ในที่สุดการผลักดันแก้ไขรัฐธรรมนูญ 2550 กำลังจะเดินหน้าเข้าสู่ขั้นตอนในกระบวนการของรัฐสภา หลังจากที่ 164 ส.ส. และส.ว. เข้ายื่นญัตติแก้ไขเพิ่มเติม รธน.50 ต่อประธานรัฐสภา และเตรียมบรรจุเข้าสู่ระเบียบวาระการประชุมภายใน 15 วันนับตั้งแต่วันเปิดสมัยประชุมวิสามัญในวันที่ 9 มิถุนายนนี้ ขณะเดียวกันกับมีแรงสนับสนุนจากฝ่ายรัฐบาล โดยนายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี หนุนให้ใช้งบประมาณ 2 พันล้านบาทในการทำประชามติ เพื่อฟังเสียงเรียกร้องของประชาชน ซึ่งนับเป็นกระบวนการชอบธรรมในระบอบประชาธิปไตยนั้น
ฉับพลันมีเสียงคัดค้านต่อต้านอย่างรุนแรงจาก แกนนำกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ที่ยังนิยมในอำนาจเผด็จการประกาศเดินหน้าล่าชื่อถอดถอน ส.ส. และ ส.ว. ที่เข้าชื่อ และเตรียมนัดชุมนุมครั้งใหญ่ เพื่อคัดค้านการแก้ไข รธน.50 อย่างเต็มรูปแบบ ภายหลังได้ประชุมกำหนดท่าทีในวันนี้ (22 พ.ค.)
ขณะที่มีหลายเสียงพยายามจะออกมาเตือนสติแกนนำกลุ่มพันธมิตรฯ ให้ยุติบทบาทและหยุดเคลื่อนไหวอันจะนำไปสู่ความแตกแยกและขัดแย้งในสังคมอย่างรุนแรง นายนพรุจ วรชิตวุฒิกุล ที่ปรึกษากลุ่มการ์ดประชาธิปไตยต้านพันธมิตรป่วนเมือง เห็นว่า พันธมิตรฯ พยายามหาข้ออ้างและความชอบธรรมในการออกมาชุมนุมเคลื่อนไหวอีกครั้ง แต่ยังไม่มีเหตุสำคัญที่เหมาะสมพอ อีกทั้งสภาวการณ์ยังไม่อำนวย ประกอบนายทุนที่คอยให้การสนับสนุนกลุ่มพันธมิตรฯ คงไม่เห็นด้วย จึงส่งผลให้พันธมิตรฯ ต้องอยู่ในภาวะชะงักไม่กล้าออกมาทำอะไรมาก เนื่องจากในการชุมนุมเคลื่อนไหวต้องทำอย่างต่อเนื่อง และในแต่ละครั้งต้องใช้งบประมาณมาก ถ้าหากการชุมนุมไม่มีภาคประชาชนออกมาสนับสนุน ก็จะไม่เกิดประโยชน์กับฝ่ายพันธมิตรฯ และเสี่ยงโดยใช้เหตุ
“ประชาชนจะออกมาสนับสนุนการชุมนุมนั้น ต้องประกอบไปด้วยเห็นผลที่เหมาะสมหรือไม่ อีกทั้งต้องดูทิศทางด้านเศรษฐกิจเป็นตัวสำคัญ ถ้าหากว่าเคลื่อนไหวแล้วเกิดผลกระทบถึงความเป็นอยู่ คงไม่ใครคิดที่จะออกมาร่วมด้วยอย่างแน่นอน” นายนพรุจ กล่าว
พร้อมระบุต่อว่า กลุ่มพันธมิตรฯ ก็ทราบเงื่อนไขนี้ดีจึงประชุมหาช่องทางที่สมเหตุสมผล พร้มทัอมทั้งเห็นด้วยกับการเสนอทำประชามติแก้ รธน. 50 ตามที่นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี เสนอ เป็นเรื่องที่ดีและเหมาะสมอย่างยิ่งจะได้ข้อยุติ อีกทั้งเป็นการปิดช่องทางที่พันธมิตรฯ จะใช้อ้างเคลื่อนไหว ในส่วนทางกลุ่มการ์ดประชาธิปไตยต่อต้านพันธมิตรป่วนเมืองกำลังดำเนินการหามาตรการตอบโต้พันธมิตรฯ ด้วยเช่นกัน
ส่วนที่มีการแจ้งความดำเนินคดีกับ พล.ต.จำลอง ศรีเมืองนั้น เป็นหนังตัวอย่างในช่วงนี้ มันไม่ใช่เรื่องตลก เพราะถ้าคนใดที่พูดมาในลักษณะแบบที่เรียกร้องให้มีการปฏิวัติก็สมควรที่จะทำแบบนั้นเช่นกัน
ด้าน นายประชา ประสพดี สส.พรรคพลังประชาชน และแกนนำกลุ่มมหาประชาชนร่วมพิทักษ์ประชาธิปไตย กล่าวถึงท่าทีของกลุ่มพันธมิตรฯ ออกมาเคลื่อนไหวข่มขู่ทำให้สังคมเกิดความกังวล ทั้งนี้ ทางกลุ่มมหาประชาชนฯ ได้หารือเพื่อโต้กลับ มีมติเป็นเอกฉันท์ว่า ไม่สามารถจะปล่อยให้กลุ่มพันธมิตรฯ มากำหนดเงื่อนไขให้สังคมเกิดความตึงเครียดโดยใช้ถ้อยแถลงที่ปราศจากข้อเท็จจริง และปราศจากความสงบเรียบร้อย ทั้งนี้ การที่กลุ่ม ส.ส.ขอยื่นแก้ รธน. ถือเป็นสิทธิเสรีภาพพึงกระทำได้ อีกทั้งยังเสนอให้จัดลงประชามติ ก็เป็นเรื่องที่ดีในการหาข้อยุติอยู่แล้ว ดังนั้น ทางกลุ่มฯ จะเคลื่อนไหวครั้งใหญ่เพื่อกดดันพันธมิตรฯ ด้วยเช่นกัน
“พันธมิตรฯ ออกมาเคลื่อนไหวในลักษณะใส่ร้ายป้ายสีผู้อื่น สร้างเงื่อนไขในการปฏิวัติมาใช้สร้างสถานการณ์ ซึ่งทางกลุ่มมหาประชาชนฯ ยอมไม่ได้ จะได้ออกแถลงการณ์จัดกิจกรรมทำประชามติทั่วประเทศ เพื่อประณามและขับไล่กลุ่มพันธมิตรฯ ให้พ้นความเป็นคนไทย อีกทั้งยังไม่สำนึกในพระบรมราโชวาทให้คนไทยสามัคคีปรองดองกัน” แกนนำกลุ่มมหาประชาชน กล่าว
พร้อมระบุถึงการเคลื่อนไหวของกลุ่มมหาประชาชนฯ ไม่ได้ต้องการสร้างความไม่สงบของบ้านเมือง แต่ต้องการเรียกร้องให้ประชาชนได้ร่วมลงประชามติที่จะขับไล่และถอดถอนความเป็นคนไทยของแกนนำพันธมิตรฯ ทั้ง 5 คน และจะออกแถลงการณ์ในสัปดาห์หน้า อีกทั้งจะเปิดช่องทางให้ประชาชนทั่วประเทศช่วยกันส่งไปรษณียบัตรร่วมลงประชามติ เพราะถือว่าเป็นผู้ล้มละลายทางความคิดแล้ว
“ลองไปถามประชาชนดูแล้วกันว่าปฏิวัติแล้วประเทศชาติล่มจมหรือไม่ การปฏิวัติมาแต่ละครั้งไม่เคยเห็นมีอะไรดีขึ้นมาเลยซักอย่างเดียว การเมืองแก้ด้วยการเมืองเท่านั้น ไม่ต้องไปมั่วคิดถึงเรื่องปฏิวัติเลย วันนี้ประชาชนไม่ต้องการให้มีการปฏิวัติเกิดอย่างแน่นอน” แกนนำกลุ่มมหาประชาชน กล่าว
ขณะที่ นายพงษ์สุวรรณ สิทธิเสนา เลขาธิการสมาพันธ์นิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทย (สนนท.) กล่าวว่า เราไม่ได้ให้ความสำคัญกับคนกลุ่มนี้ มองว่าการเคลื่อนไหวของกลุ่มพันธมิตรฯ กับภาคประชาชนอาจเป็นเงื่อนไขหนึ่งที่นำไปสู่เหตุการณ์รัฐประหารอีกครั้งก็ได้ ซึ่งวิธีการก็ไม่ได้แตกต่างกับตอนที่เกิด 19 กันยายน 2549 โดยใช้ประเด็นต่างๆ ปลุกระดม เรียกร้องความสนใจ และสร้างกระแส เช่นครั้งแรกก็ใช้ประเด็นการโยกย้ายข้าราชการ ต่อมาเรื่องรัฐตำรวจ ล่าสุดก็เป็นเรื่องสถาบันพระมหากษัตริย์ ตอนนี้พันธมิตรพยายามทำทุกวิธีทางเพื่อไม่ให้รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งสามารถปฏิบัติงานได้ ส่วนตัวมองว่า การชุมนุมที่จะเกิดขึ้นคงไม่ได้รับความสนใจจากประชาชนเท่าที่ควร เห็นได้จากครั้งที่ผ่านมา ตอนนี้ประชาชนเขารู้แล้วว่าอะไรเป็นอะไร ส่วนที่มีกระแสรัฐประหารจากฝ่ายทหารนั้น ตนมองว่า สื่อโดยเฉพาะเครือผู้จัดการพยายามนำเสนอเรื่องสถาบัน เพื่อให้มีน้ำหนักและเหตุผลเพียงพอที่จะทำรัฐประหารอีกครั้ง
“การยั่วยุโดยใช้สถาบันมาเป็นเครื่องมือนำไปสู่วิกฤตทางการเมือง สื่อในเครือผู้จัดการมีความช่ำชองอยู่แล้ว เพราะหากเป็นเช่นนั้นแล้วทหารก็มีเหตุผลเพียงพอที่จะออกมาทำรัฐประหารได้ และคงเป็นกลุ่มทหารอำมาตยาธิปไตยที่มีบทบาทและเคลื่อนไหว” เลขาธิการ สนนท. กล่าว
พร้อมระบุภายหลังได้เขียนจดหมายเปิดผนึกถึง นายสุริยะใส กตะศิลา เลขาธิการคณะกรรมการรณรงค์เพื่อประชาธิปไตย (ครป.) และเป็นผู้ประสานงานกลุ่มพันธมิตรฯ ในฐานะเป็นรุ่นพี่และอดีตเลขาธิการ สนนท. ปี 2537 โดยจี้ให้ทบทวนบทบาทของตัวเอง และหันกลับมายืนข้างฝ่ายประชาธิปไตย ตอนนี้ยังไม่ได้รับการติดต่อจากนายสุริยะใส ส่วนตัวไม่ได้หวังผลจะต้องออกมาตอบโต้ แต่เป็นจดหมายจากน้องถึงพี่ที่ต้องการให้มีจิตสำนึก เนื่องจากบทบาทที่เปลี่ยนแปลงไป 15 ปีก่อน ทั้งนี้ หากจะมีบทบาทใน ครป.ก็ควรยุติบทบาทในพันธมิตร ต้องแยกให้ชัดเจน
เพื่อไทย
Thursday, May 22, 2008
ฉะซ้ำ‘สุริยะใส’ไม่สำนึก ร่วมลงชื่อขับ5พันธมาร
สนนท. ระบุหลังมีจดหมายทวงถามสำนึกประชาธิปไตย ถึง “สุริยะใส” กลับหายเงียบ แถมยังประกาศเตรียมชุมนุมเคลื่อนไหวต่อ ภาคประชาชน ออกโรงจวกหยุดได้แล้ว ชี้มวลชนเสื่อม ไร้มูลเหตุเพียงพอ ด้านกลุ่มมหาประชาชนฯ เตรียมออกแถลงการณ์ตอบโต้สัปดาห์หน้า พร้อมเดินสายปลุกกระแสประชาชนทั่วประเทศ เปิดเวทีลงมติขับไล่ 5 แกนนำพันธมาร พ้นความเป็นคนไทย