ก็มีความสุขกันทั่วหน้านะครับสำหรับคนที่ใส่เสื้อสีแดงที่พร้อมใจกันไปรวมตัวแสดงพลังที่ สนามกีฬารัชมังคลากันจนเต็มสนาม แปรสภาพของสนามกีฬาขนาดใหญ่ให้คลาคล้ำไปด้วยคนใส่เสื้อสีแดง ผมเรียกตามความเข้าใจของผมเองว่า เป็น "กะทะทองแดง" เพราะสภาพของสนามกีฬามันเหมือนกะทะใบใหญ่ เป็นกะทะทองแดงที่ต้มเผด็จการอำมาตยาธิปไตยให้ร้อนรนดิ้นทุรนทุรายกันไปทั่วหน้า
ตัวผมเองก็แบกสังขารออกจากบ้านไปกับคุณแมวอ้วนอ้วนตั้งแต่ 9 โมงเช้า พอดีผมเป็นไข้หวัด ตั้งแต่วันศุกร์นอนซมมาวันเต็มๆ แล้ว แต่วันนี้เป็นวันแสดงพลังต่อต้านรัฐประหาร ผมเลยต้องไปนั่งจับไข้ในสนามตั้งแต่เที่ยงจนงานเลิก เป็นสุขใจจริงๆ กับการเห็นคนมาจำนวนมากขนาดนี้
ที่จริงสนามรัชมังคลา ตามวิกิพีเดียเขาบอกไว้ว่า มีเก้าอี้นั่ง 49,749 ที่นั่ง พื้นที่ในสนามผมคำนวนพื้นที่จาก Google Earth ได้ประมาณ 12.375 ไร่ หรือ 19,800 ตารางเมตร ซึ่งหากคิดจำนวนคน 2.5 คนต่อตาราเมตร ก็จะได้ประมาณ 40,000-50,000 คน จากภาพถ่ายต่าง ๆ ตอนช่วงที่มีคนมากที่สุดคือ ประมาณ 2 ทุ่มครึ่งขึ้นไป ช่วงที่ท่านายกฯทักษิณ โพนอินเข้ามา จะเห็นได้ว่าคนเต็มสนาม และแน่นด้านล่าง (ยกเว้นด้านหลังเวที) ดังนั้นคนในสนามรัชมังคลาครั้งนี้น่าจะอยู่ที่ระดับ 80,000-90,000 คน
แต่นอกสนามก็มีคนจำนวนมากอยู่ครับ เพราะหลังทุ่มครึ่งผมก็ออกมาด้านนอก เพราะหิวข้าว ก็เลยนั่งดูที่จอโปรเจ็กเตอร์ด้านนอก ซึ่งมีหลายจอและก็แน่นไปหมด ดังนั้นผมประมาณได้ว่าจำนวนคนที่ไป เกินแสนคนขึ้นไปครับ
จุดประสงค์หลักของการชุมนุมครั้งนี้คือ "การป้องปรามการทำรัฐประหาร" ครับ จำนวนคน ใครจะใส่สีตีไข่ว่าเกณฑ์มา จ้างมาอย่างไร ผมว่าทหารและผู้มีอำนาจทั้งหลายจะทราบดีกว่าคนอื่นว่าเป็นของจริง หรือเป็นการจัดฉาก เพราะทหารก็มีหน่วยข่าวกรองอยู่แล้ว น่าจะรู้ดีกว่าคนอื่น หากใครกล้าทำรัฐประหารอีก ก็คงต้องเจอกับประชาชน เลือดสีแดงต่อต้านอย่างถึงพริกถึงขิงแน่นอน
การชุมนุมเมื่อวาน ส่งผลทางการเมืองค่อนข้างรุนแรง เพราะเป็นการบอกให้รู้ว่า หากมีใครต้องการใช้อำนาจนอกระบบเปลี่ยนแปลงทางการเมืองจะได้รับการต่อต้านอย่างหนัก ซึ่งเป็นการบีบให้การแก้ไขปัญหาทางการเมืองต่อไปนี้ จะต้องดำเนินการโดยวิธีการทางรัฐสภาเท่านั้น ซึ่งนั่นก็คือ ต้องเปลี่ยนแปลงด้วย "เสียงข้างมาก" เท่านั้น การกดดันจากกองทัพ และการขู่ว่าจะทำรัฐประหารไม่มีผลอีกต่อไป
การชุมนุมเมื่อวานนี้ สร้างพลังและความเข็มแข็งให้กับฝ่ายประชาธิปไตยและรัฐบาลอย่างมาก แสดงให้เห็นว่าพลังของประชาธิปไตยยังเข็มแข็งอยู่และพร้อมที่จะลุกขึ้นมาสู้กับอำนาจนอกรัฐธรรมนูญต่างๆ
เราจะเห็นว่ามีการพยายามสะกัดกั้นต่างๆ ก่อนหน้านี้หนึ่งอาทิตย์ มีการขว้างระเบิดใส่พันธมิตร ขู่ว่าจะเกิดความรุนแรง มีการโหมโฆษณาพวกเสื้อขาว รวมทั้งทิ้งไม้ตาย "รักพ่อให้อยู่กับบ้าน"
ทั้งหลายทั้งปวงไม่อาจหยุดพลังเสื้อแดงได้ เพราะเขากำลังเดือดดาลที่มีคนกำลังจะปล้นประชาธิปไตยไปจากพวกเขา
ที่ไฮไลท์ที่สุดเมื่อวานคือ การโฟนอินเข้ามาของท่านนายกฯทักษิณ ชินวัตร ก็เรียกน้ำตาของผู้คนที่รักผู้นำของเขาได้อย่างดีเยี่ยมเลยทีเดียว จากน้ำเสียงและอารมณ์ที่ผมฟังอยู่เมื่อวาน ผมบอกได้ทันทีว่า ท่านายกฯทักษิณ ตัดสินใจสู้และตีโต้กลับแล้ว ส่วนจะสู้กับอะไร หรือใคร ก็คิดกันเอาเอง
การพูดถึงกระบวนการยุติธรรมว่า เป็นกระบวนการยุติความเป็นธรรม ถือว่าเป็นการตีแสกหน้าตุลาการภิวัฒน์ได้อย่างเหมาะเม้งทีเดียว ต่อไปนี้ศาลจะตัดสินอะไรก็เป็นเรื่องของศาล แต่ในทางการเมืองแทบจะไม่มีน้ำหนักต่อนายกฯทักษิณเลย จะยึดทรัพย์ สั่งประหารชีวิต ก็ไม่มีผลอะไรในทางการเมือง มีแต่จะสร้างเงื่อนไขให้มีการตอบโต้กันรุนแรงยิ่งขึ้น
คำพูดของท่านนายกฯทักษิณที่ว่าท่านจะกลับเมืองไทยได้ก็ต้องแล้วแต่พระมหากรุณาธิคุณขององค์พระประมุขแห่งชาติ หรือขึ้นอยู่กับความต้องการของประชาชน
ผมจะไม่ตีความแล้วครับ เพราะคำพูดมันชัดแจ้งในตัวเองอยู่แล้วว่านั้นคือ เงื่อนไขทางการเมือง หรือข้อเสนอทางการเมืองของ “ผู้นำทางการเมือง” ฝ่ายประชาธิปไตย
ตอนนี้สถานะของนายกฯทักษิณ ในสายตาคนต่างชาติคือ ผู้นำทางการเมืองของฝ่ายประชาธิปไตย มีสภาพไม่แตกต่างจากอองซานซูจี หรือผู้นำทางการเมืองที่ถูกเนรเทศหรือโดนจำคุกเช่น เนลสัน แมนเดนล่า ซึ่งแม้จะโดนกระทำจากอำนาจของอีกฝ่าย แต่โดนสภาพที่แท้จริงคือ “ผู้นำของประชาชนอีกกลุ่มหนึ่ง” ซึ่งอาจเป็นกลุ่มที่ใหญ่สุดของประเทศก็ว่าได้
ผมเสนอว่าหากนายกฯทักษิณ จะต่อสู้ต่อไปให้เน้นไปที่การต่อสู้เพื่อสถาปนาความเข็มแข็งของประชาธิปไตย ต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย และกลายเป็นสัญลักษณ์ของประชาธิปไตย
ท่านนายกฯทักษิณ ควรออกมารณรงค์เพื่อประชาธิปไตยอย่างเต็มตัว ไม่ต้องไปเกรงใจใครทั้งสิ้นอีกแล้ว และออกเดินสายเพื่อให้ชาวโลกบีบไม่ให้ทหารทำการอะไรที่เป็นปฎิปักษ์กับประชาธิปไตย
ผมคิดว่าท่านนายกฯทักษิณควรจัดรายการ “ทักษิณพบกับประชาชน” ผ่านทางเว็บไซต์ เพราะเมื่อคืนผมเห็นท่านพูดออกทางวีซีอาร์แล้วผมได้คิดทันทีว่า โลกยุคนี้เทคโนโลยีก้าวไกล การจัดรายการผ่านอินเตอร์เน็ตเป็นเรืองที่ทำได้อย่างง่ายๆ โดยท่านเปิดเว็บไซต์ดีๆ ขึ้นมาสักเว็บหนึ่ง แล้วทุกเช้าวันอาทิตย์ท่านก็ออกมาจัดรายการโทรทัศน์ โดยบันทึกวิดีโอเป็นทีวีออนไลน์ก็ได้ คนก็จะดาวน์โหลด เผยแพร่ต่อไปเอง ถือว่าเป็นการรุกทางการเมืองก้าวใหญ่ทีเดียว เพราะประชาชนจะได้ฟังท่านอย่างสม่ำเสมอ และศัตรูก็คงทำอะไรท่านไม่ได้ จะบล๊อกก็คงยาก เพราะไม่ได้ผิดกฎหมายแต่อย่างใด
เมื่อวานคุณวีระ มุกสิกพงษ์ เสนอคำขึ้นมาคำหนึ่งในช่วงที่คุยกับท่านนายกฯทักษิณคือ ราชประชาสมาสัย ซึ่งแปลตามศัพท์คือ กษัตริย์และราษฎรพึ่งพาอาศัยกัน ซึ่งหากจะตีความทางการเมืองเมื่อวานก็คงตีความได้หลายอย่าง แต่ภายใต้กฎหมาย Lese Majestic ที่เข็มข้นตอนนี้ ผมไม่ตีความทางรัฐศาสตร์ก็แล้วกันนะครับ อยู่ที่ผู้มีอำนาจในบ้านเมืองทั้งหลายจะตีความเอาเอง เพราะนี่เป็นการต่อสู้ทางการเมือง สงครามทางการเมือง ไม่มีใครที่มีสถานภาพเหนือใคร มันอยู่ที่ว่า “กองกำลังใครจะมากกกว่ากัน” คนนั้นก็จะชนะ นั่นเอง
การต่อสู้ทางการเมืองต่อไปนี้ หากสามารถกันทหารออกไปได้ ก็คงเป็นการต่อสู้กันทางสภา และคงวุ่นวายไปอีกหลายปี แต่สุดท้ายมันก็ต้องมีทางออกอยู่ดี สำหรับม็อบพันธมิตร นั่นโดยสภาพทางการเมือง ไม่มีความหมายอะไรอีกต่อไปแล้ว
กลุ่ม นปช. ควรหันเป้าไปที่ ตุลาการภิวัฒน์มากกว่า ส่วนกลุ่ม “สามเกลอ” คือ พีทีวี ควรมุ่งไปในภาพกว้างคือ ปลุกเร้ามวลชนให้ต่อต้านการทำรัฐประหาร เพื่อตรึงให้ทหารขยับไม่ได้ ที่เหลือก็เป็นหน้าที่ของรัฐบาลและรัฐสภาที่จะแก้ปัญหาในระบบต่อไป และตั้งเข็มมุ่งในการแก้ไข รธน.ให้ได้ ซึ่งการแก้ไข รธน. อาจมีการประนีประนอมกันได้ในหลายจุด เพราะเมื่อเป็นการเปลี่ยนแปลงในระบบ ก็ไม่เป็นเรื่องยุ่งยากแต่ประการใด ที่จะมีการเจรจากัน
ผมอยากสรุปง่าย ๆ ว่า เมื่อวาน ชาวเสิ้อแสดง ประกาศให้พวกใจเผด็จการทั้งหลายทราบว่า “กูไม่กลัวมึง”
จาก thaifreenews