WeLoveOurKing
How to insert weloveking to you website

ทรงพระเจริญ

ขัตติยาอัด คอป แต่งนิทานโยนความผิดเสธ แดง 18 9 55

สถาบันกษัตริย์อยู่ได้ด้วยความจริง

ธงชัย วินิจจะกูล: Truth on Trial

สถาบันกษัตริย์ถึงเวลาต้องปรับตัว

ตุลาการผิดเลน !


ฟังกันให้ชัด! "นิติราษฎร์" ไขข้อข้องใจ ทุกคำถามกรณีลบล้างผลพวงรัฐประหาร





วิดีโอสอนการทำน้ำหมักป้าเช็ง SuperCheng TV ฉบับเต็ม 1.58 ชม.

VOICE NEWS

Fish




เพื่อไทย

เพื่อไทย
เพื่อ ประชาธิปไตย ขับไล่ เผด็จการ

Thursday, June 19, 2008

ชำแหละ...กองทัพมาร พวกนอกรีตทำลายศาสนา

คอลัมน์ : รายงานพิเศษ

ถึงวันนี้ “กลุ่มพันธมิตรฯ” ยังคงปักหลักอยู่ที่เชิงสะพานมัฆวานรังสรรค์อย่างที่ไม่มีทีท่าว่าจะสลายการชุมนุม ทั้งยังงัดกลยุทธ์ “ดาวกระจาย” ออกมาให้ประชาชนเอือมระอากันอย่างต่อเนื่อง ซึ่งล่าสุดยุทธวิธีที่ “5 แกนนำพันธมิตร” ใช้ต่อสู้กับรัฐบาลที่มาจากประชาธิปไตยอยู่ในชั่วโมงนี้ โดยอาศับบทเรียนจากสมรภูมิ 14 ตุลา 6 ตุลา และพฤษภาทมิฬ 35 มาเป็นแนวทาง คงจะไม่เป็นผลอีกแล้ว และมีสถานะชอง “พันธมาร” ก็ไม่ต่างกับ “คมช.2” แม้แต่น้อย

แม้ก่อนหน้านั้น “แกนนำพันธมิตร” บางคนจะแอบฝากความหวังไว้กับ “กองทัพภิวัตน์” ซึ่งมันมิอาจเป็นจริงได้ในเวลานี้ เพราะผู้นำกองทุนประเมินว่า ยังฝากผีฝากไข้กับ “สมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี” ได้ กลุ่มพันธมิตรจึงต้องหวังพึ่ง “ตุลาการภิวัตน์” สถานเดียว

ปัจจัยภายในอีกอย่างหนึ่งที่ทำให้เกิดปรากฏการณ์เมืองพันธมิตร บนถนนราชดำเนิน ตรงเชิงสะพานที่มีมาอย่างยืดเยื้อยาวนานคือ ขุมพลังมวลชน ที่มาจากสองสายหลัก สายแรกเป็น “กลุ่มแฟนพันธุ์แท้โกตั๊บ” ซึ่งเป็นมวลชนการเมืองสายพันธุ์ใหม่ และมีลักษณะคล้ายสมาชิกองค์กรใดองค์กรหนึ่งที่บูชาลัทธิตัวบุคคล

อีกสายหนึ่งมาจาก “สันติอโศก” นี่ถึงกับเป็น “กองกำลังทหารราบ” ของกองทัพพันธมิตร ซึ่งตั้งชื่อมูลนิธิว่า “กองทัพธรรม” แต่มีนักวิชาการบางท่านเรียกว่า “มูลนิธิกองทัพมาร” โดยมี พล.ต.จำลอง ศรีเมือง เป็นประธาน ที่ใช้อาวุธหนักประเภทปืนใหญ่ยิงถล่มใส่รัฐบาลไม่หยุด อาวุธประเภทนี้คงหนีไม่พ้นผลงานของ ASTV ที่กระหน่ารัฐบาลไม่ละเว้น

ซึ่งการรวมกลุ่มของ “กองทัพมาร” ที่มีนามว่า “สันติอโศก” ที่กล่าวอ้างทำตัวเสมือนพระ แต่กลับกระโดดขึ้นเวทีร่วมกับพันธมารเพื่อโจมตีขับไล่รัฐบาล นับเป็นตัวอย่างที่ไม่เหมาะสมขนานแท้

อีกทั้งยังมี “โพธิรักษ์” นายรักษ์ รักษ์พงษ์ กระโดดเข้าร่วมเวที เพื่อทำการขับไล่รัฐบาลที่มาจากประชาธิปไตย จนทำให้สื่อต่างประเทศต้องเข้าใจผิดไปตาม ๆ กัน หลงเข้าใจว่าพฤติกรรมของพระที่ “ศาสนิกชน” นับถือเข้าร่วมขบวนการด้วยหรือ จนเป็นที่ชัดเจนแล้วว่าสถาบันพระพุทธศาสนาต้องหมองมัว ด้วยกิเลสตัญหาของกลุ่มบุคคลที่ทำเพื่อผลประโยชน์ของตัวเอง

และบนจอเอเอสทีวี ของ สนธิ ลิ้มทองกุล ที่ถ่ายทอดสดการชุมนุมของกลุ่มคนผู้ขับไล่รัฐบาล ได้แพร่ภาพ โพธิรักษ์ เจ้าสำนักสันติอโศก พูดเรื่องธรรมะของพระพุทธเจ้า แล้วก็ตัดเข้าภาพโฆษณาของ เบียร์ช้าง ที่ได้หันมาเป็นสปอนเซอร์ใหญ่ให้กับสนธิแล้ว

กระหน่ำสปอตโฆษณาชิ้นนี้อยู่หลายรอบ สลับกับการพูดธรรมะของโพธิรักษ์ จนทำให้บรรยากาศแห่งเพลงโลกนี้คือละครผุดพรายขึ้นมา การที่เบียร์ช้างเข้าตลาดหุ้นไม่ได้ในช่วงนั้นก็เพราะ โพธิรักษ์-สันติอโศก-จำลอง ศรีเมือง ขัดขวางเอาไว้ โดยมีคนที่แพ้เกมการซื้อหุ้นสนามกอล์ฟราชพฤกษ์ เป็นสปอนเซอร์

และหากจะย้อนไปดูก้าวย่างของ “สันติอโศก” ก็จะเห็นว่าไม่ได้เพิ่งออกมาแสดงบทบาททางการเมืองในฐานะ “สมุนจำลอง” และทำตัวเลียนแบบสงฆ์จนเป็นที่กังวลของสังคมเป็นหนแรก

แต่หากจะย้อนดูตั้งแต่ปี 2539 เป็นต้นมา สันติอโศก และโพธิรักษ์ ก็เคยต้องคดีอาญามาแล้วนับไม่ถ้วน โดยเมื่อปี 2539 พนักงานอัยการกองคดี แขวงพระนครเหนือ ได้เป็นโจทก์ยื่นฟ้องนายรักษ์ รักษ์พงษ์ หรือพระโพธิรักษ์ กับพวก รวม 80 คน เป็นจำเลยในความผิดฐานเป็นพระภิกษุล่วงละเมิดพระธรรมวินัยเป็นอาจิณ และแต่งกายหรือใช้เครื่องหมายที่แสดงว่าเป็นพระภิกษุ รวม 2 คดี ที่ศาลแขวงพระนครเหนือได้พิพากษาโทษหลายกระทง แต่ก็ยังไม่เข็ดยังออกมาเคลื่อนไหวอีก โดยไม่ลด ลา วา ศอกง่าย ๆ

ซึ่งบุคคลผู้นี้ได้เข้าร่วมกับ พล.ต.จำลอง ศรีเมือง แกนนำกลุ่มพันธมิตรฯ ด้วยการแต่งกายในชุดม่อฮ่อม ออกมาความเคลื่อนไหวอีกครั้งในปี 2549

การกระทำของสันติอโศกคร้งนั้นได้ตกเป็นเป่าการวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวาง รวมทั้งการนำเสนอข่าวคราวความไม่เหมาะสมของสื่อหลายฉบับ

อย่างเช่นหนังสือพิมพ์สยามธุรกิจ ฉบับที่ 669 วันที่ 8 – 10 มีนาคม 2549 บอกว่า จับตาศึกพระ...หลังศึกม็อบเช็กบิล สันติอโศก

มีเนื้อคงวามว่า “พลันที่มหาห้าขัน “พล.ต.จำลอง ศรีเมือง”ใช้อนุสรณ์สถาน 14 ตุลาคมประกาศจุดยืน “ไม่เอาทักษิณ” ส่งผลให้สถานการณ์ที่ตกเป็นรองของขบวนการพันธมิตรกู้ชาติภายใต้ร่มเงของ “สนธิ ลิ้มทองกุล” พลิกกลับมาเป็นต่อโดยทันที เพราะการเข้ามาร่วมเป็นพันธมิตรของ พล.ต.จำลอง มิใช่แบกภาพความสำเร็จขับไล่ใครคัดค้านประเด็นไหนเกิดมรรคผลทุกครา แต่เป็นที่รับรู้กันโดยทั่วไปว่า การขับเคลื่อนแต่ละครั้งนั้นย่อมมีกองทัพ “สันติอโศก” สนับสนุน ด้านหนังสือพิมพ์เดลินิวส์ ฉบับที่ 20,599 วันอังคารที่ 7 มีนาคม 2549 มีการลงรูปในรายงานหน้า 2 ช่วงการบิณฑบาต พร้อมมีคนก้มกราบ”

ขณะที่หนังสือพิมพ์ฉบับเดียวกันในวันอาทิตย์ที่ 9 เมษายน 2549 เนื้อข่าวบอกว่า แจ้งจับโพธิรักษ์เลียนแบบสงฆ์ ซึ่งผศ.เสถียร วิพรมหา แกนนำเคลือข่ายชาวพุทธ เข้าแจ้งความเพื่อให้ดำเนินคดีกับกลุ่มบุคคลแห่งสำนักสันติอโศก นำโดยสมณะโพธิรักษ์ โพธิรกฺขิโต ข้อหาแต่งกายหรือใช้เครื่องหมายที่แสดงว่าเป็นภิกษุ สามเณร โดยมิชอบ เพื่อให้บุคคลอื่นเชื่อว่าตนเป็นบุคคลเช่นว่านั้น

จากกรณีที่ทั้งหมดออกมาเคลื่อนไหวขับไล่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ให้ลาออกจากตำแหน่ง ที่ท้องสนามหลวง ซึ่งเป็นพฤติกรรมขัดต่อกิจวัตรและพระธรรมวินัยของพระภิกษุสงฆ์ไทย และนายเสถียรได้กล่าวว่าในอดีตคนพวกนี้เคยถูกประกาศนียกรรมจากคณะสงฆ์มาแล้ว และถูกศาลชั้นต้นตัดสินให้มีโทษจำคุก 6 เดือนเมื่อปี 2532 แต่ทางกลุ่มดังกล่าวก็มากระทำการลักษณะเช่นนี้อีก จึงอยากขอให้ทั้งหมดยุติการกระทำนี้ โดยขอให้ทางพนักงานสอบสวนดำเนินการทางกฎหมายตามประมวลกฏหมายอาญามาตรา 208

ซึ่งข่าวเดียวกัน หนังสือพิมพ์เดลินิวส์ เห็นว่าไม่มีใครสนับสนุนให้พระออกมาร่วมชุมนุมแต่อย่างใด เนื่องจากพระคือกลุ่มที่ประชาชนนับถือและให้ความเคารพ แต่พระโพธิรักษ์บวชเป็นพระแต่ไม่ปฎิบัติตามกฎของสง์ และฝ่าฝืนไม่เปล่งวาจาสึกตามคำบัญชาของสมเด็จพระสังฆราช ทั้งที่ศาลสั่งจำคุกตั้ง 72 เดือนและพวกอีก 79 คน 3 เดือน

และสาเหตุที่ทำให้โพธิรักษ์ไฟเขียวให้ชาวสันติอโศกเข้าร่วมม็อบกับพันธมิตรฯ เพราะพล.ต.จำลอง จะเป็นผู้นำกองทัพธรรมฯและสมาชิกสันติอโศกร่วมชุมนุม ทั้งนี้ยังบอกว่าสำนักสันติอโศกมีความเป็นประชาธิปไตย ไม่ได้มีการบีบบังคับสมาชิกให้ไปร่วมชุมนุม อีกทั้งยังมีการไปปรึกษาหารือกับ พล.ต.จำลองหลายครั้ง และมีความเห็นไปในทิศทางเดียวกัน แต่ในทางตรงกันข้ามพระพิศาลธรรมพาที หรือ พระพยอม กัลยาโณ กล่าวว่า ทุกครั้งที่มีการชุมนุมมีมหาจำลองที่ไหนก็ย่อมมีสันติอโศก และไม่ใช่เป็นครั้งแรกทีกลุ่มสันติอโศกออกมาเคลื่อนไหว และตอนนี้สันติอโศกไม่เกี่ยวกับมหาเถรสมาคม

นอกจากนี้ หนังสือพิมพ์มติชนฉบับที่ 10209 ประจำวันอังคารที่ 21 กุมภาพนธ์ 2549 ก็เสนอเนื้อข่าวว่า “โพธิรักษ์”ไฟเขียวชาวสันติอโศกร่วมม็อบ ซึ่งสมณะโพธิรักษ์ ผู้ก่อตั้งสันติอโศก ได้กล่าวไว้ว่า สำนักสันติอโศกเป็นประชาธิปไตย ไม่ได้มีการบีบบังคับสมาชิกให้ไปร่วมชุมนุมดังกล่าว และไม่สามารถบอกได้ว่าจะมีสมาชิกไปร่วมงานกี่คน ใครอยากไปก็ไปไม่อยากไปก็ไม่ต้องไป หรือใครไปฟังการปราศรัยในวันนั้นแล้วไม่ชอบใจ ไม่อยากไปอีกก็ไม่เป็นไร ให้สิทธิในความคิดของคนทุกๆคน หรือหากใครไปสนามหลวงไม่ถูกให้มารวมที่สันติอโศกเพื่อไปพร้อมกัน ซึ่งจะมีการเริ่มชุมนุมในวันที่ 25 กุมภาพันธ์ นี้

และสมณะจันทร์แห่งสันติอโศก ยังบอกว่า เมื่อ พล.ต.จำลองมาเป็นผู้นำให้กับทางกลุ่ม ก็จะทำให้สันติอโศกเกิดกำลังใจขึ้นมาอีกครั้ง เพราะ พล.ต.จำลองมีแนวทางการปฏิบัติธรรมเสมอต้นเสมอปลาย และเป็นต้นแบบของชาวสันติอโศกอีกด้วย และนี่คือสาเหตุที่กลุ่มสันติอโศกเข้าร่วมชุมนุมกับกลุ่มพันธมารเนื่องจากมีความคิดเช่นเดียวกัน

การที่เถรสมาคมไม่ยอมรับเพราะไปค้านกระแสหลักในการปฏิบัติกิจสงฆ์ ไม่ปฏิบัติธรรมตามคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า กลับไปเข้าร่วมชุมนุมประท้วงขับไล่รัฐบาล ซึ่งเป็นพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมสำหรับพระภิกษุสงฆ์ จากนั้นเกิดความกำเริบออกมาตั้งสำนักใหม่เป็นสันติอโศก ด้วยสาเหตุที่ว่าทำงานไม่บรรลุอย่างที่ตั้งใจไว้จึงประกาศแยกออกจากเถรสมาคมตั้งแต่ ปี พ.ศ.2518 จากนั้นก็มีการขยายสาขาสันติอโศกไปตามจังหวัดต่าง ๆ เพื่อให้ลัทธิจำลองกึงก้อง อยู่ยงคงกะพันธ์

เรามักได้ยินเรื่องราวของพระสงฆ์ประพฤติผิดศีลร้ายแรงจนถึงขั้นถูกจับสึก พระที่ถูกจับสึก เรียกว่า “ปาราชิก” ปาราชิกเป็นต้นพระวินัยในพระพุทธศาสนา พระที่ต้องปาราชิกแล้ว ห้ามบวชอีก ตัวอย่าง สันติอโศก หรือโพธิรักษ์ บวชอีกไม่ได้ แต่ที่บวชอยู่ในปัจจุบันนี้ บวชเอาเอง ตั้งชื่อตัวเองว่า สมณะ แตกต่างจากพระ แยกตัวเป็นอิสระไม่ขึ้นกับคณะสงฆ์ไทย โดยอ้างสิทธิเสรีภาพในรัฐธรรมนูญ ทำให้คณะสงฆ์ทำอะไรไม่ได้ ถึงจะทำอะไรไม่ได้ ก็ปาราชิกอยู่ดี

พระที่ปาราชิกมีอยู่ 2 ประเภท ประเภทที่หนึ่ง มีคนรู้เห็น หนีความผิดไม่พ้นถูกจับสึก ถ้าไม่ยอมสึกโดยดี จะถูกตำรวจจัดการให้สึกออกจากพระ และอีกประเภทหนึ่ง ปาราชิกเงียบ ไม่มีใครรู้เห็น ห่มผ้าเหลือง เป็นพระให้ญาติโยมกราบไหว้ ต้มตุ๋นญาติโยมไปวันๆ เสมือนดัง “โพธิรักษ์” ในกลุ่มสันติอโศก แต่คนที่เรียกตัวเองว่า สมณะ กระทำเยี่ยงนี้ นี่หรือรูปแบบของพระพุทธเจ้า มันเป็นคำถามในพระพุทธศาสนา

รู้หรือไม่ว่ากล้องต่างประเทศเขาจับภาพพวกที่เรียกตัวเองว่าสมณะเดินเรียงแถวรับบิณฑบาต ขับไล่ทักษิณ ชินวัตร อย่างมีสง่า ทำประหนึ่งเป็นความชอบธรรมยังไงยังงั้น

เห็นแล้ว แสนจะเสียใจ พระพุทธศาสนาเป็นอย่างนี้ไปได้อย่างไร

แน่นอนที่ “พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร” ไม่เป็นที่พอใจของผู้คนในประเทศ แต่นั้นก็เป็นเรื่องของฝ่ายญาติโยมเพราะพวกญาติโยมเขาดื่มเหล้า เคล้านารี มีโกรธมีแค้น มีชิงชัง และไล่ทุบไล่ตีกันไม่เว้นแต่ละวัน

แล้ว สมณะ (พระ) มาร่วมไล่ทุบตีนี้มันเหมือนเปรตกลับชาติมาเกิดแท้ ๆ (คำว่าเปรตไม่ใช่คำรุนแรง เพราะคำว่าเปรตนั้นมีอยู่ในพระไตรปิฎก)

ต่อมามีกลุ่ม “กองทัพธรรม” นำโดย “พล.ต.จำลอง ศรีเมือง” และ หัวหน้าสำนักสันติอโศก เรื่องนี้ ถ้า พล.ต.จำลอง นำทัพก็จะไม่แปลกอะไร เพราะ พล.ต.จำลอง ไม่ใช่นักบวช

แต่คนชื่อ “โพธิรักษ์” ถึงแม้จะไม่ได้เป็นพระตามพระบัญญัติในพระพุทธศาสนา แต่ก็ได้อ้างว่าตนเป็น สมณะ ได้ปฏิบัติตนเยี่ยงพระ มีการแสดงออกตลอดปี หลายสิบปี โดยมีสถานีวิทยุและโทรทัศน์ เผยแพร่หลักการของกลุ่มนี้ ภายใต้นามว่า สันติอโศก การกระทำของกลุ่มนี้

แต่อย่างไรก็ดีในวันนี้ “สันติอโศก” ได้ออกมาแสดงบทบาทอีกครั้ง และเป็นกระแสไปทั่วทั้งในและต่างประเทศ ร่วมกับแก๊งพันธมิตรฯ ที่ออกมาปิดถนนสร้างความเดือดร้อนรำคาญขับไล่รัฐบาล และกำลังริอ่านจะบุกยึดทำเนียบรัฐบาล อันเป็นศูนย์กลางของการปกครองตามระบอบประชาธิปไตย

ถึงวันนี้ประชาชนคงรู้เช่นเห็นชาติกันหมดแล้วว่าแต่ละคนที่ออกมาร่วมกระบวนการชุมนุมเคลื่อนไหว แต่ละคนออกมาด้วยเหตุผลใด ออกมาหาผลประโยชน์ให้ตัวเองอย่างไรกันบ้าง

แน่นอนว่าคนทำผิดกฎหมายสุดท้ายก็จะต้องมีบทลงโทษ คนที่ทำประชาชนเดือดร้อนรำคาญก็ย่อมได้รับเสียงก่นด่า สาปแช่ง และแน่นอนว่าพวกที่เอาของสูงมาหากิน เอามาบังหน้าย่อมหนีไม่พ้นความวิบัติฉิบหาย

นรกจะต้องกินกบาลแน่นอน...!!