แจ้งความดำเนินคดี “มหาจำลอง” แล้ว หลังออกมาปูทางปฏิวัติ ระบุเข้าข่ายความผิดอาญาตั้งแต่มาตรา 113-116 ส่อเป็นการกระทำที่มีลักษณะเป็นกบฏ สร้างความไม่สงบสุขให้เกิดขึ้นในบ้านเมือง ชี้หมดความสง่างามจากการต่อสู้ในเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ เพราะกลับใจไปยืนข้างเผด็จการ พร้อมเรียกร้องให้ออกมาขอโทษบรรดาวีรชนเดือนพฤษภาฯ ประกาศขวางพวกต้านแก้ รธน. จี้ “จำลอง” หยุดพูดถึงปฏิวัติ “มหาจำลอง”หมดความน่านับถือ ตัวอันตรายยุยงให้เกิดปฏิวัติ ชี้ “จำลอง” ไม่เคยทำเพื่อประชาชน ฉะ “จำลอง” ไม่ศึกษารัฐธรรมนญ ฝากถาม...รับจ้างใครมาหรือเปล่า? ไล่กลับไปอ่าน รธน.ก่อนออกมาพูด ม.291 ระบุชัด ปชช.แก้ รธน.ได้ แนะ “มหา”ขอโทษวิญญาณวีรชน ต่อสู้เดือนพฤษภาถือเป็นโมฆะ ชี้ “จำลอง” หมดความสง่างาม
เมื่อบ่ายวันที่ 19 พฤษภาคม ที่ผ่านมา นายวรัญชัย โชคชนะ ตัวแทนกลุ่มพลังประชาธิปไตยต่อต้านพันธมิตรฯ ได้เดินทางไปยังกองปราบปราม เพื่อแจ้งความดำเนินคดีกับ พล.ต.จำลอง ศรีเมือง แกนนำพันธมิตรฯ ที่ออกมาชี้ช่องและขานรับการปฏิวัติรัฐประหาร
โดยนายวรัญชัย กล่าวว่าได้เดินทางเข้าไปแจ้งความเพื่อให้มีการดำเนินคดีกับ พล.ต.จำลอง ซึ่งปราศรัยที่อนุสรณ์สถานวีรชน 14 ตุลา บริเวณสี่แยกคอกวัว เมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม 2551 ว่ามีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตราที่ 113, 114, 115 และ 116 อันเนื่องมาจากเป็นการกระทำที่ยุยงส่งเสริม สมคบกันก่อการกบฏ และสร้างความปั่นป่วนไม่ให้เกิดความสงบสุข อีกทั้งยังกระทำการที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ และกระทำการด้วยวาจาอันก่อให้เกิดความสับสน ไม่สงบเรียบร้อยขึ้นในบ้านเมือง ทำให้เกิดความกระด้างกระเดื่องไม่ตรงตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ
ซึ่งจากการไปแจ้งความดำเนินคดีในเรื่องดังกล่าวนั้น ทางเจ้าหน้าที่กองปราบได้รับเรื่องไว้แล้ว เพื่อดำเนินการตรวจสอบสืบส.ว.นสอบส.ว.นข้อเท็จจริงและดำเนินการต่อไป
เมื่อถามถึงว่าหลังจากที่มีการดำเนินการแจ้งความกับทางกองปราบแล้ว จะมีการดำเนินอย่างไรต่อไปหรือไม่ นายวรัญชัย กล่าวว่า จากคำปราศรัยของ พล.ต.จำลอง ข่มขู่ในวันนั้นว่า หากรัฐบาลจะยื่นแก้ไขรัฐธรรมนูญเมื่อใด พล.ต.จำลอง จะรวบรวมนำพลังประชาชนออกมาต่อต้านการแก้ไขรัฐธรรมนูญของรัฐบาลในวันนั้นด้วย ซึ่งทางกลุ่มได้ตอบโต้ไปแล้วว่าจะออกมาเคลื่อนไหวต่อต้านพันธมิตรฯ เช่นเดียวกัน เพราะต้องการสนับสนุนให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญตามที่รัฐบาลเสนอและนี้คือสิ่งที่ทางกลุ่มจะออกมาดำเนินการในขั้นต่อไป
“ไม่ว่าใครก็ตามที่ออกมาพูดในทำนองยั่วยุว่า จะเกิดการปฏิวัติทางกลุ่มก็จะออกมาต่อต้านอีกทุกครั้งไป แต่กรณีเรื่องดังกล่าวนั้นเกิดขึ้นจากการที่ พล.ต.จำลอง พูดด้วยวาจาเพียงคนเดียวจึงต้องนำมาตราการทางกฎหมายเข้ามาช่วยอีกวิธีหนึ่ง แต่ถ้าเกิดออกมาร่วมตัวกันเพื่อให้ทหารเข้ามาปฏิวัติ หรือขัดค้านการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ตนเองในนามกลุ่มกลุ่มพลังประชาชนต่อต้านพันธมิตรฯ จะขัดขวางอย่างเต็มที่”
นายวรัญชัย กล่าวต่ออีกว่า ในฐานะที่ตนเป็นคนในเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ อยากจะบอกว่า พล.ต.จำลอง เป็นบุคคลที่ไม่น่าเชื่อถือ ไม่มีจิตสำนึกของประชาธิปไตย ไม่เคารพกติกาของประชาธิปไตย ไม่น้ำใจนักกีฬาคือใจคออยากที่จะให้พรรคประชาธิปัตย์ชนะได้เป็นรัฐบาล แต่ว่าเมื่อฝ่ายพรรคพลังประชาชนชนะแล้วเกิดยอมไม่ได้ ทั้งที่ผ่านการเลือกตั้งมา ซึ่งคนแบบนี้ควรจะเลิกมายุ่งเกี่ยวทางการเมืองได้แล้ว เหมาะที่จะกลับไปเลี้ยงหมาอย่างว่านั้นดีที่สุด
อีกทั้งไม่ควรที่ออกมาสร้างความสับสน ทำให้เกิดความความไขว้เขวทางด้านประชาธิปไตย เป็นคนที่ยังยึดติดอยู่กลับสิ่งเก่า ไม่มีการพัฒนาหรือก้าวหน้าเลย คำว่าปฏิวัติ ควรจะหมดไปได้แล้ว
ขณะเดียวกันท่าทีและการให้สัมภาษณ์ของ พล.ต.จำลอง ก็เป็นที่วิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวาง ทั้งเรื่องการปฏิวัติ และบทบาทร่วมกับกลุ่มพันธมิตรฯ ที่ประกาศขัดขวางการแก้ไขรัฐธรรมนูญของรัฐบาล
โดยในประเด็นการเปิดประเด็นปฏิวัตินั้น นายยืนหยัด ใจสมุทร ที่ปรึกษารัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ที่ผ่านมา พล.ต.จำลอง ได้เดินตามแนวคิดของตัวเองมาตลอด ส่วนตัวแล้วไม่อยากวิเคราะห์ พล.ต.จำลอง ซ้ำ เพราะที่ผ่านมาทุกคนก็ได้คิดไปแล้วว่าไม่เหมาะสม
ทั้งนี้ที่ผ่านมา พล.ต.จำลอง เคยเป็นวีรบุรุษในดวงใจตั้งแต่ช่วงพฤษภาทมิฬ เพราะเป็นผู้เคารพในหลักประชาธิปไตย อีกทั้งได้เก็บรูปของ พล.ต.จำลอง ในเหตุการณ์ช่วงนั้นพร้อมใส่กรอบเป็นอย่างดี แต่ปัจจุบัน พล.ต.จำลอง ได้เปลี่ยนจุดยืน พร้อมทั้งเป็นลูกน้องของ นายสุริยะใส กตะศิลา เลขาธิการคณะกรรมการรณรงค์เพื่อประชาธิปไตย (ครป.) เป็นผู้ขัดขวงระบอบประชาธิปไตย มีการเล่นเกมนอกสภา ป่วนการปกครองระบอบประชาธิปไตยให้วุ่นวาย ตนจึงเลิกนับถือ
ติงอย่ายึดติดกับกิเลสตัณหา
“ตั้งแต่คุณจำลองเป็นลูกน้องของคุณสุริยะใส ผมเลยเลิกนับถือ เมื่อก่อนผมมีรูปคุณจำลองช่างพฤษภาทมิฬ แล้วมีการเก็บรูปที่อยู่ตามหน้าหนังสือพิมพ์แล้วตัดออกมาเพื่อเอาไปขยายอัดกรอบวิทยาศาสตร์อย่างดี เพราะว่าบูชาคุณจำลองเป็นวีรบุรุษในดวงใจ แต่ตอนนี้จุดยืนของคุณจำลองเปลี่ยนไปเปลี่ยนมา อยากเป็นโน่นเป็นนี่ แม้กระทั่งเขาให้เป็นแกนนำ คมช. ก็ยังเอา” นายยืนหยัดกล่าว
นายยืนหยัด กล่าวอีกว่า หากตนเป็น พล.ต.จำลอง จะหยุดบทบาทของตัวเองตั้งแต่ช่วงพฤษภาทมิฬ เหมือนกับดาราได้รับรางวัลออสการ์ เพราะช่วงพฤษภาทมิฬภาพของ พล.ต.จำลอง เป็นภาพที่ส.ว.ยงาม เป็นวีรบุรุษผู้ยึดมั่นในระบอบประชาธิปไตย แต่ปัจจุบันภาพของความเป็นฮีโร่ได้ลดลงไป กลายเป็นตัวตลกทางการเมือง ทั้งนี้คนเราควรจำกัดบทบาทของตัวเอง ต้องพอใจในสิ่งงดงามที่เคยได้รับ ไม่ใช่ยึดติดกับกิเลสตัณหา มักมากในวัตถุ
เมื่อถามว่าคำพูดของ พล.ต.จำลอง ผิดต่อกฎหมายหรือไม่ นายยืนหยัด กล่าวว่า ส่วนตัวเป็นนักกฎหมาย จึงไม่อยากเอากฎหมายมาวัดการกระทำของคน เพราะกฎหมายที่แท้จริงคือเครื่องมือทำลายล้างกัน อีกทั้งการเมืองของประเทศไทยยังห่างไกลกับช่วงพฤษภาทมิฬ จึงไม่น่าจะเกิดเหตุการณ์รุนแรงถึงกับขั้นนองเลือด พร้อมกันนี้ประชาชนคงไม่เห็นคล้อยตามกับ พล.ต.จำลอง เพราะความเดือดร้อนของประชาชนรัฐบาลก็สามารถแก้ได้ คำพูดของ พล.ต.จำลอง มีผลกระทบต่อประชาชนและความรู้สึกของผู้ที่จะมาลงทุนกับไทยเป็นอย่างมาก
นายสุทิน คลังแสง ส.ส. พรรคพลังประชาชน ในฐานะรองประธานประชาสัมพันธ์แก้ไขรัฐธรรมนูญพรรคพลังประชาชน ระบุว่า พล.ต.จำลอง เป็นบุคคลอันตรายต่อประเทศชาติ ที่หนุนให้เกิดการรัฐประหาร เพราะการเคลื่อนไหวต่อต้านรัฐบาลด้วยเหตุผลที่อ้างมา ถือว่าไม่มีหลักการและเหตุผลที่ดีรองรับ เหมือนพวกเกลียดตัวกินไข่ เพราะการแก้ไขรัฐธรรมนูญ 2550 ทำตามครรลองที่ข้อกฎหมายบัญญัติไว้ และทำตามสัญญาประชาคมเพื่อให้เป็นรัฐธรรมนูญฉบับประชาชน
“เรากำลังจะแก้ไขระบอบเผด็จการ แต่การที่คุณจำลองออกมาเคลื่อนไหวเช่นนี้ แสดงว่าเป็นคนหนุนและปกป้องรัฐธรรมนูญเผด็จการ ทั้งๆ ที่รู้ว่าสังคมได้รับความบอบช้ำจากน้ำมือของเขาและพวกอย่างมากมาย เรากำลังพยายามทำให้ทุกอย่างเข้าสู่ทิศทางที่ดี ประชาชนลืมตาอ้าปาก การที่คุณจำลองประกาศที่จะเคลื่อนไหวโดยไม่สนใจประเทศ ถือว่าขาดความรับผิดชอบและเป็นบุคคลอันตรายต่อชาติบ้านเมือง ไม่เหมาะที่จะเป็นคนในสังคมประชาธิปไตย” นายสุทินกล่าว
เช่นเดียวกันกับ นายภิรมย์ พลวิเศษ ส.ส. พรรคพลังประชาชน กล่าวว่า พล.ต.จำลอง กระทำการเคลื่อนไหวทางการเมืองเพื่อตนเอง โดยพยายามเรียกร้องผลประโยชน์กลับคืน ในสมัยที่เป็นสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) โดยการต่อต้านการแก้ไขรัฐธรรมนูญ 2550 เรียกได้ว่าเป็นโมฆบุรุษอย่างแท้จริง
“มหาจำลองเป็นโมฆบุรุษที่หวังรวยทางลัด โดยการพยายามเรียกร้องอำนาจ เงินทอง ที่เคยเส.ว.ยสุขสมัยทำหน้าที่เป็น สนช. ที่ได้มาจากการรัฐประหาร ที่หลงใหลในสิทธิ อำนาจ และเงินทอง จะว่าไปแล้ว เงินเดือนที่ สนช. ได้ก็มากพอกับ ส.ส. มีกินสบาย ไม่ต้องหาเสียง ไม่เคยสัมผัสความทุกข์ร้อน หรือแก้ไขปัญหาของประชาชนเลย” นายภิรมย์กล่าว
ส่วนที่ พล.ต.จำลอง และพันธมิตรฯ ยังคงพยายามอย่างต่อเนื่องที่จะขวางการแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับปี 2550 ที่มาจากรากเหง้าเผด็จการนั้น
นายคำนวณ ชโลปถัมภ์ อดีตนายกสภาทนายความ กล่าวว่า ในทางกฎหมาย การกระทำของ พล.ต.จำลอง ส่อจะเข้าข่ายขัดขวางการทำหน้าที่บริหารงานของรัฐบาล แต่ความผิดตามมาตรา 114-115 ก็ยังไม่ชัดเจนมากนัก เนื่องจากเป็นเพียงการขมขู่ว่าจะดำเนินการ
ด้าน นายศุภชัย ใจสมุทร รองโฆษกพรรคพลังประชาชน กล่าวว่า รัฐธรรมนูญได้เขียนไว้ในมาตรา 291 อย่างชัดเจนว่า การแก้ไขรัฐธรรมนูญสามารถทำได้โดยสภา ซึ่งก็คือ ส.ส. และ ส.ว. มีสิทธิในการลงชื่อเพื่อให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญได้ตามจำนวนที่ได้มีการกำหนด
การที่ พล.ต.จำลอง ออกมาพูดในลักษณะนี้ แสดงว่าไม่ได้มีการศึกษา รธน.50 มาก่อน จึงพูดมั่วๆ ทำให้ประชาชนเกิดความสงสัย นอกจากนี้ยังมีเจตนาแอบแฝงให้ประชาชนเกิดความเข้าใจผิดอีกด้วย ตอนนี้ต้องมาดูว่า พล.ต.จำลอง มีวัตถุประสงค์อะไร เพราะตัวแกเองก็รู้ดีว่าสภา คือ ส.ส. และ ส.ว. มีสิทธิในการแก้ไข รธน. พล.ต.จำลอง กำลังบิดเบือนความจริงเพื่อให้ประชาชนเข้าใจผิดว่า ส.ส. ไม่มีสิทธิและอำนาจในการเสนอแก้ไขรัฐธรรมนูญ
พล.ต.จำลอง เป็นคนหนึ่งที่อยู่ในกลุ่มพันธมิตรฯ และมีความชัดเจนในการต่อต้านการแก้ไขรัฐธรรมนูญ พยายามจะยุยงส่งเสริมให้มีการปฏิวัติ มีพฤติกรรมที่ไม่ถูกต้อง และยุยงให้ประชาชนไม่เคารพในระบอบประชาธิปไตย
มีเจตนาและมีการกระทำที่อาจจะมีความผิดทางกฎหมายอาญา ที่ยุยงให้หมู่ประชาชนมีความกระด้างกระเดื่อง และไม่เคารพต่อการบริหารราชการของรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชน มีความผิดต่อกฎหมายความมั่นคงของประเทศ
น่าจะมีการตักเตือนของพฤติกรรมของ พล.ต.จำลอง ให้ยุติการกระทำดังกล่าวได้แล้ว การกระทำตอนนี้เป็นเพียงแค่การท้าทาย อาจจะเป็นรับแผนมาจากใครหรือเปล่า พวกมือที่มองไม่เห็น เพราะว่าก็รู้กันอยู่ว่า พล.ต.จำลอง เป็นเด็กใคร และประชาชนเขาก็รู้กันทั้งนั้น คนคนนี้ไม่เคยเคารพกฎเกณฑ์บ้านเมือง อยากให้ พล.ต.จำลอง ออกมาตอบหน่อยว่า รับจ้างใครมาหรือเปล่า
การออกมาสร้างกระแสของ พล.ต.จำลอง เพียงเพื่อไม่ต้องการให้ประเทศชาติเกิดความสงบเรียบร้อย และเป็นการออกมาต่อต้านการแก้ไขรัฐธรรมนูญ
ทางด้าน ร.ท.กุเทพ ใสกระจ่าง โฆษกพรรคพลังประชาชน กล่าวในประเด็นเดียวกันว่า พล.ต.จำลอง ออกมาพูดในฐานะคนที่ไม่รู้กฎหมายเลยว่า ในมาตรา 291 เขาได้บัญญัติไว้ว่าให้ ส.ส. สามารถลงรายชื่อเพื่อยื่นแก้ไขรัฐธรรมนูญได้ เป็นไปตามกระบวนการที่ได้มีการระบุไว้
ส.ส. และ ส.ว. มีอำนาจและสิทธิในการยื่นเรื่องแก้ไขรัฐธรรมนูญตามที่ตัวบทกฎหมายกำหนด และไม่มีความจำเป็นที่จะต้องมีการทำประชามติจากประชาชน มีการดำเนินการทุกอย่างถูกต้องแล้วอย่างนี้จะถูก พล.ต.จำลอง มาถอดถอนได้อย่างไร
ประเด็นการแก้ไขรัฐธรรมนูญไม่ใช่เรื่องที่ร้ายแรงอะไรและไม่มีประเด็นอะไรที่จะเชื่อมโยงไปสู่การเกิดรัฐประหารตามที่ พล.ต.จำลอง กล่าวอ้าง
อยากฝากให้ พล.ต.จำลอง ไปศึกษาและอ่านรัฐธรรมนูญฉบับนี้ให้เข้าใจ ก่อนที่จะออกมาพูดชี้ประเด็นอะไร เพื่อไม่ให้ประชาชนเกิดความเข้าใจผิด
ทางด้าน นายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส. จากพรรคพลังประชาชน กล่าวว่า พล.ต.จำลอง คงมีความสับสนในชีวิตของตัวเอง การแก้รัฐธรรมนูญก็ได้มีกระบวนการทำที่เป็นไปตามบทบัญญัติที่ได้กำหนดไว้ในมาตรา 291 ว่า รัฐมนตรี ส.ส. ส.ว. หรือประชาชน ตามจำนวนที่ได้มีการกำหนด มีสิทธิยื่นรายชื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญได้ เป็นการกระทำที่ถูกต้อง
การกล่าวอ้างว่า ส.ส. เป็นเสียงข้างน้อยนั้น แต่ ส.ส. ก็เป็นคนที่ประชาชนเลือกมา และก็ได้รับเสียงข้างมากจากการเลือกตั้งของประชาชน ให้พรรคพลังประชาชนและพรรคร่วมรัฐบาลมาเป็นรัฐบาลบริหารประเทศ พล.ต.จำลอง ต่างหากที่เป็นเสียงข้างน้อยที่สังกัดกลุ่มพันธมิตรฯ และอยู่ข้างเผด็จการ หากจะถอดถอนรายชื่อ ส.ส. นั้นก็ขอให้รีบยื่นได้เลย แต่อยากจะถามสักนิดว่าจะถอดถอนในข้อหาอะไร เพราะการกระทำดังกล่าวถูกต้องตามหลักของ รธน. ที่ได้มีการกำหนดไว้แล้ว
ในตอนนี้ พล.ต.จำลอง เองต่างหากที่จะถูกฟ้องร้อง เพราะว่ามีการขัดขวางการทำงานของสภา และหลังจากที่ได้เปลี่ยนจุดยืน พล.ต.จำลอง ก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะไปร่วมรำลึกเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ และควรไปขอขมาต่อดวงวิญญาณวีรชน และขอโทษต่อคณะ รสช. ของ พล.อ.สุจินดา คราประยูร ว่าการที่ได้ออกมาคัดค้านตอนนั้นเป็นการเข้าใจผิด
และอยากจะบอกว่าหยุดขู่เรื่องการมีรัฐประหารเพื่อที่จะมาขัดขวางการแก้ไขรัฐธรรมนูญได้แล้ว อย่าคิดว่าพอมีอาวุธแล้วจะทำได้ทุกอย่าง อยากให้ลองกลับไปศึกษาประวัติศาสตร์ดูว่า ตอนจบคณะรัฐประหารมีบทลงเอยอย่างไร หรือหากจะเข้ามาทำการรัฐประหารอีกครั้ง ประชาชนที่ชุมนุม ณ ท้องสนามหลวงก็ออกมาประกาศแล้วว่าจะออกมาต่อต้าน แล้วอย่างนี้จะรับมือกับประชาชนจำนวนเรือนแสนได้อย่างไร
จากเหตุการณ์ 19 กันยายน 2549 การเปลี่ยนจุดยืนและอุดมการณ์ของ พล.ต.จำลอง ถือว่าการออกมาต่อต้านเมื่อเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ ได้สิ้นสุดลง เพราะตอนนี้ พล.ต.จำลอง มีอุดมการณ์ที่ฝักใฝ่ต่อพวกเผด็จการ และไม่ควรไปร่วมงานรำลึก 16 พฤษภาคมที่ผ่านมา เพราะว่าทรยศอุดมการณ์จากที่เคยประกาศเจตนารมณ์ไว้ เพราะว่าตอนนี้มาคบคิดกับพวกเผด็จการ ซึ่งความจริงแล้วคนที่ถือศีล 8 น่าจะมีสติมากกว่านี้ การออกมาพูดในลักษณะนี้เหมือนคนขาดสติ
ตอนนี้ก็เพียงแต่ใช้สิทธิ์ในความเป็น พล.ต.จำลอง และกลุ่มพันธมิตรฯ ออกมาขัดขวางการแก้ไขรัฐธรรมนูญ
โดยส่วนตัวตอนนี้มีหน้าที่จะชี้แจ้งให้ประชาชนให้ทราบข้อเท็จจริงกับเรื่องดังกล่าวว่าเป็นอย่างไร เพื่อไม่ให้ประชาชนเกิดความสับสน เพราะว่าการออกมาเคลื่อนไหวของ พล.ต.จำลอง เป็นการออกมารักษารัฐธรรมนูญที่เป็นเผด็จการเอาไว้
ด้าน นายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส. พรรคพลังประชาชน และกรรมการประชาสัมพันธ์แก้ไขรัฐธรรมนูญ (รธน.) ปี 2550 กล่าวถึงกรณีเดียวกันว่า การที่ พล.ต.จำลอง ออกมาพูดเหมือนกับไม่ได้นึกว่าตัวเองอยู่ในงานรำลึกพฤษภาทมิฬที่มีการวางพวงหรีด เคารพรำลึกถึงวีรชนผู้ที่ต่อต้านเผด็จการในครั้งนั้น
ซึ่ง พล.ต.จำลอง เองเป็นหนึ่งในผู้รับใช้เหตุการณ์ อีกทั้งคำพูดนี้เป็นทัศนคติที่อันตรายต่อระบอบประชาธิปไตย มีการอ้างสถาบันเบื้องสูงนั้นเพื่อล้มล้างการเมืองและรัฐบาลชุดปัจจุบัน พร้อมทั้งช่วงที่ผ่านมาจุดยืนของระบอบประชาธิปไตยมีปัญหา สาเหตุมาจาก พล.ต.จำลอง เป็นคนเปิดประตูให้กับทหารฝ่ายเผด็จการเพื่อมาทำรัฐประหาร
ทั้งนี้ความสง่างามที่ พล.ต.จำลอง ได้รับในช่วงพฤษภาทมิฬ ได้ถูกลบเลือนไปกับการรัฐประหาร ซึ่งเป็นผลกระทบจากการกระทำของตัวเองทั้งนั้น การที่ พล.ต.จำลอง นำคำพูดแบบนี้ในช่วงนี้โ ดยหลักแล้วไม่ควรเอาเรื่องสถาบันเบื้องสูงมาหักล้าง หากไม่ดึงเอาสถาบันเบื้องสูงลงมาปัญหาคงไม่เกิดขึ้น และ พล.ต.จำลอง เองเป็นชนวนหนึ่งที่จุดให้เกิดเหตุการณ์รัฐประหาร
แค่คนเดือนพฤษภาจอมปลอม
ความจริงแล้วทัศนคติของคนที่เคยเป็นคนเดือนพฤษภาฯ คนที่เป็นประชาธิปไตยย่อมมองรัฐประหารเป็นสิ่งที่น่าเกลียด หาก พล.ต.จำลอง เป็นคนเดือนพฤษภาฯ จริง ต้องออกมาต่อสู้รัฐประหาร ไม่ใช่ชี้ทางให้เกิดรัฐประหาร การกระทำที่ผ่านมาคนที่เจ็บปวดที่สุดคือตัวของ พล.ต.จำลอง
อย่างไรก็ตาม นายจตุพร กล่าวอีกว่า ในฐานะเป็นคนในเดือนพฤษภาฯ ด้วยกัน ได้ยืนต่อสู้ร่วมกันมา อีกทั้ง พล.ต.จำลอง เป็นคนนำทัพนักศึกษาไปต่อสู้กับเผด็จการที่มหาวิทยาลัยรามคำแหง จึงอยากฝากเหตุการณ์ครั้งนั้นไปให้ พล.ต.จำลอง คิดทบทวนว่า 16 ปีที่ผ่านมาเคยทำลายระบอบเผด็จการโดยสิ้นเชิงและยืนเคียงข้างประชาธิปไตยมาตลอด แต่ช่วง 19 กันยายน 2549 กลับไปยืนอยู่ข้างเผด็จการ
“พล.ต.จำลอง ยังมีความทรงจำเก่าๆ อยู่หรือไม่ หากยังจำได้ ควรหันกลับมายืนอยู่เคียงข้างประชาธิปไตย อย่ามัวแต่คอยเปิดประตูให้กับเผด็จการ เพราะมันจะเสียคุณค่าความเป็นประชาธิปไตย” นายจตุพร กล่าว