คอลัมน์ : รายงานพิเศษ
เพราะ เป็น “คณะกรรมการการเลือกตั้ง” (กกต.) ที่ทำหน้าที่ดูแลการเลือกตั้ง รับรองผลการเลือกตั้ง มีอำนาจให้คุณให้โทษนักการเมืองผู้ลงสมัครรับเลือกตั้ง
จึงไม่อาจพ้นจากการจับตามอง รวมถึงความคาดหวังในทุกประการได้
ฝ่ายที่เชื่อเรื่องความเป็นกลาง ก็คาดหวังความเป็น “กลาง”
ฝ่ายที่ไม่เชื่อเรื่องความเป็นกลาง ก็คาดหวังว่า กกต. จะ “เอียงข้าง” ไปยังฝ่ายที่ตัวเองสนับสนุนให้มากที่สุด
ที่แย่กว่าคือ บางคนก็เข้าใจไปว่า การเป็น “คุณ” กับข้างที่ตัวเองสนับสนุน นั่นแหละคือ “เป็นกลาง” แล้ว
ทั้งที่ในความเป็นจริง เมื่อผลการปฏิบัติงานของ กกต. เป็นคุณกับฝ่ายหนึ่ง ก็จะกลายเป็นโทษกับอีกฝ่ายหนึ่ง เช่นเดียวกับถ้าให้โทษอีกฝ่ายหนึ่ง ประโยชน์ก็ตกกับอีกฝ่ายหนึ่งอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้
การเป็นกลางในความหมายที่ว่า ให้คุณกับทุกฝ่าย จึงยากจะเกิดขึ้น
ด้วยเหตุนี้จึงเกิดกระแสที่ว่า กกต. ไม่เป็นกลาง
เกิดการจับขั้วเลือกข้างให้ กกต. อย่างเสร็จสรรพ
จึงทำให้ขณะนี้ กกต. กำลังกลายเป็น “เหยื่อการเมือง” เหมือนที่ชุดก่อนหน้านี้โดน และยังไม่พ้นวิบากกรรมจนทุกวันนี้
“ข้าง” ที่คณะกรรมการการเลือกตั้งชุดใหญ่ 5 คน ถูกผลักให้ไปอยู่
ข้างหนึ่งคือ ทำให้เป็นพวกเดียวกับกลุ่มของ พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย และ พรรคประชาธิปัตย์
ข้างหนึ่งคือ ทำให้เป็นพวกเดียวกับ รัฐบาล พรรคพลังประชาชน รวมถึง อดีตพรรคไทยรักไทย
ข้างพันธมิตรฯ และพรรคประชาธิปัตย์ มีชื่อของ นายอภิชาต สุขัคคานนท์ นายประพันธ์ นัยโกวิท และ นายสุเมธ อุปนิสากร
ข้างรัฐบาลและพรรคพลังประชาชน มีชื่อของ นายสมชัย จึงประเสริฐ และ นางสดศรี สัตยธรรม
กกต. ฝ่ายแรก ถูกด่าทอจากฝ่ายต่อต้านพันธมิตรฯ ว่าเข้าข้างพันธมิตรฯ และพรรคประชาธิปัตย์ มีการวิพากษ์วิจารณ์การทำงานให้ใบเหลืองใบแดงที่ไม่เสมอภาคอย่างออกนอกหน้า บางกลุ่มก็นำหุ่นจำลองมาเผาประณาม
ขณะที่ กกต. ฝ่ายหลัง โดยเฉพาะนางสดศรี ก็เพิ่งถูกกลุ่มพันธมิตรฯ กล่าวหาว่าเดินทางไปเมืองจีน เพื่อพบและรับสินบนเป็นสร้อยเพชรจากอดีตรักษาการหัวหน้าพรรคไทยรักไทย นายจาตุรนต์ ฉายแสง จนนางสดศรีต้องปกป้องตัวเองด้วยการจะฟ้องร้องหมิ่นประมาท พร้อมแสดงหลักฐานเป็นพาสปอร์ตที่ไม่เป็นไปตามข้อกล่าวหาของกลุ่มพันธมิตรฯ
ความจริงในใจ กกต. ทั้ง 5 ท่านเอนเอียงไปข้างไหนหรือไม่ ไม่มีใครหยั่งรู้ และอาจไม่จำเป็นต้องรู้ ตราบใดที่การทำงานภายใต้บทบาทหน้าที่ความเป็น กกต. ยังตรงไปตรงมา ตรวจสอบได้
แต่การออกมาวิพากษ์วิจารณ์หนักหน่วงจากกลุ่มการเมืองที่แบ่งตัวเองออกเป็น 2 ฝ่ายอย่างชัดเจนในวันนี้ ก็ทั้งผลักทั้งดึงให้ภาพลักษณ์ของ กกต. ทั้งชุด ถูกตราภาพว่าเป็นคนของกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งไปด้วย
ซึ่งเป็นสิ่งที่อันตรายที่สุด เสียหายที่สุด
ไม่เพียงทำให้ กกต. กดดันจนต้องทำงานลำบาก
แต่จะทำให้องค์กรนี้เกิดวิกฤติศรัทธา ไม่ได้รับความเชื่อถือจากประชาชนอีกครั้ง เหมือนที่เคยเกิดขึ้น
ทั้งที่นี่คือ “องค์กรกลาง” ที่ประชาชนฝากความหวังในวันที่สังคมมีแต่การแบ่งแยกฝักฝ่าย
วิกฤตการณ์เช่นนี้ กับคนที่เลือกข้างยืน อาจสะใจที่ทำได้สำเร็จ
แต่กับคนที่ยังเชื่อเรื่องความเป็นกลาง ก็ยิ่งต้องกลุ้มใจ
เพราะไม่รู้ว่า ต่อไปจะยังมีองค์กรกลางกลุ่มใดที่ต้องโดนพิษการเมืองเล่นงานกันอีก