** ทำไมต้องบัญญัติเรื่องพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติ เหตุผลคือประเทศไทยเรานับถือศาสนาพุทธกันมาเป็นระยะเวลายาวนาน แทบจะเป็นหนึ่งเดียวกัน แยกไม่ได้ แต่เดิมนั้นเราปกครองในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ เจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดินดูแล อุปถัมภ์บำรุงพระพุทธศาสนา เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงการปกครองจากพระเจ้าแผ่นดิน มาเป็นปัจจุบัน เมื่อส่งมาถึงนักการเมือง นักการเมืองมีหลากหลายศาสนา แต่ว่าโดยส่วนมากเป็นชาวพุทธ 95% โดยจิตสำนึก เขากลับไม่เคยคิดถึงการอุปถัมภ์บำรุงในการดูแลอย่างแท้จริง จาก 2475 เป็นต้นมานักการเมืองไม่เคยใส่ใจเรื่องพระพุทธศาสนาเลย ที่อุปถัมภ์สักแต่ว่าทำตามประเพณีเท่านั้น ไม่มีกฎหมายรองรับ ซึ่งต่อนี้ไปทุกอย่างต้องมีกฎหมายรองรับ เราวิตกตรงนี้ จึงเคลื่อนไหว เพราะกฎหมายศาสนาอื่นๆ นั้น ได้รับการคุ้มครองอุปถัมภ์เพราะมีกฎหมายรองรับ จุดสำคัญคือ เป็นสถาบันหลัก วัฒนธรรมประเพณีเกิดจากศาสนาพุทธ และไม่เบียดเบียนใคร และเมื่อใส่ไปแล้วไม่ได้บังคับให้ศาสนาอื่นมารักษาศีล 5 อย่างที่ นายเจิมศักดิ์ ปิ่นทอง หรือ นายนรนิติ เศรษฐบุตร ที่ออกมาบอกว่า ใส่ไปแล้วจะทำให้เกิดการแตกแยก จะทำให้เกิดความน้อยใจ จะทำให้มีการบังคับให้รักษาศีล มันเป็นคำพูดที่โคมลอย คือ ถ้าใส่ไปแล้วชาวพุทธไปเบียดเบียนไล่ฆ่าพี่น้องมุสลิม ไล่ฆ่าพี่น้องชาวคริสต์ เราก็จะช่วยกันรณรงค์ไม่ให้บัญญัติเหมือนกัน แต่นี่เป็นร้อยๆ ปี เราร่วมกันโดยตลอด และประเทศไทยไม่เคยไปเขียนกฎหมายในการที่จะกีดกันศาสนิกอื่นที่เข้ามาในประเทศไทย ประเทศใกล้เคียงเขายังมีกีดกัน เช่น ประเทศพม่า ออง ซาน ซูจี ที่มีสามีเป็นชาวคริสต์ รัฐบาลทหารพม่าไม่ต้องการให้คนที่นับถือศาสนาอื่นเป็นใหญ่เป็นโตในประเทศพม่า เขาเลยจำกัดพื้นที่ ท่านรู้ไหมลึกๆ นี่คือประเด็น สามีเป็นคริสต์ ในรัฐธรรมนูญพม่าเขาเขียนกีดกันเลยว่า ถ้านับถือศาสนาอิสลามในประเทศพม่า ถ้าเป็นนักการเมืองห้ามสูงกว่ารัฐมนตรีช่วยว่าการ เพราะถ้าสูงกว่านั้นจะทำให้มีผลกระทบต่อศาสนาพุทธในพม่า เปลี่ยนแปลงนโยบายได้เปลี่ยนอะไรได้ และถ้าเป็นนายทหาร จะต้องไม่ให้มียศเกินกว่า พันเอกพิเศษ นี่รัฐธรรมนูญของพม่าเป็นอย่างนี้ แต่ของเราในประเทศไทยไม่ได้จำกัด อย่างแม่ทัพภาค 4 เป็นมาแล้ว ผบ.ทบ. อย่าง พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน เป็นมาแล้ว รองนายกรัฐมนตรี นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา เป็นมาแล้ว ยังเหลือนายกรัฐมนตรี ตำแหน่งที่สูงสุดในประเทศไทย ทุกตำแหน่งเป็นมาหมดแล้ว เราไม่ได้ไปกีดกัน อย่างที่หลายๆ ฝ่ายมักจะอ้าง นั่น...เป็นการสร้างภาพให้น่ากลัว เกินความจริงไป อย่างที่ผ่านมา สสร. ประชาพิจารณ์ที่เกิดขึ้น นายเจิมศักดิ์ ปิ่นทอง หรือแม้แต่ น.ต.ประสงค์ สุ่นศิริ ประธานคณะกรรมการยกร่างรัฐธรรมนูญ กีดกันตลอด ที่พูดแบบนี้ไม่ใช่ว่ามาร่วมกับกลุ่ม นปก. (แนวร่วมประชาธิปไตยขับไล่เผด็จการ) หรือ คปพร. (คณะกรรมการประชาชนเพื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญ 2550) แต่เรื่องแบบนี้มีอคติ การกีดกันเกิดขึ้น มันต่อเนื่องกันมา และเรายืนยันตั้งแต่ต้นก่อนที่จะมีการร่างประชามติว่า ถ้าไม่มีคำว่าศาสนาพุทธเป็นศาสนาประจำชาติ เราจะไม่รับ บอกตั้งแต่ต้น ที่นายเจิมศักดิ์ ปิ่นทอง นายธงทอง จันทรางศุ พร้อมคณะ ไปประชาพิจารณ์ ถ้าไม่มีคำว่าพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติ เราจะไม่รับร่างรัฐธรรมนูญ ตั้งแต่เมื่อครั้งก่อน และบอกกล่าวกับพระสงฆ์ทั้งหมดให้รับทราบ ส่วนท่านจะมีลูกศิษย์ลูกหาจะไปขยายฐานกันอย่างไร อันนั้นเราไม่ทราบ แต่บอกกันไว้ตั้งแต่ต้นที่ไปทำประชามติ มาถึงตอนนี้ จากเมื่อครั้งก่อน ในเรื่องหลักการและเหตุผล เพราะดูในเรื่องศาสนาประจำชาติในหลายๆ ประเทศของอิสลาม เกือบ 50-60% จะเขียนบัญญัติเอาไว้ว่า ให้ศาสนาอิสลามเป็นศาสนาประจำชาติ เกือบ 60% บัญญัติเอาไว้ว่า ให้ศาสนาคริสต์เป็นศาสนาประจำชาติ มีแต่ของพุทธนี่แหละ ในประเทศกัมพูชา ศรีลังกา มีการเขียนบัญญัติเอาไว้ว่า ให้ศาสนาพุทธเป็นศาสนาประจำชาติ ถ้าเห็นว่าศาสนาพุทธเป็นศาสนาที่เบียดเบียน แก่งแย่งชิงดีชิงเด่นกัน เรายินดีจะร่วมรณรงค์คัดค้านไม่ให้บัญญัติ แต่ที่ผ่านมามันไม่เคยมี ถ้าใส่ไปแล้วใครจะเสียผลประโยชน์ ถามตรงๆ เพราะกฎหมายตรงนี้ไม่เคยมี เพราะอยู่ร่วมกันด้วยดีมาโดยตลอด ถามตรงๆ ว่า ต่อไปนี้ไม่มี จำนวนของชาวพุทธน้อยลง ถ้าเกิดว่ามุสลิมมีจำนวนมากขึ้นและขอเป็นศาสนาประจำชาติ ถามว่า คริสต์ในประเทศไทยอยู่ได้ไหม มันก็อยู่ไม่ได้ แล้วพุทธอยู่ได้ไหม อันนี้พูดกันตามตรงว่าในประเทศอินโดนีเซียนี่แหละ เขากำลังทะเลาะกันระหว่างคริสต์กับอิสลาม แต่ว่าของพุทธไม่เคยมี และไม่เคยกีดกัน เรื่องงบประมาณซึ่งเป็นของชาวพุทธเกือบ 100% อิสลามอยากจะไปทำเรื่องธนาคารอิสลาม เราก็ให้ มีการเอาเงินไปแสวงบุญที่เมกกะ เราให้ กฎหมายซากาต เราให้ทุกอย่าง อย่างกรณี 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ครูสอนปอเนาะ โรงเรียนตาดีกา 2,800 คน เขาบรรจุในช่วง นายอารีย์ วงศ์อารยะ เขาบรรจุในช่วง คมช. ที่แล้ว เป็นข้าราชการประจำ เราก็ไม่เคยไปกีดกัน เราไม่เคยไปว่า ของพยาบาลอิสลาม 3,000 คนเรียนฟรี ส่วนของพุทธสิ่งเหล่านี้ไม่เคยได้ แม้แต่ทางคริสต์เองที่ตามมาในช่วงหลัง เขามีทุนใหญ่คือวาติกัน ลัทธิศาสนาในประเทศไทยเราไม่เคยไปทำอะไร แต่ที่ผ่านมานักการเมืองที่อาศัยเงินของศาสนาเหล่านี้ไปเรียนปริญญาเอกบ้างอะไรบ้าง พอกลับมาเป็นนักการเมืองแล้วคัดค้านชนิดหัวชนฝา อย่าง นายนิธิ เอียวศรีวงศ์ นายนิวัติ กองเพียร ที่เขียนด่าในหนังสือพิมพ์ ทั้งๆ คนเหล่านี้เบื้องลึกแล้วนับถือศาสนาอะไร และเวลาจะเอาจากพระศาสนา ทุกคนเอาผลประโยชน์จากศาสนา อย่างกฎหมายศาสนาอื่น ของอิสลาม 4-5 ฉบับ ได้ประโยชน์ แต่ของศาสนาพุทธมี พ.ร.บ.สงฆ์ อย่างเดียวที่เกิดขึ้น รศ.121 พ.ศ.2584 พ.ศ.2505 ของเก่าๆ ทั้งนั้นเลย คิดจะปรับปรุงก็ไม่ได้ กฎหมายเก่านี่จะมาปรับปรุงปัดฝุ่นให้ทันสมัยกับสถานการณ์ก็มัวแต่เถียงกันอยู่ จนไม่ได้อะไรเลย เพราะฉะนั้นกฎหมายนี่ถ้าเขียนแล้วไม่เดือดร้อน และเป็นศักดิ์ศรี เรื่องผลประโยชน์ เรื่องงบประมาณ เขาจะจัดงบประมาณเขาจัดกันโดยกฎหมาย หรือแม้แต่เกิดยันตายเขาคุยกันด้วยกฎหมาย เกิดเขาจะมีสูติบัตร อย่างบัตรประจำตัวประชาชนก็มาจากกฎหมาย สมาร์ทการ์ดที่เกิดจะเกิดจากกฎหมาย มาจนถึงสมรส ใบทะเบียนสมรสเกิดจากกฎหมาย ไปเป็นเจ้าของบ้าน เจ้าของมรดก เจ้าของรถ จะขับรถต้องมีใบขับขี่ เกี่ยวกับกฎหมายไปจนตาย หรือใบมรณบัตร เป็นกฎหมายทั้งหมด วิถีชีวิตคนเราคุยด้วยกฎหมายทั้งหมด พระสงฆ์ที่บอกว่าใช้พระธรรมวินัย แต่พระพุทธศาสนาเป็นเรื่องที่อยู่กับบ้านเมือง อยากจะบอกว่าใช้พระธรรมวินัยอย่างเดียว มันคุ้มพระพุทธศาสนาไม่อยู่ ลำพังเฉพาะพระสงฆ์ หากทุกคนรู้พระธรรมวินัย เป็นพระอรหันต์หมด ทุกคนบรรลุธรรมหมด อย่างนั้นใช้พระธรรมวินัยอย่างเดียวได้ แต่ว่ากิเลสมันตั้งแต่ต่ำไปจนถึงละเอียด เป็นอนุสัยกิเลส มันอยู่ในใจของมนุษย์ ที่ยังเป็นโลกิยะ เพราะฉะนั้นที่บอกว่า กฎหมายมันต่ำ พระพุทธศาสนามันสูง อันนั้นมันเป็นข้ออ้าง เพราะว่านี่คือกฎหมายสูงสุดของประเทศ เราอยากให้พระพุทธศาสนาซึ่งเป็นของสูงได้รับการดูแลโดยกฎหมาย ใส่ไว้แล้วกฎหมายจะดูแล เราไม่ต้องไปนั่งประท้วง นั่งก่อม็อบกันเป็นร้อยๆ ครั้ง ถ้ากฎหมายมี กฎหมายจะดูแล กฎหมายจะช่วยจัดงบประมาณ บังคับโดยกฎหมายว่ารัฐต้องจัดงบประมาณและคุ้มครอง ทีนี้โดยกฎหมายไม่จำเป็นต้องไปประท้วงทุกครั้ง อย่าง ภิกษุสันดานกา ก็ด่าพระเหยงๆๆ จะเอาอะไรไปจับ เราไปบอก เขาก็ด่าพระ เพราะกฎหมายมันไม่มี เพราะฉะนั้นงบประมาณการคุ้มครอง การดูแล คุยด้วยกฎหมาย ถ้าบอกว่าพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำใจ ไอ้นั่น...มันคุยกันแบบอรหันต์ คุยกันแบบผู้ปฏิบัติ ไม่ยอมรับความหลากหลาย และความเป็นจริง ถ้ามันดีกันทั้งหมดอย่างนั้น จะต้องมีรัฐธรรมนูญทำไมเล่า ** คนยังไม่เห็นว่าบัญญัติพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติแล้ว คนจะได้อะไรเป็นรูปธรรมชัดเจน เหมือนกับการจดทะเบียนสมรส หมายความว่า ทรัพย์สินสมรสจะแบ่งกันได้ต้องมีกฎหมาย หมายความว่าจะจัดงบประมาณให้ต้องมีกฎหมาย ไปมอบงบประมาณให้มันผิดกฎหมาย และถ้าหากศาสนาอื่นนอกเหนือจากศาสนาพุทธมาจดเหมือนพุทธ มันจะมีปัญหา เพราะจะเกิดการแก่งแย่ง เกิดการเบียดเบียน ทะเลาะกันว่าด้วยเรื่องศาสนา แล้วมันจะเอื้อในการเผยแผ่พระพุทธศาสนา วิทยุพระไม่เคยมี ต้องไปเช่ากันเองวันละชั่วโมงหนึ่ง เตรียมธรรมะด้วย เตรียมวัตถุดิบด้วย เดือนหนึ่ง 3 หมื่นบาท งบประมาณตรงนี้เอามาจากไหน มันไม่มี พระก็ต้องไปบังสุกุลมาเป็นค่าสถานี อุปกรณ์ที่เป็นการสอนต่างๆ จัดให้เป็นรูปธรรม เรื่องศึกษาเผยแผ่พระพุทธศาสนา เรื่องของสงฆ์ เดิมทีมันไม่ครอบคลุม ที่มีของสงฆ์นี่เป็นคณะสงฆ์ เราจะเขียนไปให้ครอบคลุม ให้มีกฎหมายแม่บทก่อน แล้วค่อยมาเป็นกฎหมายลูก มีกฎหมายแม่บทก่อนแล้วค่อยไปขยายเป็นกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญ เช่น พ.ร.บ.กฎหมายอุปถัมภ์และคุ้มครองพระพุทธศาสนา เช่น กรณีของการเผยแผ่พระพุทธศาสนา ที่จะใช้ต้นทุนทางวิทยุ หรือเว็บไซต์นี่แหละ กฎหมายลูกมันต้องตามมาดูแลว่าการใช้เป็นประโยชน์บวกลบอย่างไร พระถ้าเทศน์ผิดเอากฎหมายนี่แหละ อย่าง กรณีสันติอโศกที่เทศน์ผิด ที่เคยเทศน์เดิม นี่นะ "ตันหา" ตัน คือ ไปไม่ได้ จำเป็นต้องหา หรือกรณี บรรลุธรรมของโพธิรักษ์ ที่เป็นปัญหากันนี่นะ ถ้าอย่างนี้ กฎหมายที่มาใหม่นี้สามารถจับได้เลย เพราะฉะนั้นที่ออกมาคัดค้านเขาคงกลัวกฎหมายหลายๆ ฉบับที่เขากำลังจะเขียนขึ้น เช่น เทศน์ผิดพระไตรปิฎก หรือแต่งตัวเลียนแบบ พระหมุนลูกบวบไปทางด้านซ้าย ฉันเลียนแบบสงฆ์ ฉันหัวหมอเปลี่ยนเป็นด้านขวา และ สรรพนามที่ใช้ บิณฑบาต ถ้ากฎหมายออกมาจับได้เลย เพราะฉะนั้นที่เขากลัวนี่ หรือพยายามออกมาร่วมกับพันธมิตรฯ ลึกๆ อันแรกเลยคือ รัฐธรรมนูญ ถ้ามีแล้วอยู่ลำบาก เพราะจะมีกฎหมายออกมาอุปถัมภ์หรือคุ้มครอง ** หมายความว่า กรณีสันติอโศกที่มาชุมนุมในพันธมิตรฯ และเขากลัวประเด็นการร่าง พ.ร.บ.อุปถัมภ์และคุ้มครองพระพุทธศาสนานี้ใช่ไหม เพราะจะมีกฎหมายลูกออกมาตามเป็นติ่งด้วย มี มันจะมีกฎหมายลูกตามออกมาอีก คือ กฎหมายอุปถัมภ์และคุ้มครอง มันหมายถึงการเลียนแบบ เช่น เทศน์ผิดพระไตรปิฎก หรือแม้แต่ว่าไปบิณฑบาตนี่โดนหมดนะครับ ถือว่าเลียนแบบ อย่างกรณีท่านจันทร์ ออกมาพูด หรือโพธิรักษ์ หรือแม้แต่กลุ่มอื่นที่ไม่ได้ไปร่วมชุมนุมด้วย หากไปทำก็ผิด แม้แต่พระด้วยกันหากไปเทศน์ผิด ไปเทศน์แล้วบอกว่าหลักธรรมเหล่านี้อาตมาคิดขึ้นมาเอง ก็ผิดเหมือนกัน ฆราวาสที่ไปพูดในรายการทางวิทยุโทรทัศน์ ซึ่งต้องมีกรรมการไปตรวจสอบ รวมถึงที่เขียนหนังสือออกมาขายกันนี่ถูกหรือผิด ** ปัจจุบันรัฐบาลไม่ให้การสนับสนุนงบประมาณส่งเสริมงานพระพุทธศาสนาเลยหรือ การเขียนบทบัญญัติรัฐธรรมนูญครั้งที่แล้ว ที่มี น.ต.ประสงค์ สุ่นศิริ เป็นประธานยกร่าง มีการส่งคนไปจับพระที่หน้าสภา 10 รูป เป็นกลุ่มสันติอโศก พยายามยุให้พระทะเลาะกัน ให้ภาพเป็นลบ พระไม่ยอมกัน ชาวพุทธทะเลาะกัน จากนั้นคนที่อยู่ข้างในคือ น.ต.ประสงค์ ซึ่งคือพลังธรรม และพลังธรรม คือ สันติอโศกไม่ใช่หรือ และคนที่พยายามเดินดูอะไรรอบๆ คือ พล.ต.จำลอง ศรีเมือง มันเป็นขบวนการที่ไม่ต้องการให้มี รวมทั้งกฎหมายอื่นที่เป็นกฎหมายลูก นอกจากรัฐธรรมนูญมันไม่ต้องการให้กฎหมายอุปถัมภ์คุ้มครอง ที่เขียนมาใหม่นี่มันถึงเลย อย่างการเลียนแบบการเทศน์ พระที่เทศน์ในวิทยุ ในทีวี ที่เขียนหนังสือเป็นพันๆ เล่ม หากเขียนผิดไปจากพระไตรปิฎกเขาจะให้แก้ไขปรับปรุง จนสุดท้ายหากยังไม่แก้ไข ติดคุกติดตะราง ปรับสินไหม อะไรต่ออะไร ** การนำกลุ่มสันติอโศกมาร่วมชุมนุมที่สะพานมัฆวานฯ เพื่อสกัดกั้น ไอ้นี่ชัดเลย คือ ถ้าเป็นการเมืองแล้ว การเมืองเดินด้วยกฎหมาย เดินด้วยเหลี่ยม ใครเหลี่ยมจัดกว่าคนนั้นชนะ ไม่มีมิตรแท้และศัตรูถาวร ทุกคนพูด สถาบัน ชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ เอาแค่เพียงเปลือกมา เพราะเวลาจะขึ้นเวทีพูดโจมตีคนอื่นก็ยก 3 สถาบันมา แต่ไม่ถึงจริงๆ ไม่ถึงแก่น อหิงสา คือการไม่เบียดเบียนด้วยพฤติกรรม ไม่เบียดเบียนด้วยวาจา ไม่เบียดเบียนด้วยใจ แต่ว่าไม่เบียดเบียนด้วยกายมันก็ยังมีกันอยู่ ด้วยวาจานี้ไม่ต้องพูด คือ มันเบียดเบียนกันตลอดตั้งแต่ต้น ไม่มีวาจาที่เป็นวาจาสุจริต วาจาสุภาษิต ไม่ใช่อหิงสา อหิงสาคือการไม่เบียดเบียน แต่นี่คุณกำลังเบียดเบียนทั้งพฤติกรรมทางกาย มีการตีกัน มีการดักทำร้ายกันอย่างต่อเนื่องของ ปาณาติบาต มันไม่ใช่ไม่ฆ่า แต่การไปกักขังหน่วงเหนี่ยวนั้นคือ ปาณาติบาต เหมือนกัน ***การปิดถนนล่ะครับ การปิดถนนต้องไปดูผลประโยชน์ หมายความว่า โจรกับตำรวจ ถ้าโจรปล้นแล้ว อย่าไปไล่จับเขา ให้สมานฉันท์มันไม่ถูก คือ ผิดมันต้องผิด ถูกคือถูก แต่จะมาบอกว่าสมานฉันท์ หรืออหิงสา แท้ที่จริงแล้วการไม่เบียดเบียนด้วยพฤติกรรม ทั้งกาย วาจา ใจ มันไม่ใช่แค่ว่าเอาไม้เบสบอลมาแล้วถือว่าอหิงสา ยังไม่ได้ตี ยังไม่ได้ใช้ความรุนแรง ที่พูดนี้ถือว่าทุกฝ่ายที่บอกว่าถืออหิงสา ไม่เบียดเบียน คือใช้หลักธรรมให้ถึงที่สุด สถาบันชาติเอามาเป็นเครื่องมือในการด่าผู้อื่น เพลงปลุกใจเอามาร้อง ร้องเสร็จด่าผู้อื่นต่อ ไอ้เอี้ย ไอ้ห่า คือ ปลุกทุกคน ปลุกเสร็จแล้วก็ด่าต่อ สถาบันพระพุทธศาสนา ยกชาดกขึ้นมา ใส่เข้ามาแล้วว่าไอ้จมูกชมพู่มันทำอย่างนี้ พระพุทธเจ้าตรัสเอาไว้อย่างนี้ คือ ในขณะที่หยิบยกสถาบันพระพุทธศาสนาทุกคนพูดถึงพระพุทธเจ้า พูดถึงชาดก พระสยามเทวาธิราช แต่ว่าไม่ได้ถึงจริง สถาบันชาติไม่ถึง เพียงแค่เป็นเครื่องมือในการด่า ** พอจะพูดได้ไหมว่ามีการแอบเผยแผ่ลัทธิสันติอโศกในที่ชุมนุมไปด้วย ก็อันนี้มันชัดเจน เพราะอย่าง นายพิภพ ธงไชย พูดว่า นี่มันเป็นวิถีชีวิต เพราะว่าเดิมทีมันผิดกฎหมาย แต่ถ้ายกระดับตัวเองขึ้นมาได้ ในกลุ่มของการเมือง สื่อต่างๆ มันออกมาว่า กองทัพธรรม เอย อะไรเอยนี่นะ ตั้งแต่ปี 2549 เป็นการสร้างให้สังคมยอมรับ จากเดิมที่ไปไหนมาไหน แม้แต่คณะสงฆ์เองไม่ยอมรับ แต่ไอ้ตรงนั้นไม่ว่าหรอก เมื่อไม่ยอมรับ อย่างมหายานอะไรต่างๆ ที่ไม่ใช่คนไทยเราก็ยังคุยกันได้ แต่ทีนี้ว่าในส่วนของพระพุทธศาสนานี่ ลักษณะที่ออกมาไม่ได้เป็นไปตามกฎหมายของบ้านเมือง "ปกาสนียกรรม" ปี 2535 นี่ สมัยหลวงพ่อสุเมธาธิบดี สมัยสมเด็จมหาธีราจารย์ พร้อมคณะ ก็เคยมี ปกาสนียกรรม แล้ว และลัทธิยูโธเปีย ลึกๆ นี่เรื่องของบริโภคนิยม เรื่องของบุญนิยม อะไรต่อมิอะไรต่างๆ คือจะว่าก็ว่าไป จะเทศน์ก็เทศน์ไป แต่ไม่ใช่ว่า เอาดีใส่ตัว เอาชั่วใส่คนอื่น พระที่ฉันเนื้อกลายเป็นยักษ์เป็นมาร พวกที่ไม่ได้ฉันเนื้อ พวกที่ฉันผัก กลายเป็นอริยะ แม้กระทั่งคำพูดในการที่จะไปยกตนข่มคนอื่น พยายามยกตนข่มท่าน พูดถึง ณ ขณะนี้ที่เป็นอยู่ตอนนี้ คือว่า มหาเถรสมาคมเองนี่ มันไม่ใช่เป็นเรื่องการเมืองกับการเมืองอย่างเดียวเท่านั้น เป็นเรื่องของขั้วอำนาจ อันนั้นใช่ เป็นเรื่องของการเมืองที่ต้องการจะแย่งผลประโยชน์ ต้องการจะแย่งอำนาจกัน ลึกๆ ต้องการจะเปลี่ยนขั้ว อย่าง คุณไชยวัฒน์ สินสุวงศ์ (แกนนำพันธมิตรฯ) ได้พูดในค่ำคืนหนึ่งว่า พี่น้องทั้งหลาย สิ่งที่เราทำนี้รัฐบาลมันก็รู้หมดแล้ว ที่บอกว่าพวกเราพยายามยั่วยุให้ใช้กำลังมาสลายม็อบ มันก็รู้ทัน แสดงว่าลึกๆ แล้วต้องการจะให้รัฐบาลใช้กำลังไปปราบ อันนี้คือคำพูดของ นายไชยวัฒน์ สินสุวงศ์ พูดตอนกลางคืน อ้าว ...แบบนี้แสดงว่าที่ต้องการยั่วยุ ที่นายกฯ สมัคร (นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี) พูดในวันนั้น ก็คือต้องการให้เขาใช้กำลังใช่หรือไม่ แล้วจะได้เกิดการปฏิวัติและมีการเปลี่ยนขั้วอำนาจ ถ้าดูตอนนี้ถ้าทุกส่วนใช้ธรรมกันอย่างจริงจัง โดยเฉพาะลัทธิของโพธิรักษ์ พร้อมคณะ ที่มีกองทัพธรรม อะไรต่อมิอะไรมาเป็นตัวหนุน ถ้าในเชิงศาสนา ในเชิง มหาเถรสมาคม ต้องพูดอะไรบ้าง เพราะที่ผ่านมาเท่ากับเป็นการท้าทายอำนาจมหาเถรสมาคมที่มีอยู่ และศาลเคยพิพากษาแล้ว และให้รอลงอาญา 2 ปี หมายความว่าที่แต่งกายเลียนแบบสงฆ์ แต่คราวนี้ที่มาทำงานเชิงการเมือง ใช้คำว่า อาตมา เสร็จแล้วก็ไปเลือกตั้งได้ มีบัตรประจำตัวประชาชนได้ เดินบิณฑบาตได้ เล่นการเมืองได้เต็มรูปแบบ มีพรรคการเมืองได้ อย่างพรรคพลังธรรม หรือพรรคเพื่อฟ้าดิน มันคืออะไร แต่ขณะเดียวกันในคณะสงฆ์เองก็บอกว่าไปเลือกตั้งไม่ได้ ไปตั้งพรรคการเมืองไม่ได้ แต่พวกนั้นทำครบรูปแบบ ในขณะเดียวกันก็ยกระดับเดียวกันมาเป็นพระให้คนอื่นเขาใส่บาตรได้ มันผิดอยู่แล้ว ผิดตั้งแต่ปกาสนียกรรมนั่นแหละ มหาเถรสมาคมเขาประกาศที่สำนักงานพุทธมณฑล ในปี 2535 และมีการขึ้นศาลสงฆ์ ที่ตำหนักสงฆ์ วัดมหาธาตุ แล้วลงไปสู่การเมืองเต็มตัว สร้างพรรคการเมืองก็ได้ เลือกตั้งได้ ถ้าเอาตามตรง นี่คือการแอบอ้างความเป็นสงฆ์ แต่ทีนี้เมื่อมันจะเป็นให้มันเป็น หมายความว่า มหายาน ที่ต่างประเทศ ที่เรามาประชุมในมหาจุฬาฯ "Buddhism Summit" หลายๆ รอบ เราก็ยังให้ความนับถือกันได้ คุณจะเป็นลัทธิก็เป็นไป แต่พอลงไปแบบนี้ ลงไปในการเมืองเต็มร้อย แล้วยังมาใช้ศัพท์แสงของพระ แล้วมาบอกว่าเป็นผู้เคร่งครัดมากกว่าพระสงฆ์อื่น อย่างที่นายพิภพพูด อันนี้จะยกกันให้สูงขึ้น นายพิภพ ประกาศเลย ชุมชนสันติอโศก หรือกองทัพธรรม เป็นพระที่เคร่งครัด แล้วอะไรไม่ใช่พระ แล้วอะไรคือพระ ขณะนี้มันเต็มร้อยกับการเมือง คือมันลงมาเต็มร้อย เป็นเจ้าของพรรค เป็นเจ้าของ ส.ส. เป็นอะไรต่ออะไร คือไม่ต้องพูด มันเต็มร้อยไปแล้ว ** ถ้าเขาทำสำเร็จ ตามแนวคิดของพระอาจารย์ ประเมินว่าอย่างไร เท่ากับเป็นการยกฐานะของลัทธินี้ให้เท่ากับคณะสงฆ์ ซึ่งคณะสงฆ์เอาอะไรไปจัดการ ไม่มีเลย ถามว่ามหาเถรสมาคมไม่ต้องเอาพระรูปนั้นรูปนี้หรอก มหาเถรสมาคมจะเอาอะไรไปเตือน เอาอะไรไปดึง ใครไปฉุด ใครไปรั้ง ใครไปเบรก อย่างของมหาโชว์ ถ้าคลาดเคลื่อน เจ้าอาวาสวัดยังกระแอมสักครั้งหนึ่ง เราก็ชะลอแล้ว หรือเจ้าคณะกรุงเทพมหานครสอบสวน เท่ากับมีการตรวจสอบ แล้วอย่างสันติอโศกนี้ใครไปเตือน พอไปเตือนเขาบอกว่า อยู่นานาสังวาส (ถือความเห็นคนละอย่าง จึงอยู่ร่วมกันไม่ได้) ไม่ได้อยู่กลุ่มเดียวกัน นอกเหนือจากกฎหมายสงฆ์ ไม่ได้ขึ้นต่อวงการคณะสงฆ์ เอาอะไรไปเตือน ** ความเชื่อของคนในกลุ่มของสมณโพธิรักษ์ อันตรายกับประชาชนไหม ตอนนี้หากถอยมาอย่างของท่านจันทร์ เวลาออกอากาศตอนนี้ เพื่อนช่วยเพื่อน ยังเอาพระไตรปิฎกมาอ่านบ้าง อะไรบ้าง ยังไม่ห่างมาก แต่ถ้าหากเรื่องการบรรลุธรรม การโหวต การบวช ไม่มาสวดญัตติ แต่เพียงว่า เอานั่งพร้อมกันแล้วให้มีการโหวต คนนั้นคนนี้สมควรจะเป็นพระ ไม่ได้มานั่งสวดญัตติ "จตุตถกรรม" อย่างอื่นไม่มี การไหว้พระพุทธรูปก็ไม่มี มันแตกต่าง แต่ถ้าสอนอย่างที่สมณจันทร์ สอนมันยังพอไหว แต่ถ้าหากบรรลุธรรมในขณะที่ฉี่อยู่อย่างโพธิรักษ์นี่ คือบอกว่า ขณะฉี่เกิด Enlightenment คือเกิดการบรรลุธรรมแล้วพยากรณ์ ไอ้สิ่งเหล่านี้มันไม่ได้ โดยวินัยมันไม่ถูก คนนี้เป็นสกิทาคามี คนนี้เป็นอนาคามี ระดับนี้เขาจะพยากรณ์ให้เลย ซึ่งตรงนี้มันผิด ** สมควรที่คนปกติจะไปกราบไหว้ไหม อย่างโพธิรักษ์ เมื่อเคยมีพฤติกรรมอย่างนี้ คือถ้าเป็นอย่างนี้มันไปแล้วล่ะ คือ ถ้าพยากรณ์แล้ว หมายความว่าอวดอุตริมนุสธรรม แต่ว่าเฉพาะตรงนี้มันเป็นมาแล้วเมื่อปี 2535 และมันถึงที่สุด ทีนี้มาดูบทบาท นับแต่ปี 2549 ที่เขามาลงเรื่องการเมืองกับกลุ่มพันธมิตรฯ คือ ถ้าจะดึงมาเต็มร้อย ซึ่งพระทั่วไปก็ไม่ลงมา อย่างของกลุ่มอาตมาที่ไปในเรื่องอย่างเดียวคือ พระพุทธศาสนา อย่างภิกษุสันดานกามัน เรื่องพระพุทธศาสนา มันด่าพระด้วยภาพ กฎหมายดูแลไม่มี ก็บอกเป็นสิทธิเสรีภาพ เอาอะไรไปจับ เอาอะไรไปเตือน มันไม่มี เรื่องการจัดรูปที่ดินเพื่อพัฒนาพื้นที่ การทำนามบัตรให้พระมีคำนำหน้านาม นี่คือกฎหมายทั้งหมดเลย ของเราไปนี่ ถ้ารัฐบาลเขาทำถูกเรายกย่อง ใครทำไม่ดีก็ควรปรับปรุง เพราะอย่างไรเสียชาวพุทธก็ควรปรับปรุงกันได้ ตรงนี้ไม่ดี อะไรเสีย ควรจะบอกกันได้ก็บอกกันตามตรง รวมถึงปัจจุบัน รัฐบาลท่านนายกฯ สมัคร ตรงไหนดีเราก็บอกว่าดี อย่างที่ท่านเขาวัด เข้าไปหาพระผู้ใหญ่ประกอบพิธีกรรม อันนี้ดีแล้ว แต่ถ้าไม่ดีเราก็บอกกับรัฐบาลว่าไม่ดีแล้ว เช่น การจัดเขตเศรษฐกิจพิเศษ นั่นไม่ดีเลย นั่นคือหมดพุทธเลย ต่อไปเป็นกลุ่มอิสลามล้วนๆ เลยในพื้นที่ อย่างที่คุณเฉลิมออกมาพูด เราก็ช่วยปรามว่าจะเกิดแบบนั้นแบบนี้นะ ท่านจะหยุด อย่างบัตรประจำตัวประชาชนแบบสมาร์ทการ์ด ถ้าไม่มีการใส่ข้อมูลเรื่องการนับถือศาสนา จะเป็นการโกงตัวเลขการเป็นพุทธศาสนิกชนแบบสะบั้นหั่นแหลก หมายความว่า เดิมทีการดูสถิติการเป็นพุทธศาสนิกชนเขาจะดูที่ทะเบียนราษฎร ถ้าไม่มีจะเป็นการโกงตัวเลขผู้นับถือศาสนากันอย่างสะบั้นหั่นแหลก และปัจุบันดูจากสำนักทะเบียนราษฎร เดิมทีตามจำนวนคนนับถือศาสนาพุทธ 94.85% แต่ต่อไปไม่มีการบันทึกเอาไว้ อิสลามเขาอาจจะบอกได้ว่ามี 3% แต่ถ้าขณะนี้ วันมูหะมัดนอร์ มะทา จะบอกว่ามี 15% เดิมมีการแย่งศาสนิก แม้แต่คริสต์ เขาไปใส่ในบัตรประจำตัวประชาชนแถวทางหนองคาย เขาบอกว่เป็นคริสต์ศาสนิกชน ไปใส่ให้เขาเพื่อให้มันเพิ่ม เมื่อเพิ่มขึ้นมาแล้วถามว่าได้อะไร คือการต่อรองงบประมาณแผ่นดิน เอาไปสร้างมัสยิด เอาไปจัดพิธีกรรม เอาไปบอกว่า ณ บัดนี้อิสลามมี 25% การจัดสรรงบประมาณเพื่อให้นำไปประกอบพิธีที่เมกกะ ไปแสวงบุญ ไปสร้างมัสยิด จะเพิ่มขึ้นไปตามเงาตามตัว ในขณะนี้กำลังร่างพระราชบัญญัติ เมื่อ 2 สัปดาห์นี่เอง เป็นมติ ครม. ว่าการทำบัตรสมาร์ทการ์ด และบัตรประจำตัวประชาชนจะไม่ใส่การนับถือศาสนา กำลังเป็นร่างพระราชบัญญัติ ซึ่งเป็นมติ ครม. แต่ต้องเอาเข้าสภาอีกครั้ง เมื่อตัดศาสนาทั้งหมดออก การตรวจสอบยากแล้วล่ะ สามารถโกงการตรวจสอบสบายเลย อย่างอิสลาม 0.5% ต่อไปจะบอก 10% ก็ได้แล้ว จะเอาอะไรมาอ้าง ตรงนี้เราไม่อยากจะคุยสายตรงแล้ว ไปคุยข้างในแล้ว ถ้าหากเป็นเรื่องที่เกิดเกี่ยวกับพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติแล้ว เพราะเราเคยคุยกับนายอภิสิทธิ์ เกี่ยวกับพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติ เราเคยถามพรรคประชาธิปัตย์โดยตรงกับคุณอภิสิทธิ์ (อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ) เกี่ยวกับเรื่องพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติ ในช่วงที่พระไปอยู่หน้าสภา แล้วเขาก็บอกเลยว่าเป็นเรื่องยาก แก้ไขไม่ได้ เพราะในพรรคประชาธิปัตย์ก็มี ส.ส. ที่นับถือศาสนาอิสลามอยู่ เพราะ ถ้าแก้คะแนนการเมืองเสีย เขาก็พูดเอาไว้ชัดว่า มันแก้ยาก มันแก้ลำบาก แต่นี่การเมืองเกือบกว่า 70 ปีที่เปลี่ยนแปลงการปกครองมา เรื่องที่เกี่ยวกับพระพุทธศาสนา ที่ดูเชิงการเมือง เชิงกฎหมาย มันไม่มีเลย เพิ่งมาถึงนายกฯ สมัคร เพิ่งมามีครั้งนี้ที่เห็นว่านายกฯ เขาพูดชัด ในขณะที่เขาเอื้อ เราก็ควรจะใช้ประโยชน์จากตรงนี้ ไม่จำเป็นต้องไปเดินขบวน ไปตั้งม็อบเหมือนกับครั้งที่แล้วๆ มา ก็คือให้รัฐบาลเป็นเจ้าภาพเอง เราขออาศัยในเรื่องนี้ด้วย เพราะที่ผ่านมามันไม่เคยมี ถ้าจะไปนับหนึ่งถึงสิบนั่นคือของพระ ของชาวพุทธ แต่นี่เพียงแค่เรานับหนึ่งถึงสอง เพื่อช่วยรัฐบาลเขาบ้าง อย่างที่เรื่องของการลงชื่อเนี่ย แต่เขาจะแก้เรื่องอะไรก็เป็นเรื่องของเขาไป เป็นเรื่องการเมืองไป แต่ว่าเรานั้นแค่เพียงอาศัยขบวนรถไฟว่าฝากเรื่องนี้ด้วย แต่ว่าในเรื่องของการที่จะทำงานไม่ใช่เราจะคอยให้เขาแบกอย่างเดียวเรา ควรจะมีน้ำใจบ้าง ทั้งพระเจ้า พระสงฆ์ ญาติโยม ชาวพุทธ อย่างที่ผ่านมา ***ในกระบวนการการแก้ไข รธน. มันจะสำเร็จยาก ในเมื่อ ส.ส. ถอนตัวออกไปแล้ว บวกกับการออกมาเคลื่อนไหวของกลุ่มพันธมิตรฯ ตรงนี้มันจะไปกระทบกับตัวร่าง รธน. ที่บัญญัติเรื่องพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติหรือไม่ จริงๆ แล้วถ้าทุกฝ่ายแก้กันด้วยกติกา เรื่องอะไร เพราะว่าในมาตรา 291 การแก้ไม่ได้เขียนเอาไว้เลยในรัฐธรรมนูญว่าเป็นรัฐบาลได้ 3 เดือนแล้วถึงแก้ ไม่ได้เขียนว่าครบ 4 ปีแล้วถึงแก้ ไม่ได้กำหนด 1 ใน 5 นั้นคือกติกาของบ้านเมือง ไม่ได้กำหนดด้วยระยะเวลา เป็นรัฐบาลได้ 3 วัน แก้ไข ไม่จำเป็นต้องบอกว่าให้ทำไปก่อนแก้ไขปัญหาเรื่องปากท้องก่อน มันไม่เกี่ยวเลย มาตรา 291 ในรัฐธรรมนูญบอกเอาไว้ชัดว่ามีรายชื่อ 5 หมื่นชื่อ อีกทางหนึ่งคือ 1 ใน 5 ของจำนวน ส.ส. ไม่ได้ไปผูกมัดว่าจะต้องเป็นรัฐบาลได้กี่ชั่วโมง กี่เดือน ไม่ได้กำหนด เมื่อมันเข้ากรอบตัวนี้มันทำได้ ***แต่ทางพันธมิตรฯ เขาไม่ยอม แสดงว่าไม่เคารพกติกากัน คือ ถ้าเป็นอย่างนี้ไปยุบพรรค ถ้าสมมติว่าประชาธิปัตย์เข้ามามันยุบเหมือนกัน ถ้าเกิดไปใช้เล่ห์เหลี่ยมจากเดิมบอกว่ายุบพรรคตรงนี้ ยุบพรรคมัชฌิมาธิปไตย ยุบพรรคชาติไทย พอไปถึงผู้บริหารพรรคประชาธิปัตย์บ้างบอกว่าแก้ได้ มันอะไรล่ะ เพราะว่าถ้ารัฐบาลไม่แก้ตรงนี้ เรื่องปากท้องแก้ไป ปัญหาอะไรมันเกิดที่พอทำได้ทำ หมายความว่าต่อไปทุกพรรคมันจะโดนเหมือนกันทั้งหมด ไม่ใช่ตรงนี้ที่เดียว เพราะว่าเท่าที่มองทั่วไปแก้เพื่ออดีตนายกฯ ทักษิณ เพื่อพรรคพวก พวกพ้อง แต่ถ้ามองภาพรวมคือว่าทุกพรรคจะโดนเหมือนกัน เมื่อพรรคการเมืองโดนมันสะท้อนถึงเรื่องเศรษฐกิจ ใครที่ไหนจะมาลงทุน เมื่อการเมืองมันไม่นิ่ง เมื่อรัฐบาลมันอยู่ไม่ได้ มันมีกะจิตกะใจที่ไหนจะไปแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ แล้วประเทศไหนจะมาลงทุน เมื่อมันไม่นิ่ง เดิมทีจะแข่งกับญี่ปุ่น ต่อมาจะแข่งกับสิงคโปร์ ตอนนี้แข่งกับเวียดนาม กับเขมร ***อาจารย์มองว่า ส.ส. ควรจะมีจุดยืนเดิมไหม ในการที่จะยื่นร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญเข้าไปอีก ไม่อย่างนั้นไปลบมาตรา 291 ไม่ต้องใส่เข้าไปในรัฐธรรมนูญ กระบวนการของการแก้ไขเขาเขียนเอาไว้ว่า 5 หมื่นชื่อ ส.ส. 1 ใน 5 ไม่เห็นเขียนว่าต้องเป็นรัฐบาลเท่านั้นเท่านี้ถึงแก้ไข ไม่มีเลย แต่ทีนี้เพียงแค่ใช้เล่ห์เหลี่ยมของการเมืองมาใส่กันเท่านั้นเอง ทีนี้ ส.ส. ควรมีจุดยืนให้ชัดว่าถ้าเกิดในเรื่องของการบริหารประเทศเราไม่ได้ทำเพื่อคนใดคนหนึ่ง ทำเพื่อส่วนรวม พรรคการเมืองใดที่ได้แก้ตรงนี้แล้วมันก็เป็นอานิสงส์ด้วยกัน แล้ว รธน. ทั้งหมด 17-18 ฉบับมันก็ไม่ได้อยู่ถึง 4 ปี 2475 เป็นต้นมามันก็ฉบับละ 2 ปี หลังจากนั้นก็ปฏิวัติ ไม่มีฉบับไหนมันถาวรสักฉบับ มันก็ยังมีข้อบกพร่อง ยังมีช่องว่างในรัฐธรรมนูญมา ถ้าลองหารดูว่า 18 ฉบับ ตั้งแต่ 2475 เป็นต้นมาเนี่ย 70 กว่าปีนั้นมันตกฉบับละกี่ปี ประมาณ 2 ปีกว่าต่อฉบับ มันไม่เหมือนของอินเดีย ฉบับที่ 1 ใช้มาตลอดเกือบ 60 ปีแล้ว ของเราเนี่ย คือเวลาร่างมันใส่กิเลสลงไปด้วย กลุ่มไหนเป็นคนร่างมันก็เพื่อผลประโยชน์ของกลุ่มนั้น เพราะฉะนั้นเมื่อมีช่องว่าง ถ้าเกิดว่าโดยมารยาท ของที่ไหนก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นข้าราชการประจำ หรือว่าข้าราชการการเมืองนั้น ระเบียบพระราชกำหนด หรือกฎหมายใดนั้นมันเป็นประโยชน์ต่อผู้ปฏิบัติเขาจะย้อนหลังให้ แต่ถ้ากฎหมายใดที่เป็นโทษเขาจะยุติแค่นั้น แต่ทีนี้ในการร่างในครั้งนี้อาตมามองโดยที่ไม่ไปอยู่กลุ่มใด อย่างการร่างครั้งที่แล้วมันร่างเพื่อกันคนคนเดียวคือ นายกฯ ทักษิณ แต่ว่ามันส่งผลกระทบไปถึงคนทั้งประเทศ เราไม่ได้เข้าข้าง แต่ว่าการที่จะไปจับเขาต้องไปจับให้ดูว่ามันผิดอย่างไร ไม่ใช่ว่าเป็นการโยนโคลนใส่เข้าหากัน ไม่มีโอกาสแก้ต่าง ถ้าพูดข้างเดียวใครก็พูดได้ ทีนี้ในส่วนของกระบวนการทางการเมืองนั้น การเมืองมันแก้ด้วยการเมือง ไม่ใช่ว่าเมื่อในพรรคฉันไม่ได้ก็ใช้อารมณ์ ใช้พวกมากลากไป เพราะว่าความถูกต้อง การยุติธรรม มันต้องยุติกันตรงนี้ ยุติด้วยธรรมะ ไม่ใช่ยุติกันด้วยอารมณ์ ยุติกันด้วยคนจำนวนมาก เพราะการเข้าใจผิดนั้นมันสามารถสร้างกระแสได้ 291 นี้คือการแก้รัฐธรรมนูญ ใช้กติกาตรงนี้มาจับ ถ้าแก้เพื่อคนใดคนหนึ่งอย่างที่กล่าวหากัน ตรงนี้ก็ไม่เห็นด้วย แต่เขาอธิบายตรงนี้ก็ต้องฟังเขาว่าแก้เป็นอย่างไร กระบวนการในการแก้ แต่ว่าเท่าที่เห็นคือกระแสของสังคมที่มันทะลักเข้ามา มันไม่เหมือนกับการประท้วงหรือการทำงานอย่างอื่น เพราะการประท้วงสมัยก่อนนั้นมันไม่มีสื่ออยู่ในมือ แค่มือถือเขาบอกว่าม็อบมือถือยังชนะรัฐบาลได้ แต่ว่าในปัจจุบันนี้การประท้วง การก่อม็อบ มันมี TV อยู่ในมือ มีวิทยุในมือ มีหนังสือพิมพ์ในมือ เมื่อก่อนนั้นเขาปิด เพราะว่าถ้าคนฟังมากมันทั้งถูกและผิดมันไปพร้อมกัน ทั้งบวกและลบ แต่ทั้งบวกและลบถ้ามันกึ่งๆ กัน แล้วคนมันจะทะเลาะกัน กฎของนิติศาสตร์กับรัฐศาสตร์ คือ การใช้วิธีการบริหารปกครองประเทศ บางเรื่องใช้นิติศาสตร์ บางเรื่องใช้รัฐศาสตร์ แต่ว่าการปลุกเร้ากันด้วยสื่อนั้นมันปกครองลำบาก มันกระจายไปทั่วโลก คนยิ่งบริโภคสื่อมากเท่าไร ถ้าเอาเรื่องที่ดีมาคุยกันมันก็เป็นประโยชน์ แต่ถ้าเอาเรื่องที่ไม่ดีมาแล้ว ใส่ทุกวันมัน เป็นยาพิษในสื่อ เพราะฉะนั้นสิ่งที่เกิดขึ้นตอนนี้ถ้ารัฐบาลไม่แก้ปัญหาด้วยความรุนแรง ก็ถือว่าเป็นการดีแล้ว ทางที่ถูกต้องคือมาตรา 291 เนี่ย ถึงแม้ว่ารัฐบาลจะถูก แต่ว่ากระแสความเห็นใจ กระแสการเมือง กระแสผลประโยชน์มันแรง มีการลดราวาศอกให้ก็เป็นเรื่องดี นั่นคือเจตนาดี การมีรัฐบาลกับฝ่ายค้านเพื่อติติงเพื่อให้เกิดการปรับปรุงแก้ไข เกิดการพัฒนา ทำให้ประเทศชาติอยู่ร่วมกันได้ ถ้าเกิดว่ารัฐบาลโกงกิน ประชาชนที่ไหนเขาจะไปยอม คือว่าถ้าชัดเจนจับได้คาหนังคาเขา ก็ยินดีจะเข้าพวกไปไล่รัฐบาลด้วย แต่ทีนี้ต้องไล่ลำดับให้ดีว่ามันผิดแล้วจับได้ไหม ฉะนั้นมันต้องปล่อยให้เขาทำงานตามหน้าที่ ส.ส. ก็ต้องคุยกันในสภา หมายความว่าทั้งฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้าน ฝ่ายรัฐบาลคุยกันในสภา ฝ่ายค้านถ้าจะติติง ต้องไปว่ากันในสภา ไม่ใช่มาอยู่ในสภาข้างถนน ต้องจบกันในสภา ถ้าอย่างนั้นไม่ต้องมีสภา พอเป็นรัฐบาล-ฝ่ายค้าน ก็มายึดถนนคนละข้าง ***ในส่วนขององค์กรสงฆ์จะเคลื่อนไหวให้มีการแก้ไข-เพิ่มเติม ให้บรรจุพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติต่อไปไหม หลังจากที่ร่างฉบับที่แล้วถูกถอนออกไปแล้ว คือของชาวพุทธเองรอดูว่าในส่วนของกระบวนการที่รัฐบาลจะแก้ไขก็เอาด้วย ก็หมายความว่าขยับเมื่อไรก็เอาด้วยทุกครั้ง แต่ว่าเอาเรื่องพุทธศาสนาอยู่ในรัฐธรรมนูญ เหตุผลที่มันจะทำให้เกิดความแตกแยกมันไม่มี ถ้าทำให้เกิดความแตกแยกเราก็ยินดีที่จะคัดค้านไม่ให้ศาสนาพุทธเป็นศาสนาประจำชาติ ถึงแม้ว่าศาสนาพุทธจะเป็นศาสนาของเราก็ตาม แต่ว่าเหตุที่เอามาอ้างมันไม่มี ใครมีเหตุผลอื่นใด ถ้าเห็นว่าชาวพุทธไปฆ่ามุสลิม เราก็จะช่วยกันคัดค้าน ว่าต่อไปนี้ไม่เอาแล้ว และจะยินดีช่วยกันคัดค้านอีก จะไม่เอาเหมือนกัน แต่นี่มันไม่มี เพราะฉะนั้นเมื่อรัฐบาลเดิน หน้าเราจะสนับสนุนด้วย แต่ทีนี้ถ้าจะให้มันเป็นแบบฉบับของการเมืองที่เป็นตัวอย่างของคนต่อไปนั้น มันควรจะทำด้วยความเป็นประชาธิปไตยจริงๆ ไม่ใช่ประชาธิปไตยแค่เพียงเปลือก หรือ 3 สถาบันแค่เพียงมาเป็นเครื่องมือในการด่ากัน ไม่ใช่แต่ละคนมองประชาธิปไตยไปคนละอย่าง คนละแบบ ไปๆ มาๆ ทะเลาะกัน จะลงไม้ลงมือกัน เพราะต่างคนต่างมองประชาธิปไตยอย่างที่ตัวเองคิด แต่ไม่ได้เข้าถึงประชาธิปไตย ถ้าอย่างนั้นก็เอาเหมือนพม่าสิ 40 กว่าปีไม่ต้องปล่อย บริหารโดยรัฐบาลทหาร ใครกล้าคัดค้านบ้าง ใครกล้าจับติดคุก อย่างเมื่อปีที่แล้ว หรืออย่างของ คมช. นั้นใครกล้าหือบ้าง อดีต ส.ส.-ส.ว. แค่จะหาเสียงให้พรรคตัวเองยังไม่กล้าขยับเลย หรือว่านิสัยคนไทยชอบการปฏิวัติ ถ้าอย่างนั้นก็ปฏิวัติสัก 10 ปี แล้วก็ค่อยปล่อย สิทธิเสรีภาพ ต่างคนอยากมีอิสระ พอเขาปล่อยให้มี ต่างคนต่างเกินเลยขอบเขต อิสระมันคือเท่าไร เสรีภาพมันคือขอบเขตใช่หรือไม่ อยากด่าใครด่าได้ นั่นคือเสรีภาพหรือไม่ เสรีภาพมันต้องมีกรอบ แต่มันไม่ใช่ว่าเสรีภาพคือไร้พรมแดน มันไม่ใช่ กฎเกณฑ์กติกาคือกรอบ มันคือขื่อแปของบ้านเมือง เพราะฉะนั้นตรงนี้ถ้าจะยุติคือว่า 1.ทุกคนต้องเข้าถึงสถาบันทั้ง 3 ให้ชัด ชาติต้องชัด ศาสนาต้องชัด อหิงสาคืออะไร สมานฉันท์ สมามัคคี คืออะไร เอากันให้ชัด หรือแค่ศีล 5 ต้องให้ชัด แล้วเอาหลักการจริงๆ เข้าไปว่ากัน มันจะจบ แต่ถ้าเกิดว่าถ้าใครมีพวกมากกว่าคนนั้นชนะ เพราะว่าสัตว์เดรัจฉานกับมนุษย์มันต่างกันแค่ตัวธรรมะ เพราะฉะนั้นสังคมปัจจุบันไม่ต่างอะไรกับสังคมของสัตว์เดรัจฉานที่มุ่งแต่จะทำลายกัน กติกาไม่จำเป็นต้องมี กฎหมายไม่จำเป็นต้องมี ใครมีพวกมากกว่าใส่กันไป แต่ว่าเมื่อเป็นสังคมมนุษย์ต้องมีกติกา ทุกคนเป็นแนวเดียวกัน มีวินัย มีกรอบ คนไม่มีระเบียบวินัยมันก็เหมือนกับควายไม่มีคอก เพราะฉะนั้นคอกคือกฎหมาย คือกติกา ถ้าเราสร้างกติกามาแล้ว ไม่เคารพกติกา บ้านเมืองวุ่นวาย ฉะนั้นกฎหมาย กฎเกณฑ์ กติกา บวกกับหลักธรรม แล้วก็เรื่องของลัทธิ นิกาย ถ้าเกิดไม่จุ้นจ้านมากเกินไป เรื่องที่ชี้คดีความว่าผิด หรือเรื่องของพระธรรมวินัยมันก็ชัดเจนอยู่แล้ว วิพากษ์วิจารณ์ไปมันก็จะกินใจกันเปล่าๆ แต่ว่าโดยหลักธรรม และหลักฐานที่ผ่านมานั้นมันไม่ได้ แต่ว่าพอมาถึงตอนนี้ก็ยกระดับจากลัทธิมาเทียบเท่ากับมหาเถรสมาคม ได้รับการยอมรับของสังคมที่ทัดเทียมกัน โดยคิดว่าเป็นผู้ที่เคร่งครัดมากกว่าคณะสงฆ์กลุ่มอื่น โดยอาศัยฐานทางการเมืองมาโปรโมตตัวเอง //////////// ประชาทรรศน์รายสัปดาห์
ดร.พระมหาโชว์ ทัสสนีโย แฉพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เดินเกมล้มการแก้ไข รธน.50 ซึ่งมีการบรรจุพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติ มีต้นเหตุจากกองทัพธรรมของสันติอโศกร่วมขบวนการ เพราะอาจจะไม่พอใจที่ถูกมหาเถรสมาคมออก "ปกาสนียกรรม" ขับออกจากการเป็นพระสงฆ์ เนื่องจากอวดอุตริมนุสธรรม "บรรลุธรรม" ขณะกำลัง "ยืนฉี่" แฉ "มาร์ค-ปชป." ห่วงฐานเสียงภาคใต้มากกว่าเลยไม่กล้าบรรจุ พบ! บทความ "อาจารย์หม่อมคึกฤทธิ์" ยังระบุ การเอาสันติอโศกไปขึ้นกับมหาเถรสมาคม เป็นการปล่อย "เหี้ย" เข้าวัด
ให้แบบตามประเพณี ถ่ายเทมาจากการถวายความอุปถัมภ์ก่อนปี 2475 สมมติถ้านายกฯ เป็นมุสลิม เป็นคริสต์ ถ้าไม่ใช่พุทธอย่างที่เป็นอยู่เขาก็ตัดได้เลย เพราะว่ามันไม่มีหลักประกัน ไม่มีกฎหมายรองรับ เราจะไปร้องแรกแหกกระเชอ หมดสิทธิ์เลยนะ แต่ที่เขาให้มาปัจจุบัน เขาเป็นพุทธศาสนิกชนโดยตลอด อย่างนายกรัฐมนตรี อย่างรัฐมนตรีทั้งหลาย แต่ตอนนี้มีการแทรกซึม มีการขยายไปเยอะแล้ว อย่าง 3 จังหวัด อย่างผู้ว่าราชการจังหวัดที่ไม่ได้เป็นชาวพุทธ ขยายไปเยอะแล้ว นักการเมืองที่ไม่ใช่พุทธไปค้านกันหลายๆ คน กับพวกกลุ่มนี้ แต่เราดูไม่ออก เพราะใส่สูท แต่เบื้องลึกหลายคนทีเดียวที่ใช่
** แบบนี้ทำผิดไหมในฐานะเลียนแบบพระสงฆ์ หรือแอบอ้างความเป็นสงฆ์
ที่จำเป็นต้องพูดถึงความจำเป็นในการบัญญัติเรื่องพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติ เพราะมันขยับกันมาอย่างนี้
เพราะฉะนั้นมาถึงตอนนี้ที่วัดสวนแก้ว นายกฯ พูดชัด แม้แต่การติติงอภิรักษ์ (นายอภิรักษ์ โกษะโยธิน ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร) ในการจัดงานวันมาฆบูชา บอกว่าจัดงานเกี่ยวกับพระพุทธศาสนาห่วยแตก และอีกหลายๆ ครั้ง รวมทั้งการพูดจา ซึ่งเห็นได้ว่าครั้งนี้เป็นครั้งที่รัฐบาลทำงานให้กับพระพุทธศาสนา ส่วนเรื่องที่รัฐบาลจะทำเรื่องอื่นด้วยอะไรต่างๆ นั้นเป็นหน้าที่ของรัฐบาลที่เขาจะดูแล แต่ว่าเท่าที่ผ่านมานั้นเพิ่งเห็น ทั้งเรื่องรัฐธรรมนูญ ทั้งเรื่องกฎหมายอื่น ว่าถ้าอย่างนั้นเมื่อรัฐบาลเอาใจใส่ในพระพุทธศาสนา ทั้งเรื่องทางกฎหมาย ทั้งเรื่องศาสนกิจ ทั้งเรื่องทางพิธีกรรมของพระพุทธศาสนาก็ต้องปล่อยให้เขาทำ ส่วนเราก็เป็นกำลังใจ
เพื่อไทย
Tuesday, June 17, 2008
สัมภาษณ์พิเศษ ‘พระมหาโชว์'...แฉ!สันติอโศกล้มแก้รธน.50
ประชาทรรศน์รายสัปดาห์