะไม่เปิดอภิปรายในสมัยประชุมนี้ พรรคประชาธิปัตย์ และ ส.ว.ก็ยังสามารถรวบรวมชื่อขอเปิดประชุมสมัยวิสามัญทั่วไปได้ แต่ต้องรอถึงสิ้นปี 2552 เพราะในเดือนสิงหาคมที่จะเปิดประชุมครั้งต่อไป จะมีการพิจารณาเรื่องกฎหมายเพียงอย่างเดียว พร้อมกันนี้ยังได้ติพรรคฝ่ายค้านว่า เล่นบทตีสองหน้า
“พรรคประชาธิปัตย์เล่นบทตีสองหน้า ด้านหนึ่งก็พยายามขอใช้เวทีสภาเปิดอภิปรายรัฐบาล อีกด้านก็ส่งสมาชิกไปร่วมชุมนุมกับกลุ่มพันธมิตรฯ สองเวทีเดินคู่ขนานบีบรัดรัฐบาลให้จนแต้มกลางกระดาน ถ้ายอมให้เปิดอภิปรายแล้วกลุ่มพันธมิตรฯยุติชุมนุมก็เป็นเรื่องที่น่าพิจารณา แต่เปิดแล้วเขาไม่หยุด และ 2 เวทีทำงานประสานกันเราก็รับมือยาก“ ร.ท.กุเทพ กล่าว
ขณะเดียวกัน ที่ความเคลื่อนไหวของพรรคประชาธิปัตย์ นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ โฆษกพรรค ได้กล่าวตอบโต้ว่า รัฐบาลบอกว่าทำงานมา 4 เดือน ไม่มีปัญหา แต่กลับมีการขอยื่นเปิดอภิปราย จึงขอถามว่า วันนี้หนังสือพิมพ์ทุกฉบับ ทุกคอลัมน์ พาดหัวถึงวิกฤติของประเทศ หวั่นประเทศพัง มาเดือนหนึ่งแล้ว ฝ่ายค้าน หรือ ส.ว. จะขอเปิดอภิปราย ก็เพราะเห็นปัญหา ยกเว้นนายกฯคนเดียวเท่านั้นบอกว่า ไม่มีปัญหา
นอกจากนี้ ยังตอบโต้ที่นายกรัฐมนตรี กล่าวถามว่า ถ้าพรรคประชาธิปัตย์ เป็นรัฐบาลแล้วมีฝ่ายค้านขอให้เปิดอภิปราย 2 สภา พรรคจะทำหรือไม่นั้น นายองอาจ ระบุว่า “เราขอประกาศถ้าพรรคได้เป็นรัฐบาลแล้วบ้านเมืองมีปัญหามากก็ยินดีให้เปิด เราไม่ใจแคบฟังคนในคณะรัฐมนตรี (ครม.) เพียง 30 กว่าคน หรือคนที่ประจบสอพลอใกล้ชิด หรือ ส.ส.ฝ่ายรัฐบาลเพียงอย่างเดียว ดังนั้น ที่นายกฯ ออกมาชี้แจงโดยอ้างต่างๆ นานานั้น เป็นการบิดเบือนอย่างสิ้นเชิง ผมจะเสนอที่ประชุมแกนนำพรรค 14.00 น.วันนี้ ว่า คงต้องใช้การเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจ ซึ่งเป็นช่องทางที่เหลือทางเดียว เนื่องจากรัฐบาลปิดกั้น”