2 ผู้นำทหาร “ทัพเรือ-ทัพอากาศ” ติงหยุดดึงสถาบันยุ่งเกี่ยวการเมือง วอนสื่อยุติโหมกระแส เพื่อคลี่คลายปัญหา สวนทาง “บุญสร้าง” ที่ออกมาป้อง “ป๋า” ระบุการดึง พล.อ.เปรม เป็นพยานชั้นศาล กรณีมีชื่อพาดพิงในเทปดักฟังโทรศัพท์ สามารถทำได้ ต้องเคารพกฎหมายเพราะอยู่เหนือสิทธิส่วนบุคคล
ภายหลังจากมีความพยายาม “ดึงฟ้าต่ำ” โดยนำสถาบันที่เคารพของคนไทยมากล่าวอ้าง สร้างกระแสป้ายสีให้เกิดความเสียหายแก่ฟากฝั่งการเมืองฝ่ายตรงข้าม ที่เกิดมาอย่างต่อเนื่องในช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา รวมทั้งกรณีของพล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี ที่มีชื่อพาดพิงอยู่ในเทปบันทึกการดักฟังทางโทรศัพท์ ที่แกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยขับไล่เผด็จการ (นปก.) ถูกฟ้องร้องอยู่ในขณะนี้ อาจต้องถูกเบิกความมาขึ้นศาลเป็นพยานด้วยนั้น ก็กลายเป็นประเด็นวิพากษ์วิจารณ์เช่นเดียวกัน ซึ่งในส่วนของผู้นำเหล่าทัพ ต่างก็ออกมาแสดงความเป็นห่วงกันอย่างถ้วนหน้า
ล่าสุด พล.ร.อ.สถิรพันธุ์ เกยานนท์ ผู้บัญชาการทหารเรือ เป็นอีกผู้หนึ่งที่ได้ออกมาขอให้ทุกฝ่ายยุติการดึงสถาบันเบื้องสูงเข้ามาเชื่อมโยงกับปัญหาการเมือง พร้อมเรียกร้องสื่อมวลชนไม่ควรสนับสนุนนำเสนอข่าวประเภทนี้ เพื่อคลี่คลายปัญหา
ผบ.ทร. กล่าวว่า ในส่วนของกองทัพรู้สึกไม่สบายใจมากที่มีการดึงสถาบันลงมาเกี่ยวข้อง และได้กล่าวถึงเรื่องนี้หลายครั้งแล้ว เป็นสิ่งที่ไม่สมควรอย่างยิ่ง รวมทั้งกระแสข่าวการปฏิวัติที่มีออกมาอย่างต่อเนื่องนั้น ส่วนตัวก็ไม่สนับสนุนให้เกิดขึ้น และฝ่ายทหารเองก็ออกมายืนยันแล้วว่า จะไม่กระทำ
ขณะเดียวกัน นอกจาก ผบ.ทร.แล้ว พล.อ.อ.ชลิต พุกผาสุข ผู้บัญชาการทหารอากาศ ยังออกมากล่าวถึงการกล่าวหา นายจักรภพ เพ็ญแข รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ปาฐกถาเกี่ยวพันกับเบื้องสูงว่า ส่วนตัวรู้สึกกังวลใจเพราะทหารทุกคนคำนึงถึงสถาบันไม่ต้องการให้ใครมาทำเสื่อมเสีย ฉะนั้น สื่อมวลชนจะต้องนำเสนอข้อมูลข้อเท็จจริงให้ประชาชนได้เป็นผู้ตัดสิน
ส่วนกรณีที่แกนนำ นปก.จะขอให้ศาลออกหมายเรียก พล.อ.เปรม มาให้ถ้อยคำในคดีดักฟังโทรศัพท์ ตนเห็นว่า หากเป็นคดีความก็จำเป็นต้องให้ความสำคัญกับศาลถึงข้อกฎหมาย เพราะกฎหมายอยู่เหนือสิทธิส่วนบุคคล ซึ่งไม่แน่ใจว่าจะสามารถใช้วิธีการให้ปากคำตัวบุคคลหรือว่าให้เป็นเอกสารอย่างหนึ่งอย่างใดได้หรือไม่
อย่างไรก็ตาม กรณีนำ พล.อ.เปรม ขึ้นเป็นพยานในชั้นศาล ซึ่งกลายเป็นประเด็นวิพากษ์วิจารณ์ขึ้นนั้น เนื่องจากก่อนหน้านี้ คือเมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม ที่ผ่านมา นายจตุพร พรหมพันธุ์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) สัดส่วน พรรคพลังประชาชน และอดีตแกนนำ นปก.ให้สัมภาษณ์ถึงความคืบหน้าการพิจารณาคดีดักฟังโทรศัพท์ ในสมัยที่เป็นแกนนำ นปก.ที่ได้เผยแพร่บทสนทนา ซีดีบันทึกเสียงระหว่างข้าราชการระดับสูง และผู้พิพากษาอีก 2 คน ซึ่งบทสนทนาพาดพิงไปถึง พล.อ.เปรม ว่า เรื่องดังกล่าวถือเป็นความอยุติธรรม เพราะนายจักรภพ เคยไปแจ้งความดำเนินคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ กับ พล.อ.เปรม แต่หลังจากนั้นอัยการสั่งไม่ฟ้องโดยไม่มีเหตุผล
แต่ภายหลังมีนายตำรวจคนหนึ่งไปแจ้งความกลับ นายจตุพร นายจักรภพ และ นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ทำให้เหตุการณ์โอละพ่อ เปลี่ยนจากโจทก์กลายเป็นจำเลย
อย่างไรก็ตาม กรณีนี้ศาลอาญาได้นัดดูพยานในวันที่ 23 มิถุนายนนี้ ซึ่งบุคคลที่เป็นผู้สนทนา ทั้งปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ผู้พิพากษา 2 คน รวมทั้งคนที่ถูกเอ่ยถึง เช่น พล.อ.เปรม จะถูกเชิญให้เป็นพยานในชั้นศาลด้วยเช่นเดียวกัน เพราะฉะนั้นคดีนี้จะเป็นคดีประวัติศาสตร์ทางการเมือง นายจตุพร ระบุในการให้สัมภาษณ์ พร้อมกล่าวด้วยว่า
“กรณีที่นายจักรภพ กล่าวที่สมาคมนักข่าวต่างประเทศ เมื่อวันที่ 29 สิงหาคม 2550 ที่ระบุว่า อยากให้ พล.อ.เปรม ขึ้นศาลนั้น เป็นเพราะนายจักรภพ มีคดี 2 คดี ที่เกี่ยวกับการหมิ่นประมาท พล.อ.เปรม ซึ่งกรณีนี้ นายจักรภพ หมายความว่า พล.อ.เปรม ต้องขึ้นศาลในฐานะพยานหลักฐานต่อสู้คดี และเห็นว่า พล.อ.เปรม สามารถขึ้นศาลได้เหมือนคนปกติทั่วไป”
ต่อกรณีนี้เอง ทำให้ พล.อ.บุญสร้าง เนียมประดิษฐ์ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด (ผบ.สส.) ได้ออกมาให้ความเห็นเชิงปราม เมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม ที่สถานีโทรทัศน์ช่อง 11 เอ็นบีที ว่า กรณีแกนนำ นปก.พยายามดึง พล.อ.เปรม ไปขึ้นศาลในคดีดักฟังโทรศัพท์ นั้น เนื่องจาก พล.อ.เปรม เป็นประธานองคมนตรี การจะทำอะไรต้องคำนึงถึงความเหมาะสมอย่างยิ่ง โดยอย่าทำอะไรเพื่อประโยชน์ของคนบางส่วน บางกลุ่ม หรือหมู่คณะ
พร้อมสำทับว่า “อย่างทางทหารเราก็เคารพนับถือ พล.อ.เปรม มากๆ ทุกคน เพราะเราดูเรื่องทหารเป็นหลัก แต่เรื่องที่เกี่ยวกับการเมืองนั้น บางทีเราก็เข้าไม่ถึง เพราะไม่มีหน้าที่ไปทำความเข้าใจ แค่ภารกิจหลักของเราก็มากพอแล้ว แต่ถ้าดูว่า พล.อ.เปรม ซึ่งหมดหน้าที่ทหารก็ไปเป็นผู้นำประเทศ นั้น ได้สร้างประโยชน์มากมายมหาศาล ทั้งเรื่องทางทหารและการป้องกันประเทศ ซึ่งทำมาดีทั้งหมดก็ไม่ต้องไปดูเรื่องอื่นๆ อีกก็ได้”