WeLoveOurKing
How to insert weloveking to you website

ทรงพระเจริญ

ขัตติยาอัด คอป แต่งนิทานโยนความผิดเสธ แดง 18 9 55

สถาบันกษัตริย์อยู่ได้ด้วยความจริง

ธงชัย วินิจจะกูล: Truth on Trial

สถาบันกษัตริย์ถึงเวลาต้องปรับตัว

ตุลาการผิดเลน !


ฟังกันให้ชัด! "นิติราษฎร์" ไขข้อข้องใจ ทุกคำถามกรณีลบล้างผลพวงรัฐประหาร





วิดีโอสอนการทำน้ำหมักป้าเช็ง SuperCheng TV ฉบับเต็ม 1.58 ชม.

VOICE NEWS

Fish




เพื่อไทย

เพื่อไทย
เพื่อ ประชาธิปไตย ขับไล่ เผด็จการ

Tuesday, June 15, 2010

หึ่ง!ผู้เชี่ยวชาญต้านค่าโง่หมื่นล้านผลาญซื้อไทยคม

ที่มา Thai E-News




ยืนหยัดเพื่อสัจธรรม -ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ พร้อมแกนนำคนสำคัญของนปช.ถูกนำตัวขึ้นศาลเพื่อฝากขังคดีรัฐบาลกล่าวหาเป็นแกนนำก่อการร้าย โดยคนเสื้อแดงไปให้กำลังใจจำนวนมากเมื่อเช้าวันนี้ โดยแกนนำนปช.คัดค้านการนิรโทษกรรม เพราะเห็นว่าเป็นข้ออ้างเพื่อยกเว้นโทษการเข่นฆ่าประชาของรัฐบาลกับพรรคพวกมากกว่า และยืนหยัดจะต่อสู้คดีเพื่อยืนยันความบริสุทธิ์(ภาพ: AP )


โดย ทีมข่าวไทยอีนิวส์
15 มิถุนายน 2553


หากซื้อคืนเฉพาะดาวเทียมมีค่าโง่11,000ล้าน ผู้เชี่ยวชาญต้านแล้ว

ศาสตราจารย์ถวิล พึ่งมา นักวิชาการผู้เชี่ยวชาญด้านโทรคมนาคมได้คัดค้านการเข้าซื้อดาวเทียมไทยคมคืนจากกองทุนเทมาเส็กของสิงคโปร์ โดยระบุว่าไม่สอดคล้องต่อทั้งด้านเศรษฐกิจ และด้านความมั่นคงที่รัฐบาลกล่าวอ้าง

นายอารักษ์ ชลธาร์นนท์ ประธานคณะเจ้าหน้าที่ผู้บริหาร บริษัทไทยคม จำกัด (มหาชน) หรือ THCOM กล่าวว่า กรณีดังกล่าวนั้นคงเป็นขั้นตอนการเจรจากับผู้ถือหุ้น อย่างไรก็ตาม ส่วนกรณีที่รัฐบาลบอกว่า เหตุผลที่ต้องซื้อหุ้นไทยคมคืน เพราะเกี่ยวกับเหตุผลความมั่นคง ก็ต้องถามว่าความมั่นคงคืออะไร หากจะเป็นเรื่องวงโคจรก็ยังคงเป็นของประเทศไทยเช่นเดิม และที่ผ่านมาก็ยังไม่เคยเป็นของต่างประเทศ หรือว่าจะเกี่ยวกับการปิดสัญญาณของกลุ่ม นปช. ก็ต้องตอบให้ชัดเจนว่า THCOM ไม่ให้ความร่วมมือตรงไหนบ้าง หากจะซื้อในตอนนี้ หากคิดตามมูลค่าตลาดหลักทรัพย์แล้ว ก็ต้องมีอย่างน้อย 10,000 ล้านบาท

วันนี้รัฐมนตรีบางคนของพรรคประชาธิปัตย์คือนายจุติ ไกรฤกษ์ และนายองอาจ คล้ามไพบูลย์อ้างว่า หากตรวจสอบพบว่าไทยคมฝ่าฝืนคำสั่งรัฐบาลด้วยการให้สัญญาณถ่ายทอดแก่โทรทัศน์พีเพิลแชนัลของกลุ่มคนเสื้อแดง ก็อาจเป็นช่องทางในการยึดสัมปทานคืน ไม่จำเป็นต้องซื้อคืนเท่านั้น

อย่าไรก็ตามในช่วงที่ผ่านมาบริษัทไทยคมได้ ออกแถลงการณ์ลงวันที่ 29 เมษายน 2553 ชี้แจงกรณีดังกล่าวว่า บริษัทได้ปฏิบัติตามคำสั่งรัฐบาลโดยเคร่งครัดแล้ว( อ่านรายละเอียด)

ฝ่ายวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ทรินิตี้ จำกัด (มหาชน)เปิดเผนในรายงานบทวิจัยว่าหากรัฐบาลจะซื้อคืนเฉพาะดาวเทียม ตรงนี้มีมูลค่าทางบัญชีอยู่ 11,695 ล้านบาท หากรัฐต่อรองซื้อได้ถูกที่สุดก็ต้องใช้เงินราว 5,847 ล้านบาท แต่หากซื้อหุ้นไทยคมคืนในส่วนที่เทมาเส็กถือผ่านบริษัทชินคอร์ปฯต้องใช้เงินขั้นต่ำ3,874ล้านบาท( อ่านรายละเอียดคลิ้ก )

ระวังเสียค่าโง่หมื่นล้านได้มาแค่ขยะ

เวบไซต์ผู้จัดการ รายงานว่า นายสิทธิชัย โภไคยอุดม อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ให้สัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ผ่านรายการสภาท่าพระอาทิตย์ ถึงกรณีที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีมีแนวคิดที่จะซื้อคืนหุ้นดาวเทียมไทยคมจาก บ.เทมาเส็ก ของสิงคโปร์ ว่า ที่จะมาอ้างเรื่องความมั่นคงตนไม่ค่อยเห็นด้วย ถ้าจะเกี่ยวกับความมั่นคงเองเราไม่ควรไปซื้อบริษัทเขามา เพราะว่า ซื้อมาก็เหลือแต่เพียงดาวเทียมไทยคม 5 ซึ่งมีอายุอีกไม่กี่ปี ขณะที่ดาวเทียมไอพีสตาร์อาจจะมีอายุนานหน่อย

การซื้อคืนของรัฐบาลไม่ได้หมายถึงดาวเทียมไทยคม 1 - 3 ที่ปัจจุบันกลายเป็นขยะไปแล้ว

อภิสิทธิ์เดินตามรอยสนธิบังปลุกกระแสชาตินิยมซื้อดาวเทียมไทยคม

รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เดินตามรอยพลเอกสนธิ บุญยะรัตกลิน อดีตประธานคมช.ที่เคยประกาศไว้สมัยทำรัฐประหาร19กันยายนใหม่ๆว่าจะซื้อดาวเทียมไทยคมคืนจากสิงคโปร์ เพื่อปลุกกระแสชาตินิยม และตามบี้ปฏิปักษ์การเมือง เรื่องที่น่าประหลาดก็คือ"วอลล์เปเปอร์"คนใกล้ชิดของนายอภิสิทธิ์ออกมาเป็นตัวขับเคลื่อนในการซื้อคืนดาวเทียมในครั้งนี้ หลังจากสมัยที่พลเอกสนธิมีแผนจะซื้อ เขาเป็นคนสำคัญในการคัดค้าน โดยอ้างว่าจะเสียค่าโง่นับหมื่นล้านบาท

“อภิสิทธิ์” รับจะซื้อดาวเทียมไทยคมคืนจากเทมาเส็กอ้างความมั่นคง

ทั้งนี้ช่วงเที่ยงวานนี้นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีที่มีข่าวว่า ทางรัฐบาลไทยจะซื้อคืนดาวเทียมไทยคมจาก บ.เทมาเส็ก ประเทศสิงคโปร์ ว่า เป็นเรื่องที่ทางกระทรวงการคลังกำลังพิจารณาอยู่ ซึ่งหากคำนึงถึงผลกระทบเกี่ยวกับความมั่นคงในเรื่องดาวเทียม ก็ถือว่ามีเหตุผล แต่ว่าก็ต้องดูว่าถ้าไปดำเนินการซื้อ จะต้องมีความโปร่งใสในเรื่องราคาและเงื่อนไขต่างๆ

นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า หากย้อนไปดูตอนที่ บ.เทมาเส็ก มาซื้อหุ้นจากบริษัทแม่ ก็ได้เคยชี้แจงต่อสาธารณะและต่อตลาดหลักทรัพย์ ว่า เขาไม่ได้มีเจตนาที่จะมาซื้อดาวเทียม ตรงนี้จึงอยู่ในข่ายที่น่าพิจารณา ทางกระทรวงการคลังจึงอยู่ระหว่างการเจรจา

“ผมคิดว่า มีความเป็นไปได้ ส่วนจะได้มาอย่างไรนั้น เป็นเงื่อนไขที่กระทรวงการคลังไปเจรจากับเทมาเส็ก และต้องมาดูด้วยว่าถ้ามีการซื้อ เมื่อมาเป็นเจ้าของแล้ว องค์กรการบริหารควรจะอยู่ในรูปแบบไหนในสังกัดใด การซื้อจะซื้อมาเฉพาะดาวเทียม ไม่ได้ซื้อบริษัทเทมาเส็กกลับคืนมา” นายอภิสิทธิ์ กล่าว

ผู้สื่อข่าวถามถึงเจตนาของรัฐบาลที่ต้องการดาวเทียม นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า คิดว่า เป็นประโยชน์หากจะได้คืนมา แต่ว่าก็ต้องดูความสมเหตุสมผลในเรื่องของเงื่อนไข ราคาต่างๆ ส่วนจะใช้เวลาอีกนานหรือไม่ อยู่ที่กระทรวงการคลัง ราคาก็ยังไม่มีการรายงาน

ราคาหุ้นไทยคมชนซิลลิ่งเหตุราคาต่ำกว่ามูลค่าบัญชีครึ่งต่อครึ่ง

ข่าวดังกล่าวส่งผลให้หุ้นด่วเทียมไทยคม หรือTHCOMวิ่งชนเพดาน หรือปรับตัวขึ้น30%ในการซื้อขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ไทยช่วงายวานนี้ หรือวิ่งขึ้นมาปิดที่7.05บาท และยังคงวิ่งขึ้นต่อในวันที่ 15 มิถุนายนอีกราว15% ทั้งนี้เนื่องจากนักลงทุนคนเล่นหุ้นเห็นว่าราคาหุ้นในกระดานยังต่ำกว่ามูลค่าทางบัญชีที่ระบุไว้14.01บาท( ดูเพิ่มเติม )

โดยทั่วไปบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์มักมีการซื้อขายอิงจากราคามูลค่าทางบัญชี

วอลล์เปเปอร์แอ่นรับมาร์คควงกรณ์บินสิงคโปร์เจรจาซื้อคืน

วันเดียวกันช่วงบ่าย นายศิริโชค โสภา ส.ส.สงขลา พรรคประชาธิปัตย์ คนใกล้ชิดนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงแนวคิดที่รัฐบาลจะซื้อหุ้นของบริษัท ไทยคม จำกัด(มหาชน) จากบริษัท เทมาเส็ก โฮลดิ้งส์ ของประเทศสิงคโปร์ ว่า ดาวเทียมเป็นเรื่องของยุทธศาสตร์ด้านความมั่นคงของประเทศ ซึ่งที่ผ่านมาพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ได้นำไปขายให้สิงคโปร์ รัฐบาลจึงมีความคิดที่อยากจะนำดาวเทียมกลับมาเป็นทรัพย์สินของคนไทยอีกครั้ง ซึ่งพรรคประชาธิปัตย์มีความคิดตั้งแต่สมัยที่เป็นฝ่ายค้านว่าสล็อตวงโคจรดาวเทียมเป็นทรัพย์ของคนไทย จึงไม่ควรถูกนำไปขายให้ต่างชาติ และเมื่อพรรคมาเป็นรัฐบาล เราก็เห็นว่าดาวเทียมมีความสำคัญต่อความมั่นคงของประเทศอย่างมาก จึงมีนโยบายที่จะเอาดาวเทียมไทยคมคืนมา ซึ่งจะต้องมีการไปพูดคุยกับบริษัท เทมาเส็กฯ ที่เป็นเจ้าของดาวเทียมไทยคม ทั้งนี้นายกรณ์ จาติกวณิช รมว.คลัง และตน ได้เดินทางไปยังประเทศสิงคโปร์เพื่อพูดคุยเรื่องนี้ในเบื้องต้นกับทางเทมาเส็กฯแล้ว เมื่อ 1 - 2 เดือนที่ผ่านมา ซึ่งทางเทมาเส็กฯไม่ขัดข้อง แต่จะขอดูเงื่อนไขต่างๆ เพราะมันเป็นเงื่อนไขในเชิงธุรกิจ เนื่องจากเขาต้องตอบผู้ถือหุ้นของเขาให้ได้

นายศิริโชค กล่าวอีกว่า สำหรับแนวทางการซื้อหุ้นดังกล่าว มีหลายแนวทาง ซึ่งรัฐบาลต้องให้กระทรวงการคลัง กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร(ไอซีที)ไปพูดคุยตกลงกันว่าจะให้รัฐวิสาหกิจใดไปซื้อ เช่น อสมท. หรือบริษัทกสท โทรคมนาคม จำกัด(มหาชน) เป็นต้น เพราะรัฐวิสาหกิจอาจมีเงินสะสมของเขาอยู่แล้ว ซื้อในราคาที่เท่าไหร่ และประชาชนจะมีส่วนร่วมในการเป็นเจ้าของได้หรือไม่ ซึ่งรัฐบาลก็อาจตั้งเป็นกองทุนซื้อดาวเทียมไทยคมกลับคืนมา โดยจัดเป็นหน่วยลงทุนให้ประชาชนระดมทุนเข้ามา และเมื่อได้ข้อสรุปรูปแบบที่ดีที่สุดสำหรับประเทศ รัฐบาลก็จะดำเนินการยื่นข้อเสนอในการขอซื้อหุ้นต่อไป

ผู้สื่อข่าวถามว่าจะซื้อกลับมาหมดหรือไม่ นายศิริโชค กล่าวว่า ต้องดูที่ตัวบริษัท ไทยคมฯ ซึ่งมีธุรกิจหลักเป็นอย่างไร เพราะที่ถ้าดูตามรายได้หลัก คือ การให้บริการโทรศัพท์มือถือในประเทศลาว และธุรกิจที่ลงทุนมาก คือ ในส่วนของดาวเทียม ซึ่งรัฐบาลต้องพิจารณาว่าจะซื้อทั้งหมดหรือซื้อเฉพาะในส่วนของดาวเทียม เมื่อถามว่านายกรัฐมนตรีมีความเห็นในเรื่องนี้อย่างไรบ้าง นายศิริโชค กล่าวว่า ความคิดโดยรวมตั้งแต่สมัยที่เป็นฝ่ายค้าน และเมื่อดูทิศทางการทำงานของนายกรัฐมนตรี ก็เห็นว่านายกรัฐมนตรีค่อนข้างเห็นด้วยในการที่จะนำดาวเทียมไทยคมกลับมาเป็นของไทย

สนธิบังเคยปลุกกระแสชาตินิยมแต่โดนวอลล์เปเปอร์สมัยเป็นฝ่ายค้านต่อต้าน

ประเด็นการซื้อคืนดาวเทียมไทยคมคืนจากสิงคโปร์นี้เคยจุดกระแสขึ้นครั้งแรกหลังรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 โดยพลเอกสนธิ บุญยรัตกลิน หัวหน้าคมช.พูดเมื่อวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2550 ว่าเพื่อความมั่นคงของชาติและัศักดิ์ศรีของชาติเพราะชื่อดาวเทียมไทยคมนั้นในหลวงพระราชทานชื่อให้ ต้องเอาดาวเทียมไทยคมกลับมาเป็นของไทย โดยอาจระดมทุนจากคนไทยซื้อคืนมาเป็นของชาติ

เวบไซต์ASTVผู้จัดการเคยนำเสนอข่าวเรื่อง ปชป.ซัดสุรยุทธ์หลงทางทวง"ไทยคม" ทุ่ม 1 หมื่นล้านซื้อชินแซทไม่คุ้ม! ไว้เมื่อวันที่ 20 ธันวาคม 2550 ซึ่งตอนนั้นเป็นสมัยรัฐบาลพลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์ ดังต่อไปนี้


ปชป.เชื่อสัญญาซื้อขายลวง-ไม่ขายดาวเทียมจริง

นาย ศิริโชค โสภา พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวเมื่อวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2550 ว่า ขณะนี้เรื่องดาวเทียมไทยคมนั้นยังมีความสับสนและเข้าใจผิดในสังคมอย่างกว้างขวาง โดยเฉพาะประเด็นการซื้อคืนนั้นแทบจะไม่มีทางเป็นไปได้ เพราะไม่คุ้มค่า โดยสิ่งที่รัฐบาลควรทำที่สุดเวลานี้คือนำสัญญาซื้อขายระหว่างกองทุนเทมาเส็กกับกลุ่มชินวัตร กลับมาดูรายละเอียดใหม่ รวมถึงเปิดเผยรายละเอียดสัญญาสัมปทานระหว่างรัฐกับกลุ่มชินคอร์ป และเร่งตรวจสอบคุณสมบัติของชินคอร์ปว่าเป็นไทยหรือต่างชาติ แทนการตั้งกองทุนเพื่อไปซื้อหุ้นคืน

การนำสัญญาซื้อขายมาดูรายละเอียดนั้น เพราะไม่เชื่อว่าจะมีการซื้อขายดาวเทียมเกิดขึ้นจริง ข้อตกลงซื้อขายในสัญญาดังกล่าวน่าจะมีความสลับซับซ้อน สิ่งที่ต้องไปดูให้ละเอียดคือในข้อตกลงดังกล่าว มีสัญญาซื้อคืนหรือไม่ มีการสวอปหุ้นหรือไม่ หรือสัญญาดังกล่าวเป็นสัญญาต่างตอบแทนหรือไม่

'ตอนที่ทำข้อมูลอภิปรายไม่ไว้วางใจเรื่องนี้ รับรู้มาว่าสิ่งที่กลุ่มชินวัตรต้องการขายคือ ธุรกิจมือถือ เพราะถึงจุดที่พัฒนาได้ยาก ต้องใช้เงินลงทุนมหาศาลจากการเปลี่ยนจากระบบดิจิตอลเป็น 3 G หรือ 3.5 G และมีคู่แข่งกับมือถือระดับโลก แม้กระทั่ง DTAC เอง ซึ่งไม่คุ้มที่จะดำเนินธุรกิจต่อไป และธุรกิจที่กลุ่มชินวัตรจะใช้เป็นธุรกิจรายได้หลักนั้นเป็นธุรกิจดาวเทียม เพราะชินคอร์ปเองก็มีการกู้เงินจากสหรัฐอเมริกาเพื่อมาสร้างไทยคม 4 หรือ ไอพีสตาร์ ขึ้นมา ซึ่งถือเป็นดาวเทียมดวงแรกในโลกที่ให้บริการธุรกิจบรอดแบรนด์หรืออินเทอร์เน็ตความเร็วสูงด้วย ตอนนั้นกลุ่มชินวัตรก็ยืนยันว่าธุรกิจนี้จะเป็นธุรกิจหลักที่ทำรายได้หลักให้กับกลุ่มชินวัตร ตัวคุณทักษิณเองก็ภูมิใจในธุรกิจดาวเทียม ในหนังสือตาดูดาวเท้าติดดินก็พูดถึงแต่ธุรกิจดาวเทียม แต่อยู่ดีๆ ก็มาขาย จึงน่าสงสัยว่าจริง ๆ แล้วไม่ได้มีการซื้อขายดาวเทียมจริง ๆหรือเปล่า เป็นข้อตกลงซื้อขายที่แลกเปลี่ยนอะไรกันหรือเปล่า ซึ่งจนถึงเวลานี้ยังไม่มีใครเห็นสัญญาซื้อขายเลย'

ระวัง!เสียค่าโง่ซื้อชินแซทคืน

ต่อจากนั้นจึงกลับไปดูข้อสัญญาการให้สัมปทานดาวเทียมระหว่างกระทรวงคมนาคมกับชินคอร์ป ดูอย่างถี่ถ้วนว่าสัญญาข้อตกลงซื้อขายระหว่างชินคอร์ปกับเทมาเส็กนั้น ผิดต่อสัญญาการได้รับสัมปทานตรงไหนบ้าง หรือสัญญาสัมปทานดังกล่าวมีความครอบคลุมขนาดไหน เช่นประเด็นดาวเทียมที่มีการยิงขึ้นวงโคจรจริง ๆ มี 4 ลูก ลูกที่ 5 เป็นลูกสำรอง ก็ต้องดูว่าจริง ๆ แล้วสัมปทานเขียนหรือไม่ว่าดาวเทียมทั้ง 4 ลูกต้องมีดาวเทียมสำรองอย่างละลูกหรือเปล่า หรือดาวเทียมสำรองเมื่อมีการนำไปใช้ประโยชน์ต้องมีการเก็บเงินเพิ่มขึ้นหรือเปล่า เรื่องเหล่านี้ยังไม่มีการพูดถึง

โดยในฐานะกรมไปรษณีย์โทรเลข กระทรวงคมนาคม ที่เป็นหน่วยงานเดิมในการให้สัมปทาน จึงเห็นว่ารัฐบาลควรให้กรมไปรษณีย์โทรเลขมาเป็นคนตรวจสอบและดูรายละเอียดสัญญาสัมปทานให้ถี่ถ้วนอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งคนในกรมไปรษณีย์โทรเลขส่วนใหญ่เป็นนักวิชาการจึงมั่นใจว่าน่าจะมีความจริงใจในการตรวจสอบสัญญาสัมปทานระหว่างกรมฯ กับ บริษัทชินคอร์ปในเวลานั้น

ที่สำคัญข้อมูลที่ต้องทำความเข้าใจให้กระจ่างคือจริง ๆ แล้วสัญญาสัมปทานดาวเทียมนั้นบริษัทที่ได้รับสัมปทานดาวเทียมสื่อสารในประเทศไทยเป็นระยะเวลา 30 ปีนั้นคือบริษัทชินวัตรคอมพิวเตอร์แอนด์คอมมิวนิเคชั่น จำกัด ซึ่งตอนหลังเปลี่ยนชื่อเป็นบริษัทชิน คอร์ปอเรชั่น จำกัด(มหาชน) หรือชินคอร์ป และมีการตั้งบริษัทชินแซทขึ้นมาเพื่อทำหน้าที่บริหารจัดการดาวเทียมเท่านั้น แต่สัญญาสัมปทานยังเป็นของชินคอร์ป

ความคิดของรัฐบาลที่จะใช้เงิน 1 หมื่นล้านบาทไปซื้อชินแซทคืนมาจากกองทุนเทมาเส็กของสิงคโปร์นั้น จึงเป็นเรื่องที่ผิดมหันต์ เพราะเป็นการซื้อบริษัทในส่วนของบริหารจัดการ ไม่ได้ซื้อคืนสัมปทานดาวเทียมแต่อย่างใด ขณะเดียวกันก็ไม่เห็นด้วยอย่างยิ่งที่รัฐบาลจะไปซื้อชินคอร์ปคืนมาจากกองทุนเทมาเส็ก เพราะอย่าลืมว่าเงินจำนวน 1 แสนล้านบาทนี้ เป็นเงินที่ตีมูลค่าหุ้นของชินคอร์ปสูงเกินกว่าความเป็นจริง เพราะไม่มีการหักลบกลบหนี้ของบริษัทไอทีวี ที่ยังมีปัญหาเรื่องค่าสัมปทานกับรัฐบาลอยู่ การไปซื้อชินคอร์ปกลับมาทั้งยวง จึงเท่ากับว่านอกจากต้องซื้อแพงเกินความเป็นจริงแล้ว ยังต้องรับเอาบริษัทที่กำลังมีปัญหากลับมาด้วย ซึ่งทั้งสองวิธีคือซื้อคืนชินคอร์ปหรือซื้อคืนชินแซท คิดยังไงก็ไม่คุ้ม คือพูดง่ายแต่ทำจริงได้ยาก

ฉะนั้นจึงยืนยันว่ารัฐบาลไทยน่าจะใช้สิทธิดำเนินการทางกฎหมาย โดยเฉพาะการพิสูจน์ว่าบริษัทกุหลาบแก้วเป็นนอมีนีให้กองทุนเทมาเส็กจริงหรือไม่ ในประเด็นความผิด 2 ประเด็นคือ ขัดต่อสัญญาสัมปทาน และผิดกฎหมายความมั่นคง ซึ่งต้องมีการฟ้องศาลเพื่อพิจารณา ท้ายที่สุดอาจจบที่ว่าบริษัทชินคอร์ปไม่สามารถขายหุ้นให้ต่างชาติได้ เมื่อเป็นอย่างนั้นก็เชื่อว่าท้ายที่สุดแล้วต่างชาติก็ต้องเคารพในกฎหมายไทย เมื่อพิสูจน์ว่าสัญญาซื้อขายไม่ชอบด้วยกฎหมาย ไม่มีใครต่อว่าประเทศไทยได้

'วิธีนี้เป็นวิธีที่ดีที่สุดที่รัฐบาลควรยึดเป็นแนวทาง อย่าไปคิดเรื่องซื้อคืนเลย มันยาก รัฐบาลต้องเร่งรีบทำความกระจ่างให้รู้ว่าชินคอร์ปเป็นไทยหรือเทศ ถ้าจะทำกันจริง ๆ มันใช้เวลาไม่นาน สามารถปรึกษากฤษฎีกาขออำนาจศาลให้การดำเนินการฉุกเฉินได้ ซึ่งศาลก็จะมีมาตรการทุเลาความเสียหายที่เกิดกับประเทศชาติเอง'

อย่างไรก็ดี เข้าใจว่ารัฐบาลทำเรื่องนี้ได้ยาก เพราะเป็นรัฐบาลที่ยึดอำนาจมา ไม่ได้รับความร่วมมือจากระบบข้าราชการมากนัก อีกทั้งระบอบทักษิณยังคงความแข็งแกร่งในระบบราชการ การหาหลักฐานที่ชัดเจนทำได้ยาก แต่ก็ต้องทำให้ได้เพื่อพิสูจน์ฝีมือคมช.และรัฐบาล
ทั้งนี้การทวงคืนไทยคมหรือทำให้สัญญาซื้อขายเป็นโมฆะนี้ ไม่อยากให้รัฐบาลใช้แต่วิธีเรียกคะแนนเสียงทางการเมืองเท่านั้น แต่ต้องคิดถึงความถูกต้องมากกว่า

'ไม่เห็นด้วยที่จะไปทำโพลสำรวจความคิดเห็นประชาชน เพราะเป็นเรื่องทางกฎหมาย หากตามกฎหมายเป็นเรื่องผิดและประชาชนไม่เห็นด้วย ก็จะไม่เอาผิดเขาอย่างนั้นหรือ หรือไม่ดำเนินการตามกฎหมาย ไม่เร่งกระบวนการสอบสวน แต่ประชาชนบอกว่าต้องทวงคืน แล้วจะไปทวงคืนดาวเทียมมาได้อย่างไร เป็นเรื่องที่เสียเวลามาก อย่ามัวแต่เล่นแต่กระแสความรู้สึก แต่ควรจะเร่งดำเนินการตามกฎหมาย ต้องแยกแยะให้ออก ไม่ใช่มัวแต่ห่วงคะแนนเสียง'

อย่างไรก็ดี สิ่งที่รัฐบาลจะต้องทำอีกประการคือ ทำแผนรองรับว่าหากได้สัมปทานดาวเทียมคืนมาจะบริหารจัดการดาวเทียมอย่างไร เพราะเป็นดาวเทียมในเชิงพาณิชย์ มีเกทเวย์ทั้งหมดว่า 18 เกทเวย์ทั่วโลก ซึ่งต้องดูว่าทำอย่างไรถึงจะคุ้มค่า หากไม่เตรียมแผนรองรับ ก็เท่ากับว่าจะเสียเวลา และเสียรายได้จากดาวเทียมไปโดยเปล่าประโยชน์