WeLoveOurKing
How to insert weloveking to you website

ทรงพระเจริญ

ขัตติยาอัด คอป แต่งนิทานโยนความผิดเสธ แดง 18 9 55

สถาบันกษัตริย์อยู่ได้ด้วยความจริง

ธงชัย วินิจจะกูล: Truth on Trial

สถาบันกษัตริย์ถึงเวลาต้องปรับตัว

ตุลาการผิดเลน !


ฟังกันให้ชัด! "นิติราษฎร์" ไขข้อข้องใจ ทุกคำถามกรณีลบล้างผลพวงรัฐประหาร





วิดีโอสอนการทำน้ำหมักป้าเช็ง SuperCheng TV ฉบับเต็ม 1.58 ชม.

VOICE NEWS

Fish




เพื่อไทย

เพื่อไทย
เพื่อ ประชาธิปไตย ขับไล่ เผด็จการ

Monday, June 14, 2010

มาร์คตามรอยบังสนธิปลุกคลั่งชาติซื้อไทยคมคืน วอลล์เปเปอร์เคยเตือนค่าโง่หมื่นล. ตอนนี้ล่อซะเอง

ที่มา Thai E-News



โดย ทีมข่าวไทยอีนิวส์
14 มิถุนายน 2553

อภิสิทธิ์เดินตามรอยสนธิบังปลุกกระแสชาตินิยมซื้อดาวเทียมไทยคม

รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เดินตามรอยพลเอกสนธิ บุญยะรัตกลิน อดีตประธานคมช.ที่เคยประกาศไว้สมัยทำรัฐประหาร19กันยายนใหม่ๆว่าจะซื้อดาวเทียมไทยคมคืนจากสิงคโปร์ เพื่อปลุกกระแสชาตินิยมและตามบี้ปฏิปักษ์การเมือง เรื่องที่น่าประหลาดก็คือ"วอลล์เปเปอร์"คนใกล้ชิดของนายอภิสิทธิ์ออกมาเป็นตัวขับเคลื่อนในการซื้อคืนดาวเทียมในครั้งนี้ หลังจากสมัยที่พลเอกสนธิมีแผนจะซื้อ เขาเป็นคนสำคัญในการคัดค้าน โดยอ้างว่าจะเสียค่าโง่นับหมื่นล้านบาท

“อภิสิทธิ์” รับจะซื้อดาวเทียมไทยคมคืนจากเทมาเส็กอ้างความมั่นคง

ทั้งนี้ช่วงเที่ยงวันนี้นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีที่มีข่าวว่า ทางรัฐบาลไทยจะซื้อคืนดาวเทียมไทยคมจาก บ.เทมาเส็ก ประเทศสิงคโปร์ ว่า เป็นเรื่องที่ทางกระทรวงการคลังกำลังพิจารณาอยู่ ซึ่งหากคำนึงถึงผลกระทบเกี่ยวกับความมั่นคงในเรื่องดาวเทียม ก็ถือว่ามีเหตุผล แต่ว่าก็ต้องดูว่าถ้าไปดำเนินการซื้อ จะต้องมีความโปร่งใสในเรื่องราคาและเงื่อนไขต่างๆ

นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า หากย้อนไปดูตอนที่ บ.เทมาเส็ก มาซื้อหุ้นจากบริษัทแม่ ก็ได้เคยชี้แจงต่อสาธารณะและต่อตลาดหลักทรัพย์ ว่า เขาไม่ได้มีเจตนาที่จะมาซื้อดาวเทียม ตรงนี้จึงอยู่ในข่ายที่น่าพิจารณา ทางกระทรวงการคลังจึงอยู่ระหว่างการเจรจา

“ผมคิดว่า มีความเป็นไปได้ ส่วนจะได้มาอย่างไรนั้น เป็นเงื่อนไขที่กระทรวงการคลังไปเจรจากับเทมาเส็ก และต้องมาดูด้วยว่าถ้ามีการซื้อเมื่อมาเป็นเจ้าของแล้ว องค์กรการบริหารควรจะอยู่ในรูปแบบไหนในสังกัดใด การซื้อจะซื้อมาเฉพาะดาวเทียม ไม่ได้ซื้อบริษัทเทมาเส็กกลับคืนมา” นายอภิสิทธิ์ กล่าว

ผู้สื่อข่าวถามถึงเจตนาของรัฐบาลที่ต้องการดาวเทียม นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า คิดว่า เป็นประโยชน์หากจะได้คืนมา แต่ว่าก็ต้องดูความสมเหตุสมผลในเรื่องของเงื่อนไข ราคาต่างๆ ส่วนจะใช้เวลาอีกนานหรือไม่อยู่ที่กระทรวงการคลัง ราคาก็ยังไม่มีการรายงาน

ราคาหุ้นไทยคมชนซิลลิ่งเหตุราคาต่ำกว่ามูลค่าบัญชีครึ่งต่อครึ่ง

ข่าวดังกล่าวส่งผลให้หุ้นด่วเทียมไทยคม หรือTHCOMวิ่งชนเพดาน หรือปรับตัวขึ้น30%ในการซื้อขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ไทยช่วงบ่ายวันนี้ หรือวิ่งขึ้นมาปิดที่7.05บาท ทั้งนี้เนื่องจากนักลงทุนคนเล่นหุ้นเห็นว่าราคาหุ้นในกระดานยังต่ำกว่ามูลค่าทางบัญชีที่ระบุไว้14.01บาท( ดูเพิ่มเติม )

โดยทั่วไปบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์มักมีการซื้อขายอิงจากราคามูลค่าทางบัญชี

วอลล์เปเปอร์แอ่นรับมาร์คควงกรณ์บินสิงคโปร์เจรจาซื้อคืน

วันเดียวกันนี้ช่วงบ่าย นายศิริโชค โสภา ส.ส.สงขลา พรรคประชาธิปัตย์คนใกล้ชิดนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงแนวคิดที่รัฐบาลจะซื้อหุ้นของบริษัท ไทยคม จำกัด(มหาชน) จากบริษัท เทมาเส็ก โฮลดิ้งส์ ของประเทศสิงคโปร์ ว่า ดาวเทียมเป็นเรื่องของยุทธศาสตร์ด้านความมั่นคงของประเทศ ซึ่งที่ผ่านมาพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ได้นำไปขายให้สิงคโปร์ รัฐบาลจึงมีความคิดที่อยากจะนำดาวเทียมกลับมาเป็นทรัพย์สินของคนไทยอีกครั้ง ซึ่งพรรคประชาธิปัตย์มีความคิดตั้งแต่สมัยที่เป็นฝ่ายค้านว่าสล็อตวงโคจรดาวเทียมเป็นทรัพย์ของคนไทย จึงไม่ควรถูกนำไปขายให้ต่างชาติ และเมื่อพรรคมาเป็นรัฐบาล เราก็เห็นว่าดาวเทียมมีความสำคัญต่อความมั่นคงของประเทศอย่างมาก จึงมีนโยบายที่จะเอาดาวเทียมไทยคมคืนมา ซึ่งจะต้องมีการไปพูดคุยกับบริษัท เทมาเส็กฯ ที่เป็นเจ้าของดาวเทียมไทยคม ทั้งนี้นายกรณ์ จาติกวณิช รมว.คลัง และตน ได้เดินทางไปยังประเทศสิงคโปร์เพื่อพูดคุยเรื่องนี้ในเบื้องต้นกับทางเทมาเส็กฯแล้ว เมื่อ 1 - 2 เดือนที่ผ่านมา ซึ่งทางเทมาเส็กฯไม่ขัดข้อง แต่จะขอดูเงื่อนไขต่างๆ เพราะมันเป็นเงื่อนไขในเชิงธุรกิจ เนื่องจากเขาต้องตอบผู้ถือหุ้นของเขาให้ได้

นายศิริโชค กล่าวอีกว่า สำหรับแนวทางการซื้อหุ้นดังกล่าว มีหลายแนวทาง ซึ่งรัฐบาลต้องให้กระทรวงการคลัง กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร(ไอซีที)ไปพูดคุยตกลงกันว่าจะให้รัฐวิสาหกิจใดไปซื้อ เช่น อสมท. หรือบริษัทกสท โทรคมนาคม จำกัด(มหาชน) เป็นต้น เพราะรัฐวิสาหกิจอาจมีเงินสะสมของเขาอยู่แล้ว ซื้อในราคาที่เท่าไหร่ และประชาชนจะมีส่วนร่วมในการเป็นเจ้าของได้หรือไม่ ซึ่งรัฐบาลก็อาจตั้งเป็นกองทุนซื้อดาวเทียมไทยคมกลับคืนมา โดยจัดเป็นหน่วยลงทุนให้ประชาชนระดมทุนเข้ามา และเมื่อได้ข้อสรุปรูปแบบที่ดีที่สุดสำหรับประเทศ รัฐบาลก็จะดำเนินการยื่นข้อเสนอในการขอซื้อหุ้นต่อไป

ผู้สื่อข่าวถามว่าจะซื้อกลับมาหมดหรือไม่ นายศิริโชค กล่าวว่า ต้องดูที่ตัวบริษัท ไทยคมฯ ซึ่งมีธุรกิจหลักเป็นอย่างไร เพราะที่ถ้าดูตามรายได้หลัก คือ การให้บริการโทรศัพท์มือถือในประเทศลาว และธุรกิจที่ลงทุนมาก คือ ในส่วนของดาวเทียม ซึ่งรัฐบาลต้องพิจารณาว่าจะซื้อทั้งหมดหรือซื้อเฉพาะในส่วนของดาวเทียม เมื่อถามว่านายกรัฐมนตรีมีความเห็นในเรื่องนี้อย่างไรบ้าง นายศิริโชค กล่าวว่า ความคิดโดยรวมตั้งแต่สมัยที่เป็นฝ่ายค้าน และเมื่อดูทิศทางการทำงานของนายกรัฐมนตรี ก็เห็นว่านายกรัฐมนตรีค่อนข้างเห็นด้วยในการที่จะนำดาวเทียมไทยคมกลับมาเป็นของไทย

สนธิบังเคยปลุกกระแสชาตินิยมแต่โดนวอลล์เปเปอร์สมัยเป็นฝ่ายค้านต่อต้าน

ประเด็นการซื้อคืนดาวเทียมไทยคมคืนจากสิงคโปร์นี้เคยจุดกระแสขึ้นครั้งแรกหลังรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 โดยพลเอกสนธิ บุญยรัตกลิน หัวหน้าคมช.พูดเมื่อวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2550 ว่าเพื่อความมั่นคงของชาติและัศักดิ์ศรีของชาติเพราะชื่อดาวเทียมไทยคมนั้นในหลวงพระราชทานชื่อให้ต้องเอาดาวเทียมไทยคมกลับมาเป็นของไทย โดยอาจระดมทุนจากคนไทยซื้อคืนมาเป็นของชาติ

เวบไซต์ASTVผู้จัดการเคยนำเสนอข่าวเรื่อง ปชป.ซัดสุรยุทธ์หลงทางทวง"ไทยคม" ทุ่ม 1 หมื่นล้านซื้อชินแซทไม่คุ้ม! ไว้เมื่อวันที่ 20 ธันวาคม 2550 ซึ่งตอนนั้นเป็นสมัยรัฐบาลพลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์ ดังต่อไปนี้


ปชป.เชื่อสัญญาซื้อขายลวง-ไม่ขายดาวเทียมจริง

นาย ศิริโชค โสภา พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวเมื่อวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2550 ว่า ขณะนี้เรื่องดาวเทียมไทยคมนั้นยังมีความสับสนและเข้าใจผิดในสังคมอย่างกว้างขวาง โดยเฉพาะประเด็นการซื้อคืนนั้นแทบจะไม่มีทางเป็นไปได้ เพราะไม่คุ้มค่า โดยสิ่งที่รัฐบาลควรทำที่สุดเวลานี้คือนำสัญญาซื้อขายระหว่างกองทุนเทมาเส็กกับกลุ่มชินวัตร กลับมาดูรายละเอียดใหม่ รวมถึงเปิดเผยรายละเอียดสัญญาสัมปทานระหว่างรัฐกับกลุ่มชินคอร์ป และเร่งตรวจสอบคุณสมบัติของชินคอร์ปว่าเป็นไทยหรือต่างชาติ แทนการตั้งกองทุนเพื่อไปซื้อหุ้นคืน

การนำสัญญาซื้อขายมาดูรายละเอียดนั้น เพราะไม่เชื่อว่าจะมีการซื้อขายดาวเทียมเกิดขึ้นจริง ข้อตกลงซื้อขายในสัญญาดังกล่าวน่าจะมีความสลับซับซ้อน สิ่งที่ต้องไปดูให้ละเอียดคือในข้อตกลงดังกล่าว มีสัญญาซื้อคืนหรือไม่ มีการสวอปหุ้นหรือไม่ หรือสัญญาดังกล่าวเป็นสัญญาต่างตอบแทนหรือไม่

'ตอนที่ทำข้อมูลอภิปรายไม่ไว้วางใจเรื่องนี้ รับรู้มาว่าสิ่งที่กลุ่มชินวัตรต้องการขายคือ ธุรกิจมือถือ เพราะถึงจุดที่พัฒนาได้ยาก ต้องใช้เงินลงทุนมหาศาลจากการเปลี่ยนจากระบบดิจิตอลเป็น 3 G หรือ 3.5 G และมีคู่แข่งกับมือถือระดับโลก แม้กระทั่ง DTAC เอง ซึ่งไม่คุ้มที่จะดำเนินธุรกิจต่อไปและธุรกิจที่กลุ่มชินวัตรจะใช้เป็นธุรกิจรายได้หลักนั้นเป็นธุรกิจดาวเทียมเพราะชินคอร์ปเองก็มีการกู้เงินจากสหรัฐอเมริกาเพื่อมาสร้างไทยคม 4 หรือ ไอพีสตาร์ ขึ้นมา ซึ่งถือเป็นดาวเทียมดวงแรกในโลกที่ให้บริการธุรกิจบรอดแบรนด์หรืออินเทอร์เน็ตความเร็วสูงด้วย ตอนนั้นกลุ่มชินวัตรก็ยืนยันว่าธุรกิจนี้จะเป็นธุรกิจหลักที่ทำรายได้หลักให้กับกลุ่มชินวัตร ตัวคุณทักษิณเองก็ภูมิใจในธุรกิจดาวเทียม ในหนังสือตาดูดาวเท้าติดดินก็พูดถึงแต่ธุรกิจดาวเทียม แต่อยู่ดีๆ ก็มาขาย จึงน่าสงสัยว่าจริง ๆ แล้วไม่ได้มีการซื้อขายดาวเทียมจริง ๆหรือเปล่า เป็นข้อตกลงซื้อขายที่แลกเปลี่ยนอะไรกันหรือเปล่า ซึ่งจนถึงเวลานี้ยังไม่มีใครเห็นสัญญาซื้อขายเลย'

ระวัง!เสียค่าโง่ซื้อชินแซทคืน

ต่อจากนั้นจึงกลับไปดูข้อสัญญาการให้สัมปทานดาวเทียมระหว่างกระทรวงคมนาคมกับชินคอร์ป ดูอย่างถี่ถ้วนว่าสัญญาข้อตกลงซื้อขายระหว่างชินคอร์ปกับเทมาเส็กนั้น ผิดต่อสัญญาการได้รับสัมปทานตรงไหนบ้าง หรือสัญญาสัมปทานดังกล่าวมีความครอบคลุมขนาดไหน เช่นประเด็นดาวเทียมที่มีการยิงขึ้นวงโคจรจริง ๆ มี 4 ลูก ลูกที่ 5 เป็นลูกสำรอง ก็ต้องดูว่าจริง ๆ แล้วสัมปทานเขียนหรือไม่ว่าดาวเทียมทั้ง 4 ลูกต้องมีดาวเทียมสำรองอย่างละลูกหรือเปล่า หรือดาวเทียมสำรองเมื่อมีการนำไปใช้ประโยชน์ต้องมีการเก็บเงินเพิ่มขึ้นหรือเปล่า เรื่องเหล่านี้ยังไม่มีการพูดถึง

โดยในฐานะกรมไปรษณีย์โทรเลข กระทรวงคมนาคม ที่เป็นหน่วยงานเดิมในการให้สัมปทาน จึงเห็นว่ารัฐบาลควรให้กรมไปรษณีย์โทรเลขมาเป็นคนตรวจสอบและดูรายละเอียดสัญญาสัมปทานให้ถี่ถ้วนอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งคนในกรมไปรษณีย์โทรเลขส่วนใหญ่เป็นนักวิชาการจึงมั่นใจว่าน่าจะมีความจริงใจในการตรวจสอบสัญญาสัมปทานระหว่างกรมฯ กับ บริษัทชินคอร์ปในเวลานั้น

ที่สำคัญข้อมูลที่ต้องทำความเข้าใจให้กระจ่างคือจริง ๆ แล้วสัญญาสัมปทานดาวเทียมนั้นบริษัทที่ได้รับสัมปทานดาวเทียมสื่อสารในประเทศไทยเป็นระยะเวลา 30 ปีนั้นคือบริษัทชินวัตรคอมพิวเตอร์แอนด์คอมมิวนิเคชั่น จำกัด ซึ่งตอนหลังเปลี่ยนชื่อเป็นบริษัทชิน คอร์ปอเรชั่น จำกัด(มหาชน) หรือชินคอร์ป และมีการตั้งบริษัทชินแซทขึ้นมาเพื่อทำหน้าที่บริหารจัดการดาวเทียมเท่านั้น แต่สัญญาสัมปทานยังเป็นของชินคอร์ป

ความคิดของรัฐบาลที่จะใช้เงิน 1 หมื่นล้านบาทไปซื้อชินแซทคืนมาจากกองทุนเทมาเส็กของสิงคโปร์นั้น จึงเป็นเรื่องที่ผิดมหันต์ เพราะเป็นการซื้อบริษัทในส่วนของบริหารจัดการ ไม่ได้ซื้อคืนสัมปทานดาวเทียมแต่อย่างใด ขณะเดียวกันก็ไม่เห็นด้วยอย่างยิ่งที่รัฐบาลจะไปซื้อชินคอร์ปคืนมาจากกองทุนเทมาเส็ก เพราะอย่าลืมว่าเงินจำนวน 1 แสนล้านบาทนี้ เป็นเงินที่ตีมูลค่าหุ้นของชินคอร์ปสูงเกินกว่าความเป็นจริง เพราะไม่มีการหักลบกลบหนี้ของบริษัทไอทีวี ที่ยังมีปัญหาเรื่องค่าสัมปทานกับรัฐบาลอยู่การไปซื้อชินคอร์ปกลับมาทั้งยวง จึงเท่ากับว่านอกจากต้องซื้อแพงเกินความเป็นจริงแล้ว ยังต้องรับเอาบริษัทที่กำลังมีปัญหากลับมาด้วย ซึ่งทั้งสองวิธีคือซื้อคืนชินคอร์ปหรือซื้อคืนชินแซท คิดยังไงก็ไม่คุ้ม คือพูดง่ายแต่ทำจริงได้ยาก

ฉะนั้นจึงยืนยันว่ารัฐบาลไทยน่าจะใช้สิทธิดำเนินการทางกฎหมาย โดยเฉพาะการพิสูจน์ว่าบริษัทกุหลาบแก้วเป็นนอมีนีให้กองทุนเทมาเส็กจริงหรือไม่ ในประเด็นความผิด 2 ประเด็นคือ ขัดต่อสัญญาสัมปทานและผิดกฎหมายความมั่นคง ซึ่งต้องมีการฟ้องศาลเพื่อพิจารณา ท้ายที่สุดอาจจบที่ว่าบริษัทชินคอร์ปไม่สามารถขายหุ้นให้ต่างชาติได้ เมื่อเป็นอย่างนั้นก็เชื่อว่าท้ายที่สุดแล้วต่างชาติก็ต้องเคารพในกฎหมายไทย เมื่อพิสูจน์ว่าสัญญาซื้อขายไม่ชอบด้วยกฎหมาย ไม่มีใครต่อว่าประเทศไทยได้

'วิธีนี้เป็นวิธีที่ดีที่สุดที่รัฐบาลควรยึดเป็นแนวทาง อย่าไปคิดเรื่องซื้อคืนเลย มันยาก รัฐบาลต้องเร่งรีบทำความกระจ่างให้รู้ว่าชินคอร์ปเป็นไทยหรือเทศ ถ้าจะทำกันจริง ๆ มันใช้เวลาไม่นาน สามารถปรึกษากฤษฎีกาขออำนาจศาลให้การดำเนินการฉุกเฉินได้ ซึ่งศาลก็จะมีมาตรการทุเลาความเสียหายที่เกิดกับประเทศชาติเอง'

อย่างไรก็ดี เข้าใจว่ารัฐบาลทำเรื่องนี้ได้ยาก เพราะเป็นรัฐบาลที่ยึดอำนาจมา ไม่ได้รับความร่วมมือจากระบบข้าราชการมากนัก อีกทั้งระบอบทักษิณยังคงความแข็งแกร่งในระบบราชการ การหาหลักฐานที่ชัดเจนทำได้ยากแต่ก็ต้องทำให้ได้เพื่อพิสูจน์ฝีมือคมช.และรัฐบาล
ทั้งนี้การทวงคืนไทยคมหรือทำให้สัญญาซื้อขายเป็นโมฆะนี้ ไม่อยากให้รัฐบาลใช้แต่วิธีเรียกคะแนนเสียงทางการเมืองเท่านั้น แต่ต้องคิดถึงความถูกต้องมากกว่า

'ไม่เห็นด้วยที่จะไปทำโพลสำรวจความคิดเห็นประชาชน เพราะเป็นเรื่องทางกฎหมาย หากตามกฎหมายเป็นเรื่องผิดและประชาชนไม่เห็นด้วย ก็จะไม่เอาผิดเขาอย่างนั้นหรือ หรือไม่ดำเนินการตามกฎหมาย ไม่เร่งกระบวนการสอบสวน แต่ประชาชนบอกว่าต้องทวงคืน แล้วจะไปทวงคืนดาวเทียมมาได้อย่างไร เป็นเรื่องที่เสียเวลามาก อย่ามัวแต่เล่นแต่กระแสความรู้สึก แต่ควรจะเร่งดำเนินการตามกฎหมาย ต้องแยกแยะให้ออก ไม่ใช่มัวแต่ห่วงคะแนนเสียง'

อย่างไรก็ดี สิ่งที่รัฐบาลจะต้องทำอีกประการคือ ทำแผนรองรับว่าหากได้สัมปทานดาวเทียมคืนมาจะบริหารจัดการดาวเทียมอย่างไร เพราะเป็นดาวเทียมในเชิงพาณิชย์ มีเกทเวย์ทั้งหมดว่า 18 เกทเวย์ทั่วโลก ซึ่งต้องดูว่าทำอย่างไรถึงจะคุ้มค่า หากไม่เตรียมแผนรองรับ ก็เท่ากับว่าจะเสียเวลาและเสียรายได้จากดาวเทียมไปโดยเปล่าประโยชน์