ที่มา บางกอกทูเดย์ ต้องบอกว่าช่วงนี้ทหารที่ทำงานในพื้นที่ภาคใต้ ต้องเจอกับ “งานเข้า”เพราะมีเหตุการณ์หลายเรื่องที่เล่นเอาทหารไทย ต้องกุมขมับ ไม่ว่าจะเป็นกรณีการเสียชีวิตปริศนาของนายสุไลมาน แนซา ภายในศูนย์เสริมสร้างความสมานฉันท์ ในค่ายอิงคยุทธบริหาร อ.หนองจิก จ.ปัตตานี เหตุยิงครูในพื้นที่ ล่าสุดกำลังเป็นที่กังขา สำหรับเหตุระเบิดบนถนนหน้ามัสยิดกลางประจำจังหวัดยะลา ว่าเหตุระเบิดครั้งนี้จะ “โอ้ละพ่อ”หรือไม่ เพราะมีข้องสงสัยว่า...เหตุระเบิดครั้งเป็นเพราะทหารทำหล่นหรือไม่? ทำให้เกิดกระแสข่าวออกมาเป็นไปใน 2 แนวทาง แนวทางแรก ระบุว่า ระเบิดตกใกล้กับฟุตบาทหน้าร้านน้ำชา เป็นฝีมือของชายวัยรุ่น 2 คน ที่ขี่รถจักรยานยนต์โฉบเข้ามาปาระเบิดแล้วเร่งเครื่องหลบหนีไป แนวทางที่ 2 ระบุว่า...ก่อนเกิดเหตุมี “รถบรรทุกของทหารพราน” แล่นผ่านมา...จังหวะนั้นมีคนร้ายเป็นชายวัยรุ่น 2 คน ขี่รถจักรยานยนต์ตามหลัง โดยคนร้ายที่นั่งซ้อนท้ายได้ขว้างระเบิดใส่รถ หวังให้ตกลงในกระบะของรถบรรทุก แต่ปรากฏว่า ระเบิดไปไม่ถึงตัวรถ กลับตกลงบนถนนใกล้กับร้านน้ำชาและเกิดระเบิดขึ้น ทำให้ประชาชนและนักเรียนที่นั่งรับประทานอาหารอยู่ได้รับบาดเจ็บ ข้อมูลของตำรวจยังชี้ด้วยว่า...เมื่อเกิดระเบิดขึ้นแล้ว รถยนต์ของเจ้าหน้าที่ทหารที่กำลังแล่นอยู่ก็จอดที่ข้างทางเพื่อดูความเสียหาย เมื่อปรากฏว่า...ไม่มีทหารในรถได้รับบาดเจ็บ และรถยนต์ก็ไม่ได้รับความเสียหาย พลขับจึงขับรถออกไปอย่างรวดเร็ว แม้การสืบสวนสอบสวนของตำรวจจะคืบหน้าไปมากขนาดนี้ ประกอบกับมีภาพจากกล้องโทรทัศน์วงจรปิดของเทศบาลนครยะลาเผยแพร่ผ่านสื่อบางแขนง ปรากฏ “รถกระบะ” (ไม่ใช่รถบรรทุกตามที่รายงานข่าวในเบื้องต้น) 1 คันซึ่งว่ากันว่า น่าจะเป็นรถของทหารแล่นผ่านขณะเกิดเหตุระเบิดจริง แต่เสียงวิพากษ์วิจารณ์ในเรื่องนี้ก็ยังไม่จบ หลายคนเชื่อว่าระเบิดไม่ได้มาจากคนร้าย แต่มาจากรถของทหาร! ข้อกังขาของประชาชนในพื้นที่ก็คือ เหตุใดฝ่ายทหารจึงไม่ออกมายอมรับว่ามีกำลังพลของตนขับรถผ่านจุดเกิดเหตุขณะเกิดระเบิด เพราะภาพจาก กล้องโทรทัศน์วงจรปิดก็ค่อนข้างชัดเจน ประกอบกับชาวบ้านย่านนั้นซึ่งส่วนใหญ่เป็นพี่น้องมุสลิม ไม่เชื่อว่าจะมีคนร้ายที่เป็นมุสลิมกล้าปาระเบิดหน้ามัสยิดกลาง ข้อสันนิษฐานของชาวบ้านจึงสันนิษฐานใน 2 ทางงคือ หนึ่ง-ทหารจงใจปาระเบิดแล้วหลบหนี กับ สอง-ทหารทำระเบิดหล่น อย่างไรก็ดี ความเชื่อของ ชาวบ้านเทไปในทางข้อสันนิษฐานที่สองมากกว่า ขณะที่ “พ.อ.บรรพต พูลเพียร” โฆษกกอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า ยืนยันว่า...ในทางเทคนิคแล้วไม่มีทางเป็นไปได้ที่ระเบิดจะหลุดร่วงหรือขว้างออกมาจากยานพาหนะคันดังกล่าวซึ่งเป็นรถยนต์กระบะ ตามภาพคล้ายๆ จะเป็นรถยนต์กระบะสีทอง ลักษณะคล้ายกับ ยานพาหนะของเจ้าหน้าที่ “สำหรับยานพาหนะคันดังกล่าวในขั้นต้นยังไม่สามารถระบุได้ว่าเป็นยานพาหนะของเจ้าหน้าที่หน่วยใด สังกัดไหน ข้อมูลยังไม่ชัดเจน ทางเจ้าหน้าที่ทหารเองก็กำลังสอบถามและติดตามกันอยู่ว่ายานพาหนะนั้นเป็นของหน่วยใด” เหตุการณ์ครั้งนี้แม้จะยังไม่มีความชัดเจนจากหน่วยงาน ด้านความมั่นคง ถึงที่มาที่ไปของรถยนต์คันกังกล่าว แต่วันนี้สิ่งที่กองทัพภาคที่ 4 ต้องเร่งทำคือ การสร้างความใจให้ตรงกันของประชาชน เพราะสถานที่เกิดเหตุค่อนข้างอ่อนไหวกับการเข้าใจผิดซึ่งนั้นอาจเป็นการลดความน่าเชื่อถือของทหารได้ในที่สุด!