ที่มา บางกอกทูเดย์ ถึงวันนี้ นายกฯ อภิสิทธิ์ ต้องกล้าหาญให้มากกว่าที่ผ่านมา สร้างความปรองดองที่แท้จริงให้สำเร็จ และจะต้องเร่งยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน โดยเร็วที่สุด โดยจะต้องไม่ฟังเสียงค้านของพวกเสพติดอำนาจ!!! ไม่น่าเชื่อเลยจริงๆ ว่า แผนปรองดองของนายภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีนั้น แม้แต่ในขั้วการเมืองซีกเดียวกัน ร่วมปฏิบัติภารกิจช่วงชิงอำนาจและผลประโยชน์ทางการเมืองมาด้วยกันวันนี้ยังเห็นต่าง ไม่ยอมรับแผนปรองดองของนายอภิสิทธิ์นายสนธิ ลิ้มทองกุล นายใหญ่ของค่ายพันธมิตรฯ และ ASTV ซึ่งได้จังหวะฝุ่นตลบทางการเมือง รัฐบาลและพรรคร่วมรัฐบาลไม่แข็งแรงพอ ก็เลยกลับมาทำรายการเมืองไทย รายสัปดาห์ อีกครั้ง แถมจวกแผนปรองดองของนายอภิสิทธิ์เสียเละเทะว่าเป็นแผนปรองดองกับโจร??? ไปโน่นเลย... เจอบรรยากาศแบบนี้ แผนปรองดองของนายอภิสิทธิ์ไม่เสียศูนย์ก็ไม่รู้จะพูดว่าอย่างไรแล้วแถมเรื่องของการที่หลายๆ ฝ่ายยังยืนกรานที่จะต้องให้ใช้ พ.ร.ก. ฉุกเฉินต่อไปเรื่อยๆ ยิ่งเป็นตัวฉุดรั้ง บรรยากาศความสมานฉันท์ สันติ และแผนปรองดองเป็นอย่างยิ่งจะสมานฉันท์ได้อย่างไรหากยังมีกลุ่มคนบางกลุ่มเสพติดอำนาจที่ พ.ร.ก. ฉุกเฉินบันดาลให้ทำอะไรก็ได้ โดยไม่มีกลไกการตรวจสอบ... แม้แต่สื่อมวลชนก็ยังตรวจสอบตามหน้าที่ได้ยากจะสมานฉันท์ได้อย่างไร หากคนในสังคมยังเกิดความรู้สึกว่า ยังกดถูกกดหัวอยู่ด้วยอำนาจกฎหมายพิเศษ ที่ไม่ใช่กฎหมายปกติที่สังคมให้การยอมรับอนิจจา... เจอสถานการณ์แบบนี้ น่าเห็นใจนายอภิสิทธิ์เป็นอย่างยิ่งเพราะแม้จะมีความมุ่งมั่นจนถูกมองว่าเป็นคนดื้ออย่างที่สุด แต่จริงๆ แล้วนายอภิสิทธิ์ยังไม่ใช่คนประเภทที่กล้าชนกล้าแตกหัก... ดูกรณีพรรคภูมิใจไทยก็เห็นได้ชัด นายอภิสิทธิ์ ไม่กล้าแตกหักกับนายเนวิน ชิดชอบ นายใหญ่ ซีอีโอตัวจริงของภูมิใจไทย...ทั้งๆ ที่ต้นทุนทางสังคมนายอภิสิทธิ์เหนือกว่านายเนวินไม่รู้กี่ขุมต่อกี่ขุม... แต่นายอภิสิทธิ์ก็ยังเสร็จนายเนวินแล้วมาเจอบรรดาผู้เสพติดอำนาจ พ.ร.ก. ฉุกเฉิน ซึ่งมีตั้งหลายคน รวมแม้แต่กระทั่งนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีด้านความมั่นคงด้วย... นายอภิสิทธิ์ จะไม่เสร็จได้อย่างไรแต่นายอภิสิทธิ์ก็ต้องกล้าที่จะคิดที่จะทบทวนว่า จริงๆ แล้ว พ.ร.ก. ฉุกเฉินได้คุ้มเสียหรือไม่ และทำไมภาคธุรกิจเอกชนถึงได้ออกมาเรียกร้องให้ยกเลิก พ.ร.ก. ฉุกเฉินกันลั่นๆ ไปหมดรวมทั้งทำไมภายใต้การประกาศใช้ พ.ร.ก. ฉุกเฉินของ รัฐบาลไทย บรรดาประเทศประชาธิปไตยทั้งหลายจึงยังไม่มีท่าทีผ่อนคลายเหมือนในอดีตที่เคยเป็นนายจิตติพจน์ วิริยะโรจน์ ส.ว.ศรีสะเกษ ประธานคณะกรรมการเพื่อติดตามสถานการณ์บ้านเมือง วุฒิสภา ยังออกมาย้ำในเรื่องที่ทางกลุ่มองค์กรระหว่างประเทศต่างๆโดยเฉพาะองค์กรนิรโทษกรรมสากลได้เรียกร้อง มายังรัฐบาลให้ยกเลิกการประกาศ พ.ร.ก. บริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินก่อนจะเริ่มกระบวนการสอบสวนทั้งหลายซึ่งนายจิตติพจน์ ยอมรับว่ามีหลายองค์กรที่เรียกร้อง อาทิ ที่ประชุมรัฐสภายุโรปได้มีมติสำคัญออกมาทันทีภายหลังเหตุการณ์กระชับพื้นที่ รวมไปถึงกลุ่มฮิวแมนไรท์วอท์ช ที่แสดงความกังวลมา ยังรัฐบาลในสิ่งที่จะดำเนินการภายใต้การประกาศใช้พ.ร.ก. ฉุกเฉินอยู่ อาจไม่มีความระมัดระวังจนกลายเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนเพราะกฎหมายฉบับนี้ควรใช้เฉพาะช่วงที่มีเหตุการณ์วิกฤติ ซึ่งขณะนี้ได้พ้นสถานการณ์นั้นไปแล้วจึงอาจไม่มีเหตุผลเพียงพอที่จะอธิบายต่อนานาชาติได้ และกระทบต่อสิทธิเสรีภาพ สื่อมวลชนและประชาชนเกินสมควร“ขอฝากถึงรัฐบาลว่าการแก้ปัญหานี้ต้องเอาชนะใจประชาชน ด้วยการให้ความเป็นธรรมแก่เขา ไม่ใช่ใช้อำนาจไปบังคับเขา เพราะอำนาจไม่เคยเอาชนะใจใครได้ รัฐบาลควรทบทวนแนวทางด้วย เมื่อถามว่าทางกลุ่มเสื้อแดงกังวลว่า การคง พ.ร.ก. ฉุกเฉินไว้เพื่อตามไล่ล่าเขา เป็นสิ่งที่ผู้คนจะสงสัยได้ เพราะขณะที่รัฐบาลคงไว้แต่ยังแกนนำคนเสื้อแดงยังโดนเก็บ จึงเป็นคำถามคาใจว่าการคง พ.ร.ก. ฉุกเฉินเอาไว้ มีประโยชน์อย่างไร อีกทั้งยังสร้างความกังวลต่อชาวต่างชาติ” นายจิตติพจน์ กล่าว และเพราะแบบนี้แหละที่ทำให้กระทรวงการต่างประเทศในเวลานี้ มีคำถามเข้ามาจากประเทศต่างๆมากมาย จนต้องวิ่งชี้แจงวุ่นวายไปหมด ทั้งเรื่อง พ.ร.ก. ฉุกเฉิน เรื่องการตั้งคณะกรรมการสอบสวนเหตุการณ์การชุมนุม จำนวนผู้เสียชีวิตและสาเหตุซึ่งนายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต เลขานุการ รมว.ต่างประเทศ ยอมรับว่าทางองค์การนิรโทษกรรมสากล ได้ทำจดหมายเปิดผนึกถึงนายกฯ เรียกร้องให้มี การตั้งคณะกรรมการสอบสวนเหตุการณ์การชุมนุม โดยให้เป็นไปอย่างโปร่งใส เป็นกลาง ไม่มีการแทรกแซง เล่นเอากระทรวงการต่างประเทศ ต้องเร่งเชิญองค์กรสิทธิมนุษยชน เอ็นจีโอ สื่อต่างชาติ คณะทูตานุทูต เข้ารับฟังการชี้แจงขั้นตอนการดำเนินงานในแผนปรองดอง และในปลายเดือนมิถุนายน ก็จะเชิญองค์การนิรโทษกรรมสากล คณะองค์กรระหว่างประเทศ องค์กรสิทธิมนุษยชน มาชี้แจงต่อไปด้วยนี่คือผลจากการใช้ พ.ร.ก. ฉุกเฉิน จากการใช้อำนาจพิเศษใช่หรือไม่ที่ทำให้ต่างชาติระแวงแคลงใจ เป็นสิ่งที่นายอภิสิทธิ์จะต้องไตร่ตรองให้จงหนักว่าสมควรหรือยังที่จะยกเลิก พ.ร.ก. ฉุกเฉินเสียทีเพื่อให้ภาคธุรกิจของไทยสามารถ ทำมาหากินได้เหมือนในอดีต และทำให้ต่างชาติกลับมามองไทยแบบไม่ระแวงแคลงใจแต่แน่นอนว่างานนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะขนาดนายอภิสิทธิ์ เดินสายพูดเรื่องการขับเคลื่อนแผนการฟื้นฟูประเทศ การปฏิรูป และแผนการปรองดองในชาติ ยืนยันว่าไม่ใช่เป็นเรื่องของการเมืองแต่นายสุเทพ ในฐานะผอ.ศอฉ. ซึ่งแม้จะยอมรับว่าในการชุมนุมมีประชาชนจำนวนมาก ที่ไม่ได้เป็นลูกน้องของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี แต่มาร่วมชุมนุมเพราะมาเรียกร้องประชาธิปไตยจริง ซึ่งคนเหล่านี้ทำผิด พ.ร.ก. ฉุกเฉิน ต้องถูกดำเนินคดี แต่ก็ยังอ้างว่าหากจะนิรโทษกรรมให้คนเหล่านี้ก็ต้องพิจารณาผลดี ผลเสียก่อน??? โดยอ้างว่าอาจทำให้ไม่มีการเกรงกลัวกฎหมาย หากต่อไปมีการชุมนุมจนต้องประกาศพ.ร.ก.ฉุกเฉิน อีก คนก็จะไม่เกรงกลัวกฎหมาย จะยิ่งสร้างความเสียหายให้บ้านเมืองหรือไม่ นายสุเทพสรุปง่ายๆ ว่า ฉะนั้นต้องพิจารณาด้วยความรอบคอบ ต้องกลั่นกรองให้รอบคอบอีกหลายขั้นตอน เพราะแบบนี้แหละจึงไม่แปลกที่ นายเทพไท เสนพงศ์ ทั้งๆ ที่ทำหน้าที่เป็นโฆษกประจำตัวหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ แท้ๆ ยังออกมาสวนคำกรณีที่องค์กรทั้งในและต่างประเทศ กดดันให้รัฐบาลยกเลิก พ.ร.ก. การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน ว่าองค์กรในต่างประเทศอาจเข้าใจคลาดเคลื่อน หรือห่างข้อมูลแถมระบุหน้าตาเฉยว่าโดยส่วนตัวคิดว่า ยังมี ความจำเป็นต้องคง พ.ร.ก.ฉุกเฉินต่อไป เพราะเห็นว่าไม่ได้ลิดรอนสิทธิ์ของประชาชนเล่นแบบชงเองหวังกินเองเสร็จสรรพแต่ที่ภาคธุรกิจเอกชน ซึ่งออกมาเรียกร้องให้ยกเลิกพ.ร.ก.ฉุกเฉินถึงกับมึนไปตามๆกันก็คือ ความคิดของนายเทพไทที่ว่า การเรียกร้องให้ยกเลิกพ.ร.ก.ฉุกเฉิน เหมือนส่งเสริมให้มีกระบวนการ ก่อการร้ายมากยิ่งขึ้น ทั้งๆ ที่บรรดาภาคธุรกิจที่ออกมาเรียกร้องให้ยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ก็เพื่อต้องการสร้างบรรยากาศทางธุรกิจและเศรษฐกิจของประเทศเท่านั้น เนื่องจากที่กระทรวงการคลัง หรือนายกรณ์ จาติกวณิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ปาวๆ ว่าเศรษฐกิจไทยแข็งแกร่ง ไม่ได้รับผลกระทบ ไม่มีปัญหานั้น ภาคธุรกิจ ภาคแรงงาน และลูกจ้างจำนวนมากนั้นมองต่างคิดต่างจากรัฐบาลไม่น้อยเลย ไม่ต้องอื่นไกล ดูยอดขายของบรรดาห้างยักษ์ใหญ่ ดิสเคาท์สโตร์ต่างชาติก็ได้ หลายสาขาเหมือนผีจะหลอก ปิดแอร์ปิดไฟแบบประหยัดกันเต็มที่ จำนวนช่องจ่ายเงินติดไว้เต็มพรืดแต่เปิดรับเพียงไม่กี่ช่องเท่านั้น ประหยัดค่าเบี้ยเลี้ยงพนักงานกันสุดฤทธิ์ สถานการณ์แบบนี้ นายอภิสิทธิ์ต้องเร่งปรองดองอย่างแท้จริง และต้องเร่งยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ตามที่ภาคธุรกิจวิงวอนขอโดยเร็ว ส่วนว่าหากจะมีใครที่เสพติดอำนาจ แล้ว “ลงแดง” ก็คงช่วยไม่ได้.