WeLoveOurKing
How to insert weloveking to you website

ทรงพระเจริญ

ขัตติยาอัด คอป แต่งนิทานโยนความผิดเสธ แดง 18 9 55

สถาบันกษัตริย์อยู่ได้ด้วยความจริง

ธงชัย วินิจจะกูล: Truth on Trial

สถาบันกษัตริย์ถึงเวลาต้องปรับตัว

ตุลาการผิดเลน !


ฟังกันให้ชัด! "นิติราษฎร์" ไขข้อข้องใจ ทุกคำถามกรณีลบล้างผลพวงรัฐประหาร





วิดีโอสอนการทำน้ำหมักป้าเช็ง SuperCheng TV ฉบับเต็ม 1.58 ชม.

VOICE NEWS

Fish




เพื่อไทย

เพื่อไทย
เพื่อ ประชาธิปไตย ขับไล่ เผด็จการ

Wednesday, June 18, 2008

ในเป้าหมายของม็อบพันธมิตร มียาพิษของ โพธิรักษ์ ซ่อนอยู่


การแสวงหาอำนาจรัฐ เพื่อปกครองแผ่นดิน และบริหารประเทศ ตามแนวทางของลัทธิอโศก คือ เป้าหมายสูงสุดของ โพธิรักษ์ สำนักอโศก และ จำลอง ศรีเมือง อย่างมิพักต้องสงสัยอีกต่อไป

การเอาชนะทางการเมือง เพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจรัฐ คือปลายทางของ โพธิรักษ์ และ จำลอง ที่กำหนดไว้นานแล้ว เพียงแต่ยังไม่มีโอกาสเดินทางไปถึง ด้วยวิถีทางปกติ และวิธีการที่เป็นที่ยอมรับในการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข

ตำแหน่งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร หรือ ผู้ว่าฯกทม. กทม.สองสมัย ของจำลอง ศรีเมือง ดูจะใกล้เคียงความจริงมากที่สุด และทำให้ โพธิรักษ์ กับ จำลอง ตลอดจน สาวกสำนักอโศก มีความหวังอย่างยิ่งที่จะได้ใช้แนวทางคำสอนของลัทธิอโศก เป็นแนวนโยบายบริหารประเทศ

เมื่อถึงนั้นลัทธิอโศก ก็จะมีสถานะไม่ด้อยกว่าพระพุทธศาสนา อีกทั้ง พ่อท่านโพธิรักษ์ ก็คงมีศักดิ์เสมอเท่าสมเด็จพระสังฆราช เป็นอย่างน้อย

ความหวังทั้งหมดมวลนี้ของชาวอโศก และโพธิรักษ์ พังทลายลงเหมือนกับปราสาททรายที่ถูกคลื่นซัดสาด เนื่องเพราะพรรคพลังธรรมที่มีจำลอง ศรีเมือง เป็นหัวหน้าพรรค พ่ายพิษน้ำลายในสงครามการเมืองเรื่องเลือกตั้งเมื่อปี 2535 ให้แก่พรรคประชาธิปัตย์

เมื่อศิษย์เอกอย่างจำลอง ศรีเมือง พลาดตำแหน่งนายกรัฐมนตรี มีข้อหา พาคนไปตาย ติดตัวมาจนถึงทุกวันนี้ พรรคพลังธรรม ถึงกาลล่มสลายลงในที่สุด เมื่อนักการเมืองที่มารับช่วงต่อจาก จำลอง ศรีเมือง และประชาชนที่เคยให้การสนับสนุน ได้รู้เห็นความจริงว่าพรรคพลังธรรม คือ ตัวแทนของสันติอโศก และ จำลอง ที่แท้ก็คือ ตัวตนของโพธิรักษ์ อีกภาคหนึ่ง

การถอนตัวออกจากพรรคพลังธรรมของ ทักษิณ ชินวัตร คือ จุดกำเนิดความบาดหมางแรกระหว่าง จำลอง กับ ทักษิณ เพราะหลังจากที่ทักษิณ หันหลังให้ อันเนื่องจากความขัดแย้งภายในพรรค จนยากจะประสานได้ พรรคการเมืองที่จำลอง และ โพธิรักษ์ หวังจะใช้เป็นบันไดไขว่คว้าหาอำนาจรัฐ ซึ่งเกือบจะสำเร็จอยู่แล้ว ก็ไปไม่รอดและจอดไม่ต้องแจวเหมือนเรือเกยตื้นยังไงยังงั้นเลย

แต่ใช่ว่าเมื่อพลาดหวังกับพรรคพลังธรรม จำลอง ศรีเมือง กับ โพธิรักษ์ จะหยุดตัวเอง จะละ ลด เลิก กิเลส ตัณหา ความอยากได้ อยากมีอำนาจรัฐ แต่อย่างใดไม่ ทั้งสองคนวางแผนที่จะกลับคืนสู่เกมอำนาจอีกคราครั้งหนึ่ง ด้วยการลงชิงตำแหน่งผู้ว่าฯกทม. ครั้งที่ 3 ของจำลอง ศรีเมือง ก่อนจะพ่ายแพ้อย่างหมดรูป เสียฟอร์มให้แก่ พิจิตต รัตตกุล

สาเหตุของความพ่ายแพ้ก็เนื่องมาจาก ประชาชนคนกรุงเทพฯ รู้ทันเสียแล้วว่าจำลอง ไม่ใช่ของจริง กลยุทธ์หาเสียงด้วยเข่งปลาทู ทำตัวให้ดูน่าสงสาร น่าเห็นใจ เป็นคนยากคนจน ไม่สามารถเรียกคะแนนสงสารจากคนกรุงเทพฯ ไม่ได้เป็นกอบเป็นกำเหมือนเคย

เลยไปจนถึงเรื่องการบริหารราชการงานที่กทม. ซึ่งมีข้อพิรุธสงสัยว่า จำลอง ศรีเมือง มีความสุจริต โปร่งใสจริงหรือไม่ เมื่อได้เห็นเรือหางยาวของบริษัทครอบครัวขนส่ง วิ่งรับ-ส่งประชาชน เก็บเงินค่าโดยสาร ราวกับเป็นเจ้าของคลองแสนแสบ ทั้งๆ ที่ไม่เคยได้รับสัมปทานเส้นทางการเดินเรือ และ ไม่ได้รับอนุญาตประกอบกิจการเดินเรือในคลองแสนแสบอย่างถูกต้องตามกฎหมาย นอกจาก ได้รับความเห็นชอบให้ทำโครงการทดลองให้บริการประชาชน เท่านั้น

แต่ทว่าเป็นการทดลองให้บริการที่ใช้ระยะเวลายาวนานนับสิบปี โดยที่ไม่มีการประเมินผล และไม่มีการเปิดโอกาสให้ผู้สนใจประกอบการรายอื่น เข้าเสนอประโยชน์ให้แก่กทม. ในลักษณะของการแข่งขัน แต่กลับปล่อยให้บริษัทครอบครัวขนส่งเก็บกินผลประโยชน์ไปหลายร้อยล้านบาท ใน ขณะที่กทม. ไม่ได้อะไรเลย อีกทั้งยังต้องตกเป็นหนี้บุญคุณบริษัท ที่อุตส่าห์จัดเรือมาให้บริการ ช่วยแก้ปัญหาการจราจรในกรุงเทพฯ ด้วยซ้ำ ในสายตาของจำลอง ศรีเมือง ทั้งในขณะที่อยู่ในตำแหน่งผู้ว่าฯ และ พ้นจากตำแหน่งไปแล้ว

หลังการพ่ายแพ้ในสนามเลือกตั้งผู้ว่าฯกทม. จำลอง ศรีเมือง ก็หลบลี้หนีหน้าหายไปจากสังคมการเมือง สืบสาวราวเรื่องในภายหลังได้ความว่าไปเปิดโรงเรียนผู้นำ และ โรงเลี้ยงหมาจรจัด สร้างภาพความสมถะ และเสียสละ ให้สังคมได้รู้เห็นอีกครั้งหนึ่ง

แต่การหนีออกจากสังคมเมืองไปหลบเลียแผลในป่าในดง ไปอยู่กับธรรมชาติ และหมาจรจัด ก็ไม่ได้ทำให้กิเลสตัณหา ความยากมีอำนาจในหัวใจของจำลอง ลดลงแต่อย่างใดไม่

เช่นเดียวกับ โพธิรักษ์ แม้จะไม่ประสบความสำเร็จกับการสร้างพรรคพลังธรรม และต้องถูกศาลฎีกาตัดสินลงโทษในทางอาณาจักร และถูกมหาเถรสมาคมลงโทษในทางศาสนจักร จนต้องกลับไปกล้ำกลืนความเจ็บปวดในสำนักอโศก ไม่เคยโผล่ ไม่เคยเยี่ยมหน้าออกมาปรากฏให้ผู้คนได้พบเห็นในสถานที่สาธารณะมากนัก

แม้จะหลบลี้หนีหน้าออกจากสังคมไป แต่ในใจของโพธิรักษ์ กลับไม่เคยหยุดคิดเรื่องการแสวงหาอำนาจรัฐ เพื่อสถาปนาลัทธิอโศก ขึ้นเป็นศาสนาเทียบเท่าพระพุทธศาสนา แนวทางคำสอนของอโศก ที่โพธิรักษ์บัญญัติขึ้นเพื่อสั่งสอนสาวกให้ลด ละ เลิก กิเลส กลับไม่สามารถเข้าถึงก้นบึ้งแห่งหัวใจของตนเองได้

ทั้ง โพธิรักษ์ และ จำลอง จับจ้องมองดู คอยฉกฉวยโอกาสหาจังหวะที่จะพาตัวเองและอโศกกลับคืนสู่เส้นทางการแสวงหาอำนาจรัฐ อยู่เสมอๆ ในทุกรูปแบบ ทั้งการก่อตั้งพรรคการ เมืองที่ชื่อ "พรรคเพื่อฟ้าดิน" ซึ่งเป็นพรรคการเมืองของสันติอโศก ที่ยึดถือคำสอนของโพธิรักษ์ เป็นนโยบายพรรค และมี จำลอง ศรีเมือง เป็นที่ปรึกษาพรรค พร้อมด้วย ไชยวัฒน์ สินสุวงศ์ หนึ่งในแกนนำพันธมิตร อาละวาด ด่ากราดทุกคนที่ไม่เข้าร่วมกับม็อบพันธมิตร อยู่ในเวลานี้ ก็เป็นที่ปรึกษาพรรคเพื่อฟ้าดิน ด้วย

โอกาสแรกของจำลอง กับ โพธิรักษ์ เกิดขึ้นเมื่อ รัฐบาลทักษิณ ออกนโยบายหวยบนดิน จำลอง กระโดดแผล็วขึ้นมาเป็นผู้นำต่อต้านทันที เป็นการปรากฏตัวของจำลอง ในฐานะฝ่ายตรงข้ามของรัฐบาลทักษิณ อย่างเปิดเผยและเป็นทางการเป็นครั้งแรกในการรับรู้ของประชาชน หลังจากที่ซุ่มเงียบรอจังหวะมานานหลายปี

กระทั่งเกิดกรณี บริษัทไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) จะเข้าจดทะเบียนซื้อขายหลักทรัพย์ ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ซึ่งนักลงทุน นักธุรกิจ เห็นเป็นโอกาสดีของประเทศไทย ที่จะมีบริษัทขนาดใหญ่เข้าจดทะเบียนทำการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ ที่กำลังซบเซา จะได้ฟื้นตัวและมีสีสันขึ้นมาอีกครั้ง

ในขณะที่ จำลอง ก็เห็นเป็นโอกาสดีของตนเช่นกัน ที่จะทำใช้กรณีนี้เป็นเวทีเปิดตัวเอง กลับคืนสู่เส้นทางการช่วงชิงอำนาจรัฐอีกครั้งหนึ่ง ด้วยการนำสาวกสันติอโศก ในนามกองทัพธรรม ออกมา ชุมนุมปิดถนนประท้วง ไม่ให้ตลาดหลักทรัพย์ฯ รับบริษัทไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) เข้าจดทะเบียน ด้วยข้ออ้างว่าเป็นธุรกิจผลิตและขายสุรา เป็นธุรกิจที่ไม่มีธรรมาภิบาล

การปิดถนนประท้วงต่อต้านตลาดหลักทรัพย์ฯ ในครั้งนั้น เป็นการปรากฏตัวของจำลอง โพธิรักษ์ และ สันติอโศก ในฐานะผู้ผดุงคุณธรรม และต่อต้านธุรกิจที่เป็นอันตรายต่อสังคม ได้รับคำชื่นชมไปไม่น้อย

แต่อีกด้านหนึ่งของการต่อต้านครั้งนี้ ส่งผลกระทบต่อภาวะเศรษฐกิจไทยอย่างใหญ่หลวง เมื่อ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ไม่ได้รับความเชื่อถือจากนักลงทุนทั้งในประเทศและต่างประเทศ ที่เห็นว่าการใช้ดุลพินิจอย่างเป็นอิสระในพิจารณารับบริษัทจดทะเบียน เกิดปัญหาขึ้นแล้ว เมื่อภาพข่าวการก่อม็อบของจำลอง และการปิดถนนกดดันของสาวกสันติอโศก มีผลให้บริษัทมหาชน บริษัทหนึ่ง ไม่สามารถจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้

ในขณะที่ตลาดหลักทรัพย์สิงคโปร์ เปิดรับบริษัทไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) เข้าจดทะเบียนซื้อขายหุ้นในตลาดหุ้นสิงคโปร์ ด้วยความยินดียิ่ง ส่งผลให้ตลาดหุ้นสิงคโปร์ มีบรรยากาศที่น่าน่าลงทุนกว่าตลาดหุ้นไทยหลายเท่าตัว และ ส่งผลให้เงินทุนในประเทศ ต้องออกไปอยู่ในต่าง ประเทศ อย่างที่ไม่ควรจะเป็น

การได้ชัยชนะของจำลอง ศรีเมือง และม็อบสันติอโศก เป็นต้นแบบของการก่อม็อบปิดถนน ประท้วงเพื่อกดดันรัฐบาล และหน่วยงานของรัฐในเวลาต่อมา กระทั่งกลายเป็นแฟชั่น เป็นค่านิยม สำหรับผู้ต่อต้านนโยบายรัฐ นโยบายสาธารณะ รวมไปถึงนโยบายองค์กรต่างๆ ทั้งภาครัฐ และภาคเอกชน ส่งผลให้สังคมตกอยู่ภายใต้การกดดันของม็อบรายวัน ในขณะที่กฎหมายบ้านเมืองไม่สามารถนำมาใช้บังคับใช้ เพราะเจ้าหน้าที่รัฐ อ่อนแอ เกรงจะเกิดปัญหามวลชน

หลังจากนำกองทัพธรรมที่ประกอบด้วยสาวกของสันติอโศก กดดันตลาดหลักทรัพย์ฯ ให้ทำตามความต้องการของตนและพวกพ้อง สำเร็จ จำลอง ก็เริ่มวิพากษ์วิจารณ์การเมือง นโยบายรัฐบาลทักษิณ บ่อยครั้งขึ้น ในที่สุดก็ประกาศตัวเข้าร่วมขบวนการม็อบพันธมิตรขับไล่ทักษิณ ชินวัตร อย่างเอาเป็นเอาตาย โดยมีโพธิรักษ์ นำสาวกสันติอโศก ที่อุตริสถาปนาตนเองเป็นกองทัพธรรม เข้าร่วมด้วย และเป็นกำลังสนับสนุนที่สำคัญ ที่ตรึงพื้นที่ชุมนุมไว้ และเป็นกำลังหนุนคอยเติมคนให้ดูว่ามีผู้ชุมนุมหนาแน่นอยู่ตลอดเวลา

การร่วมชุมนุมขับไล่รัฐบาล ทักษิณ ชินวัตร ของ โพธิรักษ์ กับ จำลอง ศรีเมือง ครั้งที่แล้ว ถูกมองว่าตกเป็นเครื่องมือของทหาร ที่นำการชุมนุมไปใช้เป็นเงื่อนไขก่อการรัฐประหาร เพื่อสนองความพึงพอใจของ เปรม ติณสูลานนท์ ที่เห็นว่า ทักษิณ ชินวัตร กำลังท้าทายอำนาจของตนเอง อย่างที่ไม่เคยมีใครกล้ากระทำมาก่อน

หลังการรัฐประหาร แม้ว่า จำลอง ศรีเมือง จะได้เป็นสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ แต่ ทั้งจำลอง โพธิรักษ์ และ สำนักอโศก ไม่ได้อะไรเลยจากการลงทุนลงแรงเข้าร่วมชุมนุม เนื่องเพราะรัฐบาลสุรยุทธ์ ไม่ตอบสนองข้อเรียกร้องของจำลอง และ โพธิรักษ์ รวมไปถึงแกนนำพันธมิตรทุกคนอย่างจริงจัง ซึ่งเป็นบทเรียนของบรรดาแกนนำม็อบพันธมิตร ที่จะไม่ยอมให้เกิดขึ้นอีก

เป็นที่น่าสังเกตว่าการชุมนุมขับไล่รัฐบาลสมัคร สุนทรเวช ของม็อบพันธมิตร ในครั้งนี้ จำลอง ศรีเมือง กลายเป็นบุคคลที่มีบทบาทมากที่สุดในการนำ ซึ่งแตกต่างจากครั้งแล้วที่ สนธิ ลิ้มทองกุล แสดงบทบาทผู้นำเดี่ยวชัดเจนตั้งแต่ต้นจนจบ ในขณะที่ผู้ชุมนุมส่วนใหญ่ก็เป็นสาวกของโพธิรักษ์ และ ผู้คนในชุมชนอโศกที่มาจากสำนักต่างๆ ทั้งปฐมอโศก และ ราชธานีอโศก ซึ่งต้องมาร่วมด้วยเงื่อนไขหากไม่เข้าร่วม ก็จะถูกขับออกจากชุมชนอโศก

จำลอง กับ โพธิรักษ์ คิดอะไรอยู่ มองอะไรเป็นเป้าหมาย หลังการต่อสู้ เคลื่อนไหว ขับไล่รัฐบาลสมัคร สุนทรเวช ในครั้งนี้ อ่านกันไม่ยาก และยิ่งง่ายขึ้นมาก เมื่อได้เข้าไปดูเวปไซต์ของสันติอโศก ก็จะพบว่าสันติอโศก ที่เป้าหมายทางการเมืองอย่างชัดแจ้ง และมีความเกี่ยวข้องในลักษณะเป็นเจ้าของพรรคการเมืองที่ชื่อ พรรคเพื่อฟ้าดิน อย่างเปิดเผย

เพียงแต่ว่า การแสวงหาอำนาจรัฐ โดยกลไกทางการเมืองตามวิถีทางระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ที่มีพรรคเพื่อฟ้าดินเป็นสะพานไปสู่การมีอำนาจรัฐ ไม่มีแนวโน้มทีท่าว่าจะประสบผลสำเร็จ ไม่เคยประสบผลสำเร็จ จำลอง กับ โพธิรักษ์ จึงจับมือกันยึดสะพานมัฆวานรังสรรค์ เป็นสะพานไปสู่การแสวงหาอำนาจรัฐ โดยไม่คำนึงถึงวิธีการ และวิถีทาง กระทั่งแนวร่วมที่มาอยู่ในขบวนการปล้นอำนาจ เดียวกันว่าเป็นใคร มาจากไหน มีอุดมการณ์บุญนิยม เช่นเดียวกับตนหรือไม่

อาทิ จำลอง ศรีเมือง ประกาศไม่นอนกับเมีย เพื่อรักษาศีลให้แก่ตัวเอง แต่ สนธิ ลิ้มทองกุล นอกับผู้หญิงไม่เลือกหน้า นอนกับเมียคนอื่นหลายคน ยกเว้นเมียตัวเอง

อาทิ จำลอง ศรีเมือง นับถือ โพธิรักษ์ ที่ถูกมหาเถรสมาคมขับออกบวรพระพุทธศาสนา และไม่นับเป็นสงฆ์ เป็นศาสดา แต่สนธิ ลิ้มทองกุล ประกาศว่าต่อสู้เพื่อรักษาพระพุทธศาสนา และปกป้องพระเกียรติยศสมเด็จพระสังฆราช ซึ่งเป็นประธานมหาเถรสมาคม

แล้วอะไรล่ะ ที่ทำให้จำลอง ศรีเมือง กับ สนธิ ลิ้มทองกุล ซึ่งเป็นมนุษย์คนละสายพันธุ์ หันมาจับมือทำงานร่วมกันได้

คำตอบก็คือ อำนาจ และ สถานะผู้มีอิทธิพลเหนือการเมือง เหนือกฎหมาย ไม่ต้องอยู่ใต้กฎหมาย มีสิทธิพิเศษบนผืนแผ่นดินไทยทุกพื้นที่ ทุกตารางนิ้ว ชนิดที่คนธรรมดาสามัญอื่นๆ มีไม่ได้ นั่นเอง

ในขณะที่ จำลอง ศรีเมือง บอกว่าตนลด ละ เลิก กิเลสตัณหา ไม่แสวงหาลาภ ยศ สรรเสริญ ตามคำสอนของโพธิรักษ์ เจ้าสำนักอโศก

ในขณะที่ สนธิ ลิ้มทองกุล ประกาศว่าเป็นผู้ฝักใฝ่ในธรรมะของพระพุทธองค์ ซึ่งสอนว่าเวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร

แต่ ทั้งสองคน กลับจับมือกันสร้างความปั่นป่วน วุ่นวาย ให้แก่บ้านเมือง และฉุดดึงประชาชน ประเทศชาติ ให้ตกต่ำลงอย่างเมามัน ไม่ครั่นคร้ามต่อกฎหมายใดๆ ทั้งสิ้น

กระทั่ง พระเจ้าแผ่นดิน ทรงมีพระราชดำรัสเตือนว่า ประเทศเคยพังมาแล้วและจะพังอีก แต่ทั้งสองคน ซึ่งคนหนึ่งเคยได้รับพระมหากรุณาธิคุณ เข้าเฝ้ารับฟังพระราชกระแสเรื่องความสามัคคีของคนในชาติ ความเสียหายของประเทศชาติ เมื่อประชาชนถูกปลุกระดมให้ออกมาเผชิญหน้ากัน และอีกคนหนึ่งเคยถูกศาลสั่งลงโทษจำคุก ที่แอบอ้างว่าแนบชิดและนำสถาบันพระมหากษัตริย์ ไปเป็นเครื่องมือทางการเมือง เพื่อประโยชน์ของตนเอง

พิจารณาจากลำดับความเคลื่อนไหวปลุกระดมประชาชน ให้ออกมาเผชิญหน้า แบ่งประเทศเป็นสองฝ่าย แยกประชาชนเป็นสองเสี่ยง นับแต่การก่อม็อบไล่ทักษิณ ชินวัตร เมื่อครั้งที่แล้ว จนมาถึงปิดถนนราชดำเนิน เมินพระราชกระแสรับสั่งพระเจ้าอยู่หัว มัวเมาอยู่ในคำสอนของโพธิรักษ์ ที่ยกพลพรรคสาวกแอบอ้างเรียกขานตัวเองเป็นกองทัพธรรม ออกมาเคลื่อนไหวทางการเมืองมายาวนานนับเนื่องกันเกือบ 3 ปี จนถึงขณะนี้ หากจะตัดประเด็นโพธิรักษ์ กับ สำนักอโศก และเป้าหมายทางการเมือง ออกจากเรื่องนี้ไปแล้ว ก็อาจจะเป็นการประเมินสถานการณ์ที่ผิดพลาด และหากเป็นเช่นนั้น ก็มีโอกาสที่ประเทศไทย จะตกอยู่ใต้สงครามศาสนา เช่นเดียวกับ มุสลิม นิกาย ชีอะห์ กับ สุหนี่ ที่เข่นฆ่าล้างเผ่าพันธุ์กัน ก็เป็นไปได้

เหตุการณ์ของประเทศไทยจะดำเนินไปทางใด บ้านเมืองจะเคลื่อนไปทิศทางไหน ก็อยู่ที่คนไทยทั้งหลาย พุทธบริษัททั้งปวง ว่าจะยอมตนตกเป็นเครื่องมือ เดินตามจำลอง กับ โพธิรักษ์ และสนธิ รื้อบ้านรื้อเมือง และสถานปนาลัทธิอุบาทว์ชาติชั่ว ขึ้นมาทัดเทียมพระพุทธศาสนา หรือไม่

อย่าว่าแต่เดินตามไปสมทบกับม็อบพันธมิตรเลย แม้แต่นิ่งดูดาย คิดว่าธุระไม่ใช่ ก็มิอาจจะกระทำได้ หากว่า ท่านยังต้องการปกป้องรักษาพระพุทธศาสนา ให้คงอยู่คู่กับเมืองไทยตลอดไป

พึงระลึกให้ดีว่า...

ครั้งที่แล้ว หลายท่านตกเป็นเครื่องมือของม็อบพันธมิตร นำทหารออกมาก่อการรัฐประหาร กว่าจะทันรู้ตัวว่าถูกหลอก ประเทศชาติก็เสียหายย่อยยับไปแล้ว

ครั้งนี้ ท่านอาจจะตกเป็นเครื่องมือของจำลอง กับ โพธิรักษ์ ทำลายพระพุทธศาสนา โดยไม่ทันรู้ตัวอีกครั้งหนึ่ง

โปรดพิจารณาให้ดี ในเป้าหมายของม็อบพันธมิตร มียาพิษของโพธิรักษ์ ซ่อนอยู่

ฟ้าฟื้น
จาก thai-grassroots