ที่มา เดลินิวส์
พลันที่ “ครม.อภิสิทธิ์ 1” มีมติเมื่อ วันที่ 13 ม.ค. 2552 อนุมัติรายละเอียดงบประมาณ รายจ่ายเพิ่มเติม ในปีงบประมาณ 2552 วงเงิน 115,000 ล้านบาท เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจ โดยเงินส่วนใหญ่เป็น การอัดฉีด เงินให้ประชาชนกลุ่มต่าง ๆ โดยตรง เป็นโครงการที่เป็นการลงทุนและงบสำรองจ่ายกรณีฉุกเฉินไม่ถึงหมื่นล้านบาท ก็ได้มี เสียงวิพากษ์วิจารณ์ จากผู้คนหลายฝ่ายค่อนข้างมาก
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง นโยบายแจกเบี้ยค่าครองชีพให้แก่ประชาชนและบุคลากรของรัฐรายละ 2,000 บาท นั้น ถูกวิจารณ์มากที่สุด บางคนถึงกับเรียกว่านโยบายนี้เป็นนโยบายของ “ซานต้ามาร์ค” และเป็น นโยบายหาเสียง ของพรรค ประชาธิปัตย์ และพรรคร่วมรัฐบาลโดยแท้
และผู้ที่วิพากษ์วิจารณ์แรงที่สุดคือ ม.ร.ว. ปรีดิยาธร เทวกุล หรือ “หม่อมอุ๋ย” อดีตรองนายกรัฐมนตรี และ รมว.คลัง
“หม่อมอุ๋ย” ให้สัมภาษณ์ในรายการเจาะลึกทั่วไทย อินไซด์ไทยแลนด์ ทางสถานีวิทยุเอฟ เอ็ม 98.0 เมกะเฮิรตซ์ เกี่ยวกับการแจกเงิน 9 ล้านคน คนละ 2,000 บาทไว้ว่า
....ผมนึกไม่ออก ทำไมคิดได้แค่นี้ ไม่อยากจะบอกว่าจบจากมหาวิทยาลัยออกซฟอร์ด หรือเคมบริดจ์จะคิดได้เท่านี้ เพราะงบ 1.8 หมื่นล้านบาทจะหายไปเลย สหรัฐอเมริกาเคยทำในสมัยรัฐบาล จอร์จ ดับเบิลยู บุช เคยใช้มาตรการนี้เมื่อเดือน พ.ค. 2551 ที่ผ่านมา โดยคืนภาษี ให้ครอบครัวละ 1,800 ล้านเหรียญสหรัฐ สามารถ ดึงเศรษฐกิจขึ้นมาได้เพียง 2 เดือน จากนั้นเศรษฐกิจก็ตกลงไปอีก.....
ผู้ที่เบรกนักวิจารณ์แผนกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล “อภิสิทธิ์ 1” และดูจะ ให้กำลังใจ มากเป็นพิเศษคือ “ดร.ศุภชัย พานิชภักดิ์”
“ดร.ศุภชัย” เลขาธิการประชุมสหประชาชาติว่าด้วยการค้าและการพัฒนา (อังค์ถัด) ได้กล่าวไว้ว่า .....ทุกประเทศต้องเร่งแก้ปัญหาผ่านการกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยวิธีการต่าง ๆ ซึ่งขณะนี้ยังไม่มีใครทราบว่า วิธีการที่ดีที่สุดและถูกต้องที่สุดคืออะไร เนื่องจากขณะนี้การแก้ไขปัญหาของแต่ละประเทศยังไม่มีความชัดเจน...
...อย่าถามว่าอะไรดีหรือไม่ ตอนนี้ไม่มีใครรู้นโยบายเศรษฐกิจทุกวันนี้ ทุกคนต้องเรียนรู้ใหม่หมด แต่ที่ผมมองเรื่องการลงทุน ถ้าใหญ่เกินไปอาจเริ่มได้ช้าและส่งผลต่อเศรษฐกิจช้า อยาก ให้เน้นการลงทุนที่ปรับตัวได้และให้ผลเรื่อย ๆ ตอนนี้ใครก็ตอบไม่ได้ว่ากระตุ้นตรงไหนดีที่สุด...
เมื่อ “หม่อมอุ๋ย” พูดถึงว่าการจ่ายเงินให้ประชาชนรายละ 2,000 บาท ไม่น่า เป็นไอเดีย ของคนจบมหาวิทยาลัยออกซฟอร์ด ตอนแรก นึกว่านายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี จะ โกรธฟัดเฟียด เพราะเล่นถึงมหาวิทยาลัยที่เรียน
แต่ ต้องชม ว่ามาคราวนี้นายอภิสิทธิ์ นิ่ง และ ตอบโต้ได้ดี โดยบอกว่า “ได้คิดดีแล้ว” เป็นเรื่องที่แล้วแต่ มุมมองของแต่ละคน แต่ยืนยันว่าได้ติดตามการกระตุ้นเศรษฐกิจทั่วโลก และติดตามข่าวสารการวิเคราะห์ ซึ่ง ทุกแห่งมองตรงกันว่า ไม่มีอะไรจะดีกว่าการเพิ่มกำลังซื้อให้ประชาชน เพราะเป็นวิธีช่วยภาคธุรกิจ โดยไม่ต้องบิดเบือนกลไกของตลาด และจบลงด้วย “ดีกว่าไม่มี”
แม้กระทั่ง นายกรณ์ จาติกวณิช รมว. คลัง และ นายกอร์ปศักดิ์ สภาวสุ รองนายกรัฐมนตรี ก็ตอบโต้ด้วยการควบคุมอารมณ์ที่ดี
และนี่คือสิ่งที่เราอยากจะเห็นในบ้านเมืองของเรา
นั่นคือ ทุกสิ่งทุกอย่างควรจะดำเนินไปด้วยคำว่า “เหตุและผล” ใครจะวิจารณ์อะไร รัฐบาลก็ ตอบโต้ไปด้วย “เหตุและผล” ไม่ใช่ยิงอารมณ์เข้าใส่ โดยคิดว่า ตัวนั้นเป็นรัฐบาล และเป็นผู้ยิ่งใหญ่
“บุคคลสาธารณะ” โดยเฉพาะอย่างยิ่งนายกรัฐมนตรีด้วยแล้ว ต้องมองว่า คำวิพากษ์วิจารณ์ ไม่ว่าจะมาจากไหน เป็นสิ่งที่ดี ควรเก็บมาพินิจพิเคราะห์ว่า อะไรควรฟัง และ อะไรไม่ควรฟัง และคำวิพากษ์วิจารณ์เป็น เครื่องเตือนสติ ที่ดีที่สุด สำหรับคนปกครองประเทศ ถ้าปราศจากคำวิพากษ์วิจารณ์ สังคมนั้นไม่ใช่สังคมประชาธิปไตย
การที่นายอภิสิทธิ์นิ่ง การที่นายกรณ์นิ่ง และการที่นายกอร์ปศักดิ์นิ่ง ถือได้ว่าเป็น การสอบผ่านขั้นแรก ของรัฐบาลชุดนี้ ถ้า สามารถรักษา ความนิ่ง ไว้ได้เช่นนี้ตลอดไป เชื่อได้ว่าการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจของชาติ จะไม่ยาก เลย
งานนี้จึงเรียกได้ว่า “หม่อมอุ๋ย” เล่นแรง “ศุภชัย” ยื่นมือเข้ามาช่วย และ “อภิสิทธิ์” นิ่งดี ทุกอย่างจึงจบด้วยความสวยงาม ผลงานจะเป็น เครื่องพิสูจน์ว่า “ออกซฟอร์ด” แน่จริง หรือไม่?.
อนุภพ