ผมได้ยินมาว่า มี ผู้ใหญ่ในบ้านเมือง หลายท่าน ตระหนักถึงปัญหาวิกฤติการเมืองที่ชักจะถลำลึกเข้าไปทุกที ความขัดแย้งทางแนวความคิด ที่กลายเป็นเกมชิงอำนาจทางการเมือง ชนิดสุดขั้ว แบ่งเป็นฝ่ายซ้าย ฝ่ายขวา ทำท่าจะบานปลาย
พาดพิงไปถึงสถาบันเบื้องสูง
ความเคลื่อนไหวในทางลับเหล่านี้ มีทั้ง นักการเมือง และบุคคลสำคัญ พยายามที่จะยุติปัญหาโดยสันติวิธี ก่อนที่จะถึงทางตันและสะเทือนไปถึงดวงดาว
กลายเป็นวิกฤติชาติ
จากคำพูดของ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ องคมนตรี “เรื่องใดที่มีการพาดพิงถึงสถาบันก็เป็นเรื่องที่องคมนตรีจะต้องติดตาม
ขอให้ทุกฝ่ายหลีกเลี่ยงการนำสถาบันเบื้องสูงเข้าไปเกี่ยวข้อง เพราะเป็นสิ่งที่ไม่ได้ทำให้เกิดความสามัคคี และอาจสร้างความแตกแยกเกิดขึ้นได้”
ไม่บังควรอ้างเอาสถาบันมาเป็นประโยชน์กับตัวเอง
ความข้อนี้ผมว่า กลุ่มบุคคลที่คิดการใหญ่ คงได้สำนึกว่า ไม่มีใครเชื่อหรือคล้อยตามกับปฏิบัติการชิงอำนาจทางการเมืองต่อไปอีกแล้ว
ประกอบกับยังมีกระบวนการแนวคิด ลัทธิอุบาทว์ที่เหลืออยู่เพียงน้อยนิด ไม่ว่าจะเป็นนักคิดทางสังคมหรือในคราบของนักวิชาการ มองเห็นช่องทางที่จะระบายความโง่เขลาออกมา เลยช่วยผสมโรงกันใหญ่
มีการพูดถึงความเคลื่อนไหวของกองทัพ ที่ถวายสัตย์ปฏิญาณว่าจะเป็น ทหารของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและประชาชน
บนเงื่อนไขละเมิดเบื้องสูงกับการปฏิวัติ
เป็นเหตุและผลที่หลีกเลี่ยงไม่ได้
ว่ากันว่าข้อยุแหย่เพื่อให้เกิดการยึดอำนาจของ สายเหยี่ยว เกือบจะสัมฤทธิผล แต่เผอิญที่ สายพิราบ รู้ความเสียก่อนจึงเข้าไปคุยกับผู้ใหญ่ในบ้านเมืองดักหน้า อ้างเหตุผลว่า บ้านเมืองจะไปไม่รอดถ้าจะมีการรัฐประหารเกิดขึ้น ในขณะที่ประเทศกำลังเข้าเขตวิกฤติจากทุกด้าน
ทุกฝ่ายจึงถอยกลับเข้าสู่ที่ตั้ง
โดยมีเงื่อนไขว่าทุกฝ่ายจะต้องยุติบทบาทที่กำลังดำเนินการอยู่ และที่สำคัญ ยุติการพาดพิงถึงสถาบันในทุกกรณี
เลิกพาดพิงถึงมือที่มองไม่เห็น
จับอาการนายกฯ สมัคร สุนทรเวช เข้าเจ้า เข้านาย ตามใจทหาร เป็นอาการที่จะคลี่คลายสถานการณ์ ไม่ใช่ทางรอดของรัฐบาลและของคุณสมัครเท่านั้น แต่เป็นทางรอดของวิกฤติการเมือง.
หมัดเหล็ก