ที่มา ประชาทรรศน์
นายกรัฐมนตรี เผย 9 ประเทศได้ตอบรับยืนยันเข้าร่วมสุดยอดผู้นำอาเซียน แล้ว วอนประชาชนร่วมเป็นเจ้าภาพเพื่อให้ทั่วโลกเห็นไทยมีความพร้อมและความสงบ เร่งหว่านนโยบายประชานิยมคน 9 กลุ่ม ยัน ครอบคลุมประชาชนทั่วประเทศ
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กล่าวผ่านรายการ 'เชื่อมั่นประเทศไทยกับนายกอภิสิทธิ์' ที่ ห้องสีเขียว ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล ออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์เอ็นบีที โดยนายกรัฐมนตรีได้กล่าวถึงการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียน ว่า การจัดประชุมดังกล่าวเป็นการจัดประชุมของ 10 ประเทศในเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งประเทศไทยเป็นเจ้าภาพในการจัดการประชุมครั้งนี้ และขณะนี้ 9 ประเทศได้ตอบรับยืนยันการเข้าร่วมแล้ว โดยจะจัดขึ้นในวันที่ 27-28 กุมภาพันธ์ และ 1 มีนาคม ที่ ชะอำ และหัวหิน ทั้งนี้นายกรัฐมนตรีได้ขอความร่วมมือกับประชาชนในการเป็นเจ้าภาพ เพื่อให้ประชาชนทั่วโลกกลับมาเห็นว่าประเทศไทยมีความพร้อมและมีความสงบ พร้อมระบุว่า การจัดงานครั้งนี้เป็นภาพลักษณ์ของประเทศไทย และคนที่เป็นเจ้าภาพคือประชาชนทั้งประเทศ
นายอภิสิทธิ์ ยังกล่าวถึงปัญหาเศรฐกิจที่เป็นปัญหาชัดเจนอยู่ในขณะนี้ว่า เริ่มต้นนั้นเกิดจากที่ประเทศสหรัฐอเมริกาได้ประสบภาวะวิกฤตการเงินขึ้นจึงส่งผลกระทบให้หลายประเทศรวมถึงประเทศไทย จนทำให้สินค้าขายไม่ได้ นักท่องเที่ยวหาย การส่งออกเกิดชะงัก ซึ่งตั้งแต่เดือนพ.ย.2551 ที่ผ่านมาการส่งออกของประเทศไทยไม่โตและลดลง 17 เปอร์เซ็นต์ ขณะที่ตัวเลขนักท่องเที่ยวก็ลดลงต่อเนื่องตั้งแต่เดือนต.ค. เนื่องการปัญหาการชุมนุมปิดล้อมสนามบิน ด้านโรงงานต่างๆก็มีการเลิกจ้าง เมื่อธุรกิจฝืดเคือง คนมีรายได้น้อยลงก็ใช้จ่ายน้อยลงก็วนกลับมาให้ธุรกิจไปไม่ได้ และจากเศรษฐกิจโลกที่ส่งผลให้ราคาน้ำมันลดลง หลายคนมองว่าเป็นเรื่องดี แต่ไม่ใช่ เพราะพืชผลการเกษตรต่างๆผูกพันกับราคาน้ำมัน ขณะนี้ราคาลดลงมาถึงครึ่งต่อครึ่ง
ทั้งนี้ ตนขอเรียนว่ารัฐบาลทำงานตั้งแต่วันแรกและทำงานเร็วมาก แถลงนโยบาย 30 ธ.ค.2551 ซึ่งเป็นวันทำงานวันสุดท้ายของปีที่แล้ว และเมื่อแถลงเสร็จก็เรียกประชุม ครม.ต่อ เพื่อเร่งงานบางอย่าง เช่น การประชุมอาเซียน รวมถึงปัญหารับจำนำข้าวโพดที่อนุมัติรับเพิ่มในค่ำวันนั้น และปัญหาน้ำนมดิบก็นำมาบรรจุถุงแจกพี่น้องช่วงปีใหม่
นายกรัฐมนตรี กล่าวต่อว่า จากนั้นวันที่ 5 ซึ่งเป็นวันทำการแรกตนและทีมเศรษฐกิจ ก็ได้เดินทางไปพบธนาคารแห่งประเทศไทยและหน่วยงานธุรกิจต่างๆ ซึ่งพอเข้ามาทำงานได้ 8 วันก็ได้ออกนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ ซึ่งขอชี้แจงว่าอะไรทำได้และทำไม่ได้ ขณะนี้เศรษฐกิจโลกหดตัว ซึ่งหากจะให้เศรษฐกิจไทยเดินได้ เราจะไปหวังพึ่งต่างชาติไม่ได้ เพราะเขาไม่มีสตางค์ ข้อเท็จจริงคือวันนี้ต้องช่วยซึ่งกันและกัน ประชากร 65 ล้านคนโดยประมาณเป็นตลาดใหญ่พอควร หากมีการใช้จ่ายในประเทศก็จะบรรเทาได้ ตนคาดว่าหากเราผ่านครึ่งปีแรกของปีนี้โดยมีมาตรการและพี่น้องให้ความร่วมมือ เมื่อถึงครึ่งปีหลังประมาณเดือนสิงหาคม กันยายน เศรษฐกิจโลกดีขึ้นก็จะเดินหน้าไปได้
ส่วนรัฐบาลจะช่วยลดภาระค่าใช้จ่าย มีเงินทองไปซื้อของใช้สอยก็ต้องมีมาตรการเพิ่มรายได้ ทำอย่างไรให้เงินในกระเป๋าเพิ่มขึ้น ลดค่าใช้จ่าย เสริมรายได้ ฟื้นฟูความเชื่อมั่นภาพลักษณ์แต่หลายคนเมื่อเกิดปัญหาขึ้นมักคิดว่ารัฐบาลจะช่วยอะไร ตนขอเรียนว่ารัฐบาลไม่มีเงิน แต่เป็นเงินภาษีของประชาชน การตัดสินใจว่าจะใช้ภาษีอย่างไรต้องดูว่าเป็นธรรมหรือไม่ อย่าให้เกิดการรั่วไหล มีวินัยการคลัง ไม่ใช้จ่ายเกินตัวตลอดไป หลายคนฟังแผนกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลก็มีคำถามว่าทำไมให้น้อยไป ทำไมไม่ทำแบบนั้นแบบนี้ ซึ่งการอนุมัติงบประมาณเกินดุลกว่าแสนล้านนั้นใกล้กรอบที่จะใช้จ่ายได้แล้ว มีช่องว่างที่ใกล้เพดานหนี้สาธารณะน้อยมาก
นายกฯแบ่ง9กลุ่มช่วยกระตุ้นศก.เชื่อกระจายทั่วถึง
อย่างไรก็ตามนายอภิสิทธิ์ ยังกล่าวถึงมาตรการเกี่ยวกับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ว่าจะแบ่งการช่วยเหลือเป็น 9 กลุ่ม คือเกษตรกร กลุ่มท้องถิ่นและชุมชน กลุ่มคนว่างงาน กลุ่มคนทำงานที่ไม่ได้อยู่ในระบบ กลุ่มผู้มีรายได้ต่ำมีงานทำแต่เงินเดือนน้อย กลุ่มผู้สูงอายุซึ่งมีจำนวนมาที่ไม่มีหลักประกันเรื่องรายได้ กลุ่มนักเรียนและผู้ปกครอง กลุ่มธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม และกลุ่มธุรกิจการท่องเที่ยว
โดยกลุ่มเกษตรกร รัฐบาลที่แล้วได้เปิดรับจำนำ 3 ชนิดคือข้าว ข้าวโพด มันสำปะหลัง ซึ่งใกล้เต็มวงเงิน ก็ได้อนุมัติเพิ่มให้ พร้อมตรวจสอบการทุจริต ดังที่มีข่าวนำข้าวโพดจากต่างประเทศมาสวมรับการช่วยเหลือ นอกจากนี้จะช่วยยางพาราและปาล์มเพิ่มให้ ประมาณคร่าวๆเป็นเงิน 3 หมื่นล้านบาท จากนั้นฤดูกาลผลิตหน้าต้องมีดูกันใหม่ อาจมีระบบชดเชยภัยธรรมชาติ
กลุ่มท้องถิ่นและชุมชน ก่อนหน้านี้มีโครงการ SML ซึ่งหมู่บ้านที่เคยได้ก็จะได้ไปอีกเท่าตัว หมู่บ้านที่ยังไม่ได้จะได้ 2 ส่วนพร้อมกัน หรือเท่ากันทุกหมู่บ้าน รวมประมาณ 2หมื่นล้าน เพื่อนำไปใช้จ่าย แต่ต้องใช้ให้เกิดประโยชน์จริง จึงปรับมาเป็นกองทุนเศรษฐกิจพอเพียง ให้เกิดความยั่งยืน มีเงินหมุนเวียนในพื้นฐานเศรษฐกิจอย่างแท้จริง
กลุ่มคนว่างงานจะมีเงิน 7 พันล้านเข้ามาช่วย เริ่มตั้งแต่การฝึกอบรม คนที่ยังทำงานแต่มีแนวโน้มถูกเลิกจ้าง ก็ฝึกเพิ่มให้ไม่ต้องตกงาน แต่ก่อนหน้านี้มักฝึกและหายไป แต่ขณะนี้จะติดตามให้มีงานทำจริง เด็กจบใหม่จะนำมาฝึกงานธุรการและส่งไปทำงานตามโรงเรียน เพื่อให้ครูที่ต้องทำงานธุรการได้กลับไปสอน คืนครูให้กลับนักเรียน ผู้ที่ชอบอิเล็กทรอนิกส์ก็ฝึกด้านเวบไซต์แล้วอาจมาช่วยเจ้าหน้าที่จับตาเวบที่ไม่เหมาะสม
กลุ่มแรงงานนอกระบบ ก็สามารถอยู่ในโครงการนี้ได้เช่นกัน อาจฝึกแล้วออกไปสร้างงานเล็กๆ ส่วนกลุ่มผู้มีรายได้ต่ำ ไม่ว่าจะอยู่ในประกัน สังคม ข้าราชการ เจ้าหน้าที่รัฐ ให้เงินไปเลย 2 พันบาท เพื่อกระตุ้นให้เกิดการใช้จ่าย ซึ่งหลายประเทศทำอยู่ เพราะเป็นวิธีกระตุ้นเศรษฐกิจที่เร็วที่สุด
กลุ่มผู้สูงอายุ เปิดกว้างให้ใครก็ได้ที่มีอายุเกิน 60 ปี ที่ไม่ได้อยู่ในระบบ มีเงินช่วยเหลืออยู่แล้ว มาขึ้นทะเบียนก็จะได้เดือนละ 500 บาททุกคน
กลุ่มนักเรียนและผู้ปกครอง ตามรัฐธรรมนูญระบุไว้อยู่แล้ว เทอมหน้าจะได้เรียนฟรีจริงตั้งแต่อนุบาลถึง ม.ปลาย, กลุ่มผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม ให้ดูแลเรื่องค้ำประกันสินเชื่อต่างๆ เพราะมีเงินในระบบ ดอกเบี้ยถูก แต่สถาบันการเงินไม่ปล่อย ขณะที่กลุ่มนักท่องเที่ยว จะลดค่าธรรมเนียมต่างๆ คาดว่าในวันที่ 20 ม.ค.นี้จะทราบ
ในส่วนค่าน้ำค่าไฟก็ปรับลดมาเพื่อกระตุ้นให้เกิดการประหยัด เพราะจากรัฐบาลที่แล้วเป็นภาระมาก เนื่องจากกลายเป็นการช่วยบางกลุ่มที่สามารถดูแลตัวเองได้ และใช้แบบไม่ประหยัด ส่วนค่าก๊าซก็ยังไม่ขึ้น แต่ภาษีน้ำมันนั้นเห็นว่าราคาน้ำมันลงมามากแล้วจึงหันกลับมาเก็บภาษี แต่การขึ้นภาษีซึ่งสูงหลายบาทต่อลิตรก็จะไม่ให้กระทบประชาชน จะใช้เงินกองทุนน้ำมันเข้ามาช่วย แต่แม้จะขึ้นมาแล้วก็ยังถูกกว่าราคาเมื่อปีก่อน
ทั้งนี้นายอภิสิทธิ์ กล่าวอีกด้วยว่า ส่วนตัวนั้นทราบว่ามีความคิดเห็นที่หลากหลาย ยืนยันพร้อมรับฟัง บางคนบอกว่าลดแลกแจกแถมมากไปโดยเฉพาะประเด็นการอนุมัติเงินให้มนุษย์เงินเดือนที่มีรายได้ต่ำกว่า 1.4 หมื่นบาท คนละ 2 พันบาทนั้น ตนมองว่าตอนนี้ภาวะไม่ปกติ บ้านกำลังไหม้จะเสียดายน้ำดับไฟไม่ได้ และจากการศึกษาในหลายประเทศ หากใช้มาตรการอื่นๆ เช่นการลดหย่อนภาษี กว่าคนจะรู้สึกว่ามีเงินเพิ่มขึ้นก็สายไปแล้ว