WeLoveOurKing
How to insert weloveking to you website

ทรงพระเจริญ

ขัตติยาอัด คอป แต่งนิทานโยนความผิดเสธ แดง 18 9 55

สถาบันกษัตริย์อยู่ได้ด้วยความจริง

ธงชัย วินิจจะกูล: Truth on Trial

สถาบันกษัตริย์ถึงเวลาต้องปรับตัว

ตุลาการผิดเลน !


ฟังกันให้ชัด! "นิติราษฎร์" ไขข้อข้องใจ ทุกคำถามกรณีลบล้างผลพวงรัฐประหาร





วิดีโอสอนการทำน้ำหมักป้าเช็ง SuperCheng TV ฉบับเต็ม 1.58 ชม.

VOICE NEWS

Fish




เพื่อไทย

เพื่อไทย
เพื่อ ประชาธิปไตย ขับไล่ เผด็จการ

Tuesday, June 17, 2008

อย่าคบ ‘ผู้ใหญ่’ สร้างบ้าน

โดนถอนหงอกกันไปติดๆ

สำหรับแกนนำกลุ่ม พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ที่ 3 ใน 5 (บวกผู้ประสานกลุ่มฯ ไปด้วยอีก 1) เคยใช้คำว่า “ภาคประชาชน” นำหน้าด้วยความมีเกียรติมาโดยตลอด

เคยเป็นที่รู้จักมักคุ้นและเคารพนับถือในแวดวงนักกิจกรรม นิสิต นักศึกษา ที่ทำงานเพื่อสังคม ถึงขั้นนับน้องนับพี่ บางคนนับเป็นพ่อ…

แต่มาวันนี้ นอกจากคุณความดีแต่หนหลัง ที่เคยยืนหยัดต่อสู้เพื่อสร้างความเข้มแข็งให้ประชาชน จะไม่มีเหลือแล้ว

ยังร่ำๆ จะถูกเด็กถอนหงอกให้ได้อับอายกันไปเสียอีก

ไม่ว่าจะเป็น สุริยะใส กตะศิลา อดีตเลขาธิการสหพันธ์นิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทย (สนนท.) ที่ถูก “รุ่นน้อง สนนท.” รุ่นไม่เอารัฐประหาร เขียนแถลงการณ์ขอให้ลาออกจากการเป็นเลขาธิการคณะกรรมการรณรงค์เพื่อประชาธิปไตย (ครป.)

หรือไม่ก็ให้ถอนตัวจากพันธมิตรฯ เพราะเป็นกลุ่มการเมืองที่เบื้องหลังไม่สะอาด และแนวทางก็ไม่สนับสนุนความเข้มแข็งในการต่อสู้ของประชาชน

เช่นกันกับ สมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ ส.ส. จากแดนอีสาน ที่ถูก สหพันธ์นิสิตนักศึกษาภาคอีสาน (สนนอ.) ตำหนิแรงๆ กับบทบาททับซ้อนระหว่างแกนนำม็อบกับสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ที่ประชาชนเจาะจงเลือกมาให้ต่อสู้ตามระบบรัฐสภา

เนื่องจากว่าการกระทำของสมเกียรติ มีผลให้กลไกการแก้ไขปัญหาแบบรัฐสภาถูกลดความสำคัญลง และยังเท่ากับว่าคนผู้นั้นไม่ได้ศรัทธาในระบอบประชาธิปไตยอย่างแท้จริง

รวมทั้งให้สมเกียรติลาออกตามที่เคยประกาศก้อง เมื่อวันที่ 25 เมษายน 2551 ว่า หากพันธมิตรฯ มีการชุมนุมใหญ่ ตนเองจะลาออกจากสภา...

กระนั้น ทั้ง สนนท. และ สนนอ. ต่างก็ย่อมประเมินแล้วว่า เสียงสะท้อนของตนเองไม่มีทางทำให้ “ยะใส” “อ.สมเกียรติ” หรือ “แกนนำภาคประชาชน” คนอื่นๆ ที่ดื่มน้ำร่วมสาบานกับ “สนธิลิ้ม” ไปเรียบร้อยแล้ว รู้สึกสำนึกจนอยากถอนตัว

เป็นทางที่เลือกชัดเจนแล้วอย่างไม่ต้องมีใครบังคับ และไม่จำเป็นต้องอ้าง “มวลชน” อย่างที่เคยทำก่อนรัฐประหารอีก

ข้อเรียกร้องของรุ่นลูก รุ่นหลานที่รู้ว่ารุ่นพี่รุ่นพ่อไม่มีทางสนองตอบให้ได้ จึงเป็นการประกาศเป็นทางการว่า ต่อไปนี้ก็คือทางใครทางมัน

ไม่ใช่พี่ใช่น้องกัน ก็ไม่มีอาวุโสให้ต้องเกรงใจอีก

จากที่เคยเอ่ยตรงถึงรายบุคคล จึงขยับขยายมาเป็นด่าพันธมิตรฯ ทั้งกระบิ…

ด้วยขอทีว่า อย่าได้เอา “ผลประโยชน์ประชาชน” มาบังหน้า เพราะรู้กันอยู่ว่า คนได้รับผลประโยชน์ไปเต็มๆ จากการชุมนุมของพันธมิตรฯ คือใคร

และไม่ใช่แค่พันธมิตรฯ หากแต่นิสิตนักศึกษาหัวก้าวหน้ากลุ่มนี้ ยัง “ดักคอ” ไปยังแวดวงภาคประชาชนกลุ่มอื่นๆ ที่ตั้งท่าจะขนมวลชนไปร่วมสมทบกับพันธมิตรฯ โดยอ้างประเด็นการเคลื่อนไหวของชุมชนในปัญหาต่างๆ

เพราะถ้าหูไม่หนวก ตาไม่บอด และสมองไม่บื้อถึงที่สุด ก็คงตรองกันได้ว่า ม็อบพันธมิตรฯ ไม่ได้นำไปสู่การแก้ไขปัญหาประเทศ ไม่ว่าจะเล็กหรือใหญ่

ตรงกันข้าม มีแต่ก่อปัญหา และบั่นทอนความเข้มแข็งในการต่อสู้ของประชาชนไม่มีที่สิ้นสุด

หากใครจงใจหลับตาเพื่อมองไม่เห็น หรือไม่มองเบื้องหลังและเจตนาสกปรกของม็อบพันธมิตรฯ แล้วยังเอามวลชนไปร่วมในนามของคำว่า “ภาคประชาชน”

คนรุ่นใหม่กลุ่มนี้ก็จำต้องกากบาทที่หัวด้วยข้อหา “ไม่ศรัทธาในระบอบประชาธิปไตย” อย่างไม่ต้องสงสัย

ทั้งที่จะว่าไป ข้อหา “ไม่ศรัทธาในระบอบประชาธิปไตย” ไม่ใช่ข้อหาแปลกใหม่ที่คนพวกนี้จะกลัว

เพราะการชนกับรัฐบาลสมัยที่ผ่านๆ มา ก็พิสูจน์ชัดแล้วว่า คนที่เรียกตัวเองว่า “ภาคประชาชน” ส่วนมาก เชื่อหรือยึดมั่นไปทางไหน

ไม่เพียงไม่เคยปกป้อง “พื้นฐานประชาธิปไตย” ยังสร้างเงื่อนไขให้ระบอบนี้ถึงแก่ทางตันในแทบทุกทาง

แม้กระทั่งเกิดการรัฐประหาร ก็ยังปรีดายิ้มได้ว่า นี่คือทางรอด

ดังนั้น การที่นิสิตนักศึกษาหัวก้าวหน้า ต้องการประจานคนแก่หัวหงอกหัวดำด้วยข้อหาไม่ศรัทธาประชาธิปไตย เพื่อหวังให้ได้สำนึกหรือละอาย…ก็ดูท่าจะไม่เป็นผล

เพราะสำหรับคนพวกนี้ ก็ท่องคำว่า “ประชาธิปไตย” ไว้ติดปากพอๆ กับคำว่า “ประชาชน” ไปเสียแล้วนั่นแหละ