ที่มา ไทยรัฐ
ผลพวงจากวิกฤติการเมืองปีหนูไฟที่ผ่านมา ต้องยอมรับว่านำมาซึ่งความแตกแยกภายในชาติ
สังคมไทย ระบบการเมืองไทย ถูกทำลายย่อยยับที่สุดในประวัติศาสตร์ของชาติ
สังคมแตกแยกเหมือนไฟลามทุ่ง ความร้าวฉานซึมลึกไปทุกระดับ ทุกวงการ ตั้งแต่คนในครอบครัว ผัวสีเหลือง เมียสีแดง
แม้แต่ในแวดวงเพื่อนฝูงสภากาแฟยังต้องปิดตัวลงไปชั่วคราว เพราะพูดเรื่องการเมืองกันทีไรเป็นต้องขัดเคืองใจกัน
ขนาดจะออกไปทำงานยังต้องเลือกสีชุดที่จะใส่ออกไปข้างนอก โดยเฉพาะเสื้อสีเหลือง สีแดง ถูกพับเก็บลงหีบไม่กล้าหยิบมาใส่
ความแตกแยกที่เกิดขึ้นในสังคมมีเหตุผลมาจากการเล่นเกมชิงอำนาจ ชนิดขุดรากถอนโคน ทำลายครรลองประชาธิปไตย จนกระทบไปถึงความเชื่อมั่นในกระบวนการยุติธรรมและองค์กรอิสระ “ประเทศไทย” ตกอยู่ในสภาพดิ่งลงเหว
จาก “สยามเมืองยิ้ม” กลายเป็นบ้านป่าเมืองเถื่อน
ทีมการเมืองไม่ได้มองโลกในแง่ร้าย แต่ต้องยอมรับความจริงว่า ปัจจุบันการ เมือง “เสียงข้างมาก” กลับตกอยู่ภายใต้ การต่อรองของ “เสียงข้างน้อย”
ทั้งนี้ เมื่อ “ทีมการเมือง” ได้สำรวจกลุ่มก๊วนการเมือง และปัจจัยที่มีผลกระทบแล้ว เชื่อว่าสถานการณ์การเมืองแห่งปี “วัวบ้า” จะก่อเกิดวิกฤติการเมืองไม่แพ้ ปีหนูไฟที่ผ่านมา
เริ่มมหกรรมจากการที่ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้ยุบ 3 พรรค ประกอบด้วย พรรคพลังประชาชน พรรคชาติไทย และพรรคมัชฌิมาธิปไตย ส่งท้ายปีเก่า ทำให้ “กรรมการบริหารพรรค” ของทั้ง 3 พรรค ต้องพ้นสภาพ ส.ส. และถูกเว้นวรรคทางการเมือง 5 ปี
ส.ส.ที่เหลือจึงเหมือนผึ้งแตกรัง ต้องหาพรรคอยู่กันใหม่ให้ได้ภายใน 60 วัน
พรรคแรก “พลังประชาชน” ส่วนใหญ่ย้ายคอกไปสังกัดพรรคเพื่อไทย
ขณะที่ 23 ส.ส.กลุ่มเพื่อนเนวิน ประกาศ “ทิ้งนายเพื่อชาติ” สลัดขั้วไปจับมือกับพรรคประชาธิปัตย์จัดตั้งรัฐบาล
สำหรับ “ชาติไทย” ก็ไปตั้งพรรคใหม่ชื่อ “ชาติไทยพัฒนา” ต่อสู้ตามแนวทางที่เลือกเดิน ส่วน “มัชฌิมาธิปไตย” เปลี่ยนเป็น “ภูมิใจไทย” ซึ่งทั้ง “ชาติไทยพัฒนา” และ “ภูมิใจไทย” ก็พลิกขั้วมาอยู่กับพรรคประชาธิปัตย์ จัดตั้งรัฐบาลไม่แตกต่างจาก “กลุ่มเพื่อนเนวิน”
อย่างไรก็ตาม เมื่อเกิดการพลิกขั้ว พรรคประชาธิปัตย์ได้จัดตั้งรัฐบาล นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ในฐานะหัวหน้าพรรค ได้ขึ้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนที่ 27 เป็นผลสำเร็จ
เราก็คงต้องมาเอกซเรย์ยลโฉม “ครม.อภิสิทธิ์ 1” ที่สังคมค่อนข้างผิดหวัง
ไม่หล่อเหลาเหมือนหน้าตานายกฯ
ตั้งคนไม่ตรงกับงาน ขัดสนกูรูดูแลเศรษฐกิจ ส่วนใหญ่แค่ระดับมือใหม่หัดขับ
ยิ่งรัฐบาลผสมหลายพรรคมากกลุ่ม เสียงปริ่มน้ำ ต่างพรรคต่างค่าย ยากที่จะหลอมรวมกันได้ในสภาวะที่แต่ละพรรคอำนาจต่อรองล้นเหลือ
แม้ “นายกฯอภิสิทธิ์” จะปวารณาตัวกระโดดคุมบังเหียนเป็นหัวหน้าทีมเศรษฐกิจ แต่ถ้าทำงานเป็น “ทีมไทยแลนด์” ร่วมกับรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจจากพรรคร่วมรัฐบาล ที่ไร้มือดีมาคุมกระทรวงสำคัญทางเศรษฐกิจก็หมดความหมาย
วิกฤติลูกใหญ่ได้เริ่มส่งผลกระทบให้เห็น ทั้งการส่งออกที่เริ่มทรุด แรงงานจ่อตกงานเป็นล้านคน ภาคการท่องเที่ยวถดถอยรุนแรง
แรงบวกที่สำคัญในสภาพรัฐบาลพันธุ์ผสม การเข้ามาถอนทุนดูจะเป็นที่จับจ้องจากทุกองคาพยพ เมื่อไหร่แบ่งเค้กกันไม่ลงตัว นักการเมืองพันธุ์นี้ก็ต้องออกลายหวงก้างกัดกันเละเทะ
ผลงานไม่มีออกมา ไร้น้ำยาแก้ปัญหาบ้านเมือง ก็เตรียมตัวรับมือกับสารพัดกระแสกดดัน รวมทั้งม็อบที่จะมาชุมนุมกันไม่เว้นแต่ละวัน
รัฐบาลพลาดไม่ได้แม้แต่เสี้ยววินาที
หันไปดูเกมในสภาของ “ฝ่ายค้าน” เมื่อรัฐบาลมีสภาพเสียงปริ่มน้ำ แค่เกมเด็กๆที่ฝ่ายค้านงัดมาเล่นด้วยการขอนับองค์ประชุม 3 เวลาหลังอาหาร รัฐบาลก็เหนื่อยแล้ว
โดยเฉพาะยิ่งช่วงเปิดประชุมสภาสมัยสามัญทั่วไปที่กำลังจะมีขึ้นเร็วๆนี้ รัฐธรรมนูญได้เปิดช่องให้ “ฝ่ายค้าน” ยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกฯ และ ครม.ได้ ทันที และผลจากรัฐธรรมนูญฉบับเดียวกันที่ห้ามรัฐมนตรีที่เป็น ส.ส.ห้ามโหวตเสียง
ถึงนาทีนั้นอำนาจเงินจะเข้ามามีพลังต่อรอง
“กลุ่มร่วมรัฐบาล” และ “พรรคร่วมรัฐบาล” จึงมีอำนาจเกินคำบรรยาย “ประชาธิปัตย์” ก็ต้องยอมสยบทุกอย่าง เปิดช่องโหว่ให้เกิดการทุจริตคอรัปชัน ถอนทุนคืน
ถ้าประชาธิปัตย์ขวาง รัฐบาลก็พัง
แม้มีเส้นใหญ่ มีกองทัพแนบกาย และกระบวนการยุติธรรมคอยพยุง แต่การจะฝ่าคลื่นลมไปคงไม่ง่ายอย่างที่คิด นอกจากนั้นเกมใต้ดิน บนดิน จาก “อำนาจเก่า” ที่หวังจะเอาคืนทุกเม็ดทุกดอกย่อมไม่ยอมนั่งนิ่งๆอยู่เฉยๆ
อดีตขั้วรัฐบาลที่เพิ่งมาสวมบทฝ่ายค้านจำเป็น ถ้าเจาะลึกลงไปยังตกอยู่ในสภาพไม่มีแม่ทัพใหญ่ออกกรำศึก ประหนึ่งนักมวยที่ร้างสังเวียนมานาน
ขณะที่ปมแก้ไขรัฐธรรมนูญ 2550 ก็ไม่ควรมองข้าม เพราะกลุ่มและพรรคที่พลิกขั้ว มาร่วมรัฐบาลกับประชาธิปัตย์ ก็จะใช้ “ประชาธิปัตย์” เป็นเครื่องมือนำร่อง ไปสู่การแก้ไขในประเด็นที่จะทำให้บรรดากรรมการบริหารพรรค ที่ถูกตัดสิทธิทางการเมือง ฟื้นคืนชีพกลับมาได้เร็วกว่ากำหนด
และ “ประชาธิปัตย์” ก็จะใช้โอกาสการปฏิรูปการเมือง โดยการแก้ไขรัฐธรรมนูญ “ต่ออายุ” รัฐบาลออกไปอีก
สมประโยชน์ทั้งสองฝ่าย!!!
ซึ่งเราจะเห็นร่องรอยได้จากการยื่นเงื่อนไข 1 ใน 4 ข้อ ขอให้แก้ไขรัฐธรรมนูญ แต่ก็คงไม่ง่ายเพราะพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ออกมาดักคอประกาศห้ามแตะต้องรัฐธรรมนูญเด็ดขาด
“นายกฯอภิสิทธิ์” จะยืนข้างไหนก็มีแต่ตายกับตาย
แต่ยังไม่ทันไรก็มี “ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ” บางท่านออกตัวทำนองว่าเห็นด้วย หากจะแก้ไขรัฐธรรมนูญในบางมาตราที่มีปัญหา เพื่อให้เนื้อหาสมบูรณ์
สอดรับกับท่าทีของนายกฯอภิสิทธิ์ ที่แบะท่าเห็นด้วยกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ให้มีความเป็นประชาธิปไตยมากขึ้น ภายใต้เงื่อนไขต้องไม่ทำเพื่อเอื้อประโยชน์ให้ใครคนใดคนหนึ่ง
ดังนั้น การแก้ไขรัฐธรรมนูญต้องถูกลากยาวไปถึงสิ้นปีกว่าจะสำเร็จ เพราะต้องตั้งคนกลางขึ้นมาศึกษาให้รอบคอบ เข้าทางประชาธิปัตย์
ดังนั้น การเมืองในปี “วัวบ้า” จะไม่มีคำว่ามิตรแท้และศัตรูถาวร เพราะสภาพการเมืองจะโกลาหล เข้าสู่ยุค ลับ ลวง พราง สร้างความเซอร์ไพรส์ได้ตลอด
เมื่อชำแหละดูตับไตไส้พุงกลุ่มก๊วนการเมืองที่มีพละกำลังอยู่ในขณะนี้จะมี 3 กลุ่มใหญ่
กลุ่มแรก “พรรคเพื่อไทย” จับมือกับพรรคประชาราชของ “ป๋าเหนาะ” บวกด้วยกลุ่ม ส.ส.ของ “พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก” ที่แตกออกมาจากพรรคเพื่อแผ่นดิน
กลุ่มที่ 2 ก็คือ ประชาธิปัตย์ ที่ลุยเดี่ยวเป็นตัวของตัวเอง
กลุ่มสุดท้ายแต่สำคัญอย่างที่สุดนับจากนี้เป็นต้นไป เป็นกลุ่มไหนไปไม่ได้นอกจาก “กลุ่มเพื่อนเนวิน”
“ทีมการเมือง” ต้องบอกว่าขอจับตาเป็นพิเศษก็คือ “กลุ่มเพื่อนเนวิน” ที่กำลังแผ่ซ่านสยายปีกอหังการ ผ่านเครือข่ายแก๊งออฟโฟร์ จับต้อนพรรคเล็กปัดฝุ่นกลุ่ม 16 ในอดีต และศิษย์เก่าพรรคกิจสังคม ที่กระจายกันอยู่ตามกลุ่มก๊วนการเมือง
อย่างที่พรรคเพื่อแผ่นดิน มี “พินิจ จารุสมบัติ” หัวหน้ากลุ่มวังพญานาค “สุชาติ ตันเจริญ” หัวหน้ากลุ่มบ้านริมน้ำ เป็นแกนหลัก
ขณะที่กลุ่มภาคกลางของ “สรอรรถ กลิ่นประทุม” ก็ยังเฮละโลมารวมพลังเพื่อสร้างอำนาจต่อรองกับเพื่อนเก่า
เน้นให้ชัดก็ต้องโฟกัสไปที่พรรคภูมิใจไทยที่ตอนนี้มี “สมศักดิ์ เทพสุทิน” เป็นแกนนำ แต่ในอนาคตอันใกล้ “กลุ่มเพื่อนเนวิน” จะรวมเข้ามาเป็นทองแผ่นเดียวกัน สร้างอาณาจักรป้อมค่ายการเมืองใหม่ โดยมีทุนประเดิมเริ่มต้นที่ 40 เสียง
จากนั้นจะเปิดเกมไดโว่ดูด ส.ส.แพแตกจากพรรคต่างๆ ขยับตัวเลขให้ขึ้นไปอยู่ที่ 70-80 เสียง
โดยมีกลุ่มทุนใหญ่คอยให้การสนับสนุนอยู่เบื้องหลังอย่างกลุ่มคิงเพาเวอร์
กลุ่ม 5 เสือยักษ์ใหญ่ก่อสร้าง นำโดยกลุ่มชิโนไทย ของ “อนุทิน ชาญวีรกูล”
กลุ่มน้ำเมา
กลุ่มยักษ์ใหญ่ธุรกิจการเกษตร
และกลุ่มเครื่องดื่มชูกำลัง
สนธิกำลังกับอำนาจสีเขียวของ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผบ.ทบ. กลุ่มการเมืองขั้วที่ 3 จึงกลายเป็นกลุ่มการเมืองที่น่าสะพรึงกลัว
การขยับขับเคลื่อนแต่ละย่างก้าว ย่อมส่งผลสะเทือนเลื่อนลั่นต่อวงการเมือง
เหลียวไปดูการเคลื่อนไหวของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ที่ชาวบ้านร้านตลาดระดับรากหญ้า ส่วนใหญ่ยังเป็นแฟนพันธุ์แท้กันล้นหลาม
ดังนั้น ตราบใดที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ยังไม่ยอมหมอบราบคาบแก้ว การเคลื่อนไหวของกลุ่มคนรักทักษิณ ก็จะมีทั้งบนดิน ใต้ดิน โดยการบงการผ่านนอมินีที่เป็นมือไม้คอยทำงานให้ อย่าง “ยงยุทธ ติยะไพรัช-ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง-คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์-จาตุรนต์ ฉายแสง” จึงปฏิเสธไม่ได้ว่า บทบาทของ พ.ต.ท.ทักษิณที่จะขยับขับเคลื่อนในปีวัวบ้า
ยังคงส่งผลสะเทือนวงการเมืองไทยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
เมื่อการเมือง 2 ฝ่าย ยังคงเล่นเกมชิงเมืองกันจนเกินพอดี ไม่เคารพกฎ กติกา มารยาท วิกฤติการเมืองก็จะหวนคืนกลับมาซ้ำซาก
ถึงตอนนั้น “รัฐบาลแห่งชาติ” จะถูกปัดฝุ่นจุดกระแสขึ้นมาใหม่ ด้วยข้ออ้างเพื่อผ่าทางตันทางการเมือง แต่ถ้าสูตรรัฐบาลแห่งชาติจุดไม่ติด สถานการณ์บ้านเมืองส่อเค้าเกิดการนองเลือด
ก็เป็นไปได้สูงที่กลุ่มนายทหารยังเติร์ก จะลากรถถังออกมาปฏิวัติทั้งหมดขึ้นอยู่กับโอกาสจะเอื้ออำนวยให้
ดังนั้น ต้องจับตาความเคลื่อนไหวของนายทหารรุ่นยังเติร์ก ที่กำลังเล่นเกม ลับ ลวง พราง ตาอย่ากะพริบ ก
ารปฏิวัติเที่ยวนี้จะเป็นการปฏิวัติที่รุนแรง เด็ดขาด ไม่หน่อมแน้มเหมือนยุค คมช.
และจะไม่อยู่ภายใต้การนำของ พล.อ.อนุพงษ์ อีกต่อไป เพราะปัจจุบันต้องยอมรับว่าบทบาทของ พล.อ.อนุพงษ์ ไม่เป็นที่ยอมรับของคนในกองทัพ โดยเฉพาะนายทหารระดับผู้บังคับกองพัน และผู้บังคับการกรม ถึงแม้ภาพภายนอกดูว่ากองทัพเป็นปึกแผ่นดี แต่เอกซเรย์เข้าไปข้างในแล้วเห็นรอยแตกร้าวขบเหลี่ยมกันเอง
เพราะก่อนการเมืองจะพลิกขั้ว มีภาพข่าวปรากฏชัดว่าแกนนำกลุ่มก๊วนการเมือง พากันตบเท้าเข้าคารวะ พล.อ.อนุพงษ์ ในบ้านพัก ร.1 รอ. ท่ามกลางกระแสข่าวการไล่ทุบ ไล่ถอง ให้เกิดการสลับขั้วให้ได้
จนสุดท้ายเจ้าตัวต้องออกโรงชี้แจงว่า แค่การให้คำปรึกษาเท่านั้น
แต่ภาพการขยับขับเคลื่อนทั้งเบื้องหน้าเบื้องหลังของ พล.อ.อนุพงษ์ ทำให้นายทหารระดับคุมกำลังรู้สึกกระอักกระอ่วนใจ
ยิ่งตั้ง พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ อดีต ผบ.ทบ. ที่เป็นนายเก่าที่เคารพ มาเป็น รมว.กลาโหม ได้ตอกย้ำภาพครอบงำการเมืองชัดเจนขึ้น
ดังนั้น เส้นทางการเมืองในปีวัวบ้า 2552 จะเป็นปีแห่งการลุ้นระทึก เพราะมีโอกาสที่หวยจะออกได้ 3 หน้า
ทั้งการยุบสภา จัดตั้งรัฐบาลแห่งชาติ หรือทหารปฏิวัติ ยึดอำนาจ!!!
“ทีมการเมือง”