เห็นข่าวการจัดอันดับความสงบสุขของสถาบันจัดดัชนีความสงบสุขโลก (Global Peace Index) ประจำปี 2008 แล้วรู้สึกตกใจ
เพราะประเทศไทยติดอยู่ในอันดับ 118 จากทั้งหมด 140 อันดับ
ซึ่งหมายความว่าประเทศไทยมีความสงบอยู่ในอันดับรั้งท้าย
และที่สำคัญที่สุดเป็นอันดับรองบ๊วยในภูมิภาคเอเซียน คือมีความสงบสุขมากกว่าประเทศพม่า ที่ปกครองโดยรัฐบาลทหาร เป็นเผด็จการมายาวนานนับสิบปี เพียงประเทศเดียวเท่านั้น
ขณะเดียวกันบรรดาประเทศที่อยู่ในอันดับรั้งท้ายของโลกทั้งหลาย ล้วนเป็นประเทศที่มีสงครามกลางเมือง สงครามเชื้อชาติ ศาสนา ที่เรื้อรังมายาวนาน ไม่ว่าจะเป็นอิรัก โซมาเลีย ซูดาน อัฟกานิสถาน อิสราเอล ฯลฯ
เป็นประเทศที่ผู้คนในบ้านเมืองเป็นคนละพวก คนละเผ่าพันธ์อย่างชัดแจ้ง
จึงยิ่งเป็นประเด็นที่น่าตกใจที่ประเทศไทยถูกจัดรวมไว้กับประเทศเหล่านี้
ซึ่งนั่นหมายความว่าในสายตาชาวโลก ประเทศไทยได้ถูกแบ่งแยกอย่างชัดเจน ไม่สามารถเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันได้แล้วอย่างนั้นหรือเปล่า
เพราะดูตามข้อมูลประกอบการจัดอันดับแล้วพบว่า ประเทศไทย มีปัญหาภาพลักษณ์เสียทั้งในด้าน แนวโน้มการเกิดการก่อการร้าย ระดับอาชญากรรมรุนแรง แนวโน้มการเกิดการชุมนุมประท้วงที่อาจบานปลายไปสู่ความรุนแรง และการเคารพสิทธิมนุษยชน
เมื่อข้อมูลบ่งชัดเช่นนี้แล้วผู้บริหารบ้านเมือง รวมไปถึงผู้ที่มีส่วนทำให้ต่างชาติมองเมืองไทยติดลบ คงจะต้องตระหนักถึงการแก้ปัญหาร่วมกันให้มากขึ้น
ต้องคิดถึงชาติบ้านเมือง เป็นอันดับต้นก่อนจะคิดถึงแต่ประโยชน์ของตัวเอง มุ่งแต่จะทำลายล้างกันโดยไม่ได้คิดคำนึงถึงความเสียหายที่จะตามมา
อย่างเรื่องปัญหาการก่อการร้าย ก็ต้องยอมรับว่าสถานการณ์รุนแรงในภาคใต้ที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องทุกยุค ทุกสมัย ทุกรัฐบาล ไม่ว่าผู้นำจะมาจากภาคไหนก็ตามเป็นเรื่องที่มีความพยายามแก้ไขกันอย่างต่อเนื่อง
มีการปรับยุทธวิธีกันมาหลายครั้งหลายหน และส่วนหนึ่งก็มีผลจากปัจจัยภายนอกที่ยากต่อการควบคุม
แม้ว่าในวันนี้จะมีข่าวดีว่าปัญหาความรุนแรงในภาคใต้ เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน เกิดเหตุร้ายน้อยลงกว่า 500 เหตุการณ์ แต่ก็ยังไม่สามารถนิ่งนอนใจได้
หรือจะเป็นระดับอาชญากรรมรุนแรง ก็ไม่แน่ใจว่าการเก็บข้อมูลจะเป็นอย่างไร
ซึ่งอาจจะเกิดจากการที่มีคดีอาชญากรรมต่อนักท่องเที่ยวต่างชาติหลายต่อหลายครั้งก็เป็นไปได้ ในเรื่องนี้ก็เป็นหน้าที่ของรัฐบาล และเจ้าหน้าที่ตำรวจที่จะต้องเข้มงวดกวดขัน ดูแลอย่างใกล้ชิดมากขึ้น รวมไปถึงการเร่งรัดทำความเข้าใจ
ในขณะที่เรื่องของแนวโน้มการเกิดการชุมนุมประท้วงที่อาจบานปลายไปสู่ความรุนแรง และการเคารพสิทธิมนุษยชน ต่างหากกลับเป็นประเด็นที่น่ากังวล
เพราะแม้ว่าบ้านเมืองจะเกิดความเสียหายไปไม่น้อยกว่า 2 พันล้านบาท และผลกระทบต่อเนื่องทางเศรษฐกิจอีกมหาศาล นับตั้งแต่การปฏิวัติรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 เป็นต้นมา
ถึงวันนี้มีรัฐบาลที่มาจากครรลองประชาธิปไตย จากเสียงของประชาชนคนไทยทั้งประเทศแล้วก็ตาม
แต่ก็ยังคงมีรัฐธรรมนูญปี 2550 ที่ถูกร่างขึ้นในบรรยากาศเผด็จการ และมีเนื้อหาหลายส่วนกดขี่ และละเมิดสิทธิเสรีภาพประชาชน
รวมทั้งยังคงมีกลุ่มคนที่พยายามออกมาป่วนบ้านเมือง ปล่อยข่าวปฏิวัติ ดึงสถาบันเบื้องสูงลงมากล่าวอ้าง หวังสร้างความวุ่นวาย และเกิดเหตุการณ์รุนแรงขึ้นในประเทศ
และยิ่งน่าเศร้าใจเพราะหลายคนที่อยู่ทั้งในระดับบงการ และระดับเคลื่อนไหว หลายคนเป็นที่นับหน้าถือตา เคยเป็นผู้หลักผู้ใหญ่ที่มีคนให้ความเคารพนับถือ และบางคนก็ยังเคยมีบทบาทสำคัญในการต่อต้านกับอำนาจเผด็จการมาก่อน
ถึงวันที่บ้านเมืองได้รับผลกระทบไปมากมาย และขณะเดียวกันก็ถูกประจานไปทั้งโลกเช่นนี้แล้ว คนพวกนี้จะมีสำนึกรักชาติผุดขึ้นมาในหัวใจบ้างหรือไม่
หรือยังคิดแต่จะตะบี้ตะบันคัดค้าน เอาชนะคะคานรัฐบาล ด้วยเพียงมองว่าเป็นคนละพวก คนละฝ่ายเท่านั้น
คงต้องฝากเป็นคำถามถึงคนเหล่านี้ว่าแท้ที่จริงแล้วในสมอง มีความคิดอ่านอย่างไรกันแน่ ที่ออกมาเอ่ยอ้างว่ารักชาติ รักสถาบันนั้น แท้จริงแล้วเป็นอย่างนั้นหรือเปล่า
และในช่วงบั้นปลายชีวิตคนเหล่านี้ได้คิดอ่านทำประโยชน์อะไรเพื่อบ้านเมืองบ้างหรือไม่ หรือจะดีแต่ออกมาจ้องทำลาย สร้างความเสียหายให้กับประเทศชาติ
จะยอมให้ความดีที่เคยสั่งสมกลายเป็นโมฆะ หรือจะให้คนรุ่นหลังออกมา “ถอนหงอก” ว่าเป็นตัวการทำบ้านเมืองฉิบหายวายวอดอย่างนั้นหรือไง...!!
เพราะประเทศไทยติดอยู่ในอันดับ 118 จากทั้งหมด 140 อันดับ
ซึ่งหมายความว่าประเทศไทยมีความสงบอยู่ในอันดับรั้งท้าย
และที่สำคัญที่สุดเป็นอันดับรองบ๊วยในภูมิภาคเอเซียน คือมีความสงบสุขมากกว่าประเทศพม่า ที่ปกครองโดยรัฐบาลทหาร เป็นเผด็จการมายาวนานนับสิบปี เพียงประเทศเดียวเท่านั้น
ขณะเดียวกันบรรดาประเทศที่อยู่ในอันดับรั้งท้ายของโลกทั้งหลาย ล้วนเป็นประเทศที่มีสงครามกลางเมือง สงครามเชื้อชาติ ศาสนา ที่เรื้อรังมายาวนาน ไม่ว่าจะเป็นอิรัก โซมาเลีย ซูดาน อัฟกานิสถาน อิสราเอล ฯลฯ
เป็นประเทศที่ผู้คนในบ้านเมืองเป็นคนละพวก คนละเผ่าพันธ์อย่างชัดแจ้ง
จึงยิ่งเป็นประเด็นที่น่าตกใจที่ประเทศไทยถูกจัดรวมไว้กับประเทศเหล่านี้
ซึ่งนั่นหมายความว่าในสายตาชาวโลก ประเทศไทยได้ถูกแบ่งแยกอย่างชัดเจน ไม่สามารถเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันได้แล้วอย่างนั้นหรือเปล่า
เพราะดูตามข้อมูลประกอบการจัดอันดับแล้วพบว่า ประเทศไทย มีปัญหาภาพลักษณ์เสียทั้งในด้าน แนวโน้มการเกิดการก่อการร้าย ระดับอาชญากรรมรุนแรง แนวโน้มการเกิดการชุมนุมประท้วงที่อาจบานปลายไปสู่ความรุนแรง และการเคารพสิทธิมนุษยชน
เมื่อข้อมูลบ่งชัดเช่นนี้แล้วผู้บริหารบ้านเมือง รวมไปถึงผู้ที่มีส่วนทำให้ต่างชาติมองเมืองไทยติดลบ คงจะต้องตระหนักถึงการแก้ปัญหาร่วมกันให้มากขึ้น
ต้องคิดถึงชาติบ้านเมือง เป็นอันดับต้นก่อนจะคิดถึงแต่ประโยชน์ของตัวเอง มุ่งแต่จะทำลายล้างกันโดยไม่ได้คิดคำนึงถึงความเสียหายที่จะตามมา
อย่างเรื่องปัญหาการก่อการร้าย ก็ต้องยอมรับว่าสถานการณ์รุนแรงในภาคใต้ที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องทุกยุค ทุกสมัย ทุกรัฐบาล ไม่ว่าผู้นำจะมาจากภาคไหนก็ตามเป็นเรื่องที่มีความพยายามแก้ไขกันอย่างต่อเนื่อง
มีการปรับยุทธวิธีกันมาหลายครั้งหลายหน และส่วนหนึ่งก็มีผลจากปัจจัยภายนอกที่ยากต่อการควบคุม
แม้ว่าในวันนี้จะมีข่าวดีว่าปัญหาความรุนแรงในภาคใต้ เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน เกิดเหตุร้ายน้อยลงกว่า 500 เหตุการณ์ แต่ก็ยังไม่สามารถนิ่งนอนใจได้
หรือจะเป็นระดับอาชญากรรมรุนแรง ก็ไม่แน่ใจว่าการเก็บข้อมูลจะเป็นอย่างไร
ซึ่งอาจจะเกิดจากการที่มีคดีอาชญากรรมต่อนักท่องเที่ยวต่างชาติหลายต่อหลายครั้งก็เป็นไปได้ ในเรื่องนี้ก็เป็นหน้าที่ของรัฐบาล และเจ้าหน้าที่ตำรวจที่จะต้องเข้มงวดกวดขัน ดูแลอย่างใกล้ชิดมากขึ้น รวมไปถึงการเร่งรัดทำความเข้าใจ
ในขณะที่เรื่องของแนวโน้มการเกิดการชุมนุมประท้วงที่อาจบานปลายไปสู่ความรุนแรง และการเคารพสิทธิมนุษยชน ต่างหากกลับเป็นประเด็นที่น่ากังวล
เพราะแม้ว่าบ้านเมืองจะเกิดความเสียหายไปไม่น้อยกว่า 2 พันล้านบาท และผลกระทบต่อเนื่องทางเศรษฐกิจอีกมหาศาล นับตั้งแต่การปฏิวัติรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 เป็นต้นมา
ถึงวันนี้มีรัฐบาลที่มาจากครรลองประชาธิปไตย จากเสียงของประชาชนคนไทยทั้งประเทศแล้วก็ตาม
แต่ก็ยังคงมีรัฐธรรมนูญปี 2550 ที่ถูกร่างขึ้นในบรรยากาศเผด็จการ และมีเนื้อหาหลายส่วนกดขี่ และละเมิดสิทธิเสรีภาพประชาชน
รวมทั้งยังคงมีกลุ่มคนที่พยายามออกมาป่วนบ้านเมือง ปล่อยข่าวปฏิวัติ ดึงสถาบันเบื้องสูงลงมากล่าวอ้าง หวังสร้างความวุ่นวาย และเกิดเหตุการณ์รุนแรงขึ้นในประเทศ
และยิ่งน่าเศร้าใจเพราะหลายคนที่อยู่ทั้งในระดับบงการ และระดับเคลื่อนไหว หลายคนเป็นที่นับหน้าถือตา เคยเป็นผู้หลักผู้ใหญ่ที่มีคนให้ความเคารพนับถือ และบางคนก็ยังเคยมีบทบาทสำคัญในการต่อต้านกับอำนาจเผด็จการมาก่อน
ถึงวันที่บ้านเมืองได้รับผลกระทบไปมากมาย และขณะเดียวกันก็ถูกประจานไปทั้งโลกเช่นนี้แล้ว คนพวกนี้จะมีสำนึกรักชาติผุดขึ้นมาในหัวใจบ้างหรือไม่
หรือยังคิดแต่จะตะบี้ตะบันคัดค้าน เอาชนะคะคานรัฐบาล ด้วยเพียงมองว่าเป็นคนละพวก คนละฝ่ายเท่านั้น
คงต้องฝากเป็นคำถามถึงคนเหล่านี้ว่าแท้ที่จริงแล้วในสมอง มีความคิดอ่านอย่างไรกันแน่ ที่ออกมาเอ่ยอ้างว่ารักชาติ รักสถาบันนั้น แท้จริงแล้วเป็นอย่างนั้นหรือเปล่า
และในช่วงบั้นปลายชีวิตคนเหล่านี้ได้คิดอ่านทำประโยชน์อะไรเพื่อบ้านเมืองบ้างหรือไม่ หรือจะดีแต่ออกมาจ้องทำลาย สร้างความเสียหายให้กับประเทศชาติ
จะยอมให้ความดีที่เคยสั่งสมกลายเป็นโมฆะ หรือจะให้คนรุ่นหลังออกมา “ถอนหงอก” ว่าเป็นตัวการทำบ้านเมืองฉิบหายวายวอดอย่างนั้นหรือไง...!!