WeLoveOurKing
How to insert weloveking to you website

ทรงพระเจริญ

ขัตติยาอัด คอป แต่งนิทานโยนความผิดเสธ แดง 18 9 55

สถาบันกษัตริย์อยู่ได้ด้วยความจริง

ธงชัย วินิจจะกูล: Truth on Trial

สถาบันกษัตริย์ถึงเวลาต้องปรับตัว

ตุลาการผิดเลน !


ฟังกันให้ชัด! "นิติราษฎร์" ไขข้อข้องใจ ทุกคำถามกรณีลบล้างผลพวงรัฐประหาร





วิดีโอสอนการทำน้ำหมักป้าเช็ง SuperCheng TV ฉบับเต็ม 1.58 ชม.

VOICE NEWS

Fish




เพื่อไทย

เพื่อไทย
เพื่อ ประชาธิปไตย ขับไล่ เผด็จการ

Tuesday, March 18, 2008

"สนธิ ลิ้มทองกุล"คนที่คุณไม่รู้จัก ตอนที่ 1

มาแล้วครับ มาตามสัญญา สัญญาที่ให้ไว้กับมิตรรักแฟน Hi-thaksin ว่าจะนำเนื้อหาสาระดีๆ ในหนังสือ "อีกด้านหนึ่งของสนธิ เล่มที่ 1" และ "ล้มแล้วรวย อีกด้านหนึ่งของสนธิเล่มที่ 2" ที่ผมถือโอกาสแวะเวียนไปหาซื้อหนังสือ มาจากร้านขายหนังสือมือสอง แถวๆ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ที่ผมไปทำธุระเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา แต่กว่าจะนำมาเสนอต่อสายตาของท่านได้คงต้องใช้เวลาหน่อยนะครับ เพราะกว่าจะแกะตัวหนังสือนั่งพิมพ์ แต่ละตอนซึ่งมีความยาวเป็นสิบๆ หน้า ก็ทำเอาผมซึ่งพิมพ์ดีดไม่ค่อยจะคล่องต้องนั่งหลังขดหลังแข็งอยู่หลายชั่วโมง

อย่างที่ผมได้เกริ่นๆ กับท่านผู้อ่านไว้ว่า เนื้อหาสาระในพ็อกเก็ตบุ๊คทั้ง 2 เล่ม ได้อธิบายเรื่องราวของคนชื่อ สนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำสำคัญกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ในมุมที่ไม่เคยรับรู้มาก่อน ซึ่งคิดว่าน่าจะเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง สำหรับคนที่ไม่เคยรู้จักตัวตนที่แท้จริงของสนธิ ลิ้มทองกุล

หากใครได้อ่านเนื้อหาสาระของพ็อกเก็ตบุ๊คทั้ง 2 เล่มนี้แล้ว จะทำให้ท่านได้รับรู้พฤติกรรม ได้รับทราบสันดานของคนชื่อ สนธิ ลิ้มทองกุล อย่างถึงแก่น เพราะผู้เขียน ได้อธิบายเรื่องราวอย่างละเอียด ในทุกแง่มุม และในทุกซอกหลืบที่คนทั่วไปไม่เคยรับรู้ ซึ่งเป็นข้อมูลทั้งลึก และลับ

วันนี้ ผมจะนำเนื้อหาในหนังสือเล่มแรก"อีกด้านหนึ่งของสนธิ เล่มที่ 1" ตอน Return of สนธิ มานำเสนอให้กับท่านผู้อ่านได้รับทราบ ซึ่งกะเทาะเปลือกของสนธิ ลิ้มทองกุล ได้อย่างแสบสันต์ โดยเฉพาะพฤติกรรมโกงของสนธิ ลิ้มทองกุล โดยผู้เขียน ได้จำกัดนิยาม พฤติกรรมโกงของสนธิ เป็น อาชญากรเศรษฐกิจ หรือ โจรเสื้อนอก ในกรณีร่วมกันปลอมแปลงเอกสารประกอบการทำสัญญา เพื่อค้ำประกันเงินกู้ ให้กับบริษัทเดอะเอ็มกรุ๊ป ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัท เดอะแมเนเจอร์มีเดียกรุ๊ป จนถูกสำนักงานกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ หรือ ก.ล.ต. แจ้งความดำเนินคดีกับสนธิและพวก

และอีกประเด็น ที่ไม่ควรมองข้าม คือ ที่ผู้เขียนได้อธิบายเกี่ยวกับพฤติกรรมโฉดของของสนธิ ลิ้มทองกุล กรณีเพื่อนรักหักเหลี่ยมโหด ที่สนธิกระทำต่อ ธารินทร์ นิมมานเหมินทร์ เพียงเพราะธารินทร์ ซึ่งเป็นประธาน ก.ล.ต. โดยตำแหน่ง ขณะดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ไม่ยอมยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือ กรณีที่สนธิถูกสำนักงาน ก.ล.ต. แจ้งความดำเนินคดี จนเป็นที่มาของรายการ "แค้นสั่งฟ้า"ผ่านหน้าหนังสือพิมพ์ ผู้จัดการรายวัน

เอาหล่ะครับ ผมคิดว่ามิตรรักแฟน Hi-thaksin คงจะเบื่อรายละเอียดที่ผมสาธยายและอยากให้ผมรีบๆ สรุปจบ จะได้เข้าเรื่องเสียที ก็เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลาเรามาเข้าเรื่องกันเลยหล่ะกัน..........

///////////////////////////////////////

Return of สนธิ

หลังจากพังพาบไปกับพิษไข้ต้มยำกุ้งเมื่อปี 2540 สนธิ ลิ้มทองกุล ซึ่งเคยประกาศความยิ่งใหญ่ของชนชาติผิวเหลือง ให้นักธุรกิจสื่อในซีกโลกตะวันตกได้ประจักษ์ในความสามารถ เหมือนกับครั้งหนึ่งในอดีตกาลที่ เจงกีสข่าน ได้ยกพลบุกตะลุยไปจนถึงยุโรป ก่อนจะสิ้นชีพ เพราะความทะเยอทะยานที่เกินกำลังของตัวเอง

"โมกุลแห่งสื่อของเอเชีย" อย่างสนธิ ลิ้มทองกุล ก็มีสภาพไม่แตกต่างไปจากจักรพรรดิเจงกีส ข่าน คือ ต้องถึงกาลดับชีพในโลกธุรกิจ ด้วยสภาพหนี้สินล้นพ้นตัวหลายหมื่นล้านบาท อาณาจักร เดอะ เอ็มกรุ๊ป จำกัด(มหาชน) ที่เสกเป่าขึ้นมาด้วยลมปากและปลายลิ้น ก็ล่มสลายพังครืนลงจนยากจะรับมือไหว

เมื่อหมดสิ้นหนทางที่จะต้านพิษไข้ต้มยำกุ้ง และไม่อาจจะทานพายุเศรษฐกิจที่พัดผ่านประเทศไทยไปได้ สนธิ ลิ้มทองกุล ได้ประกาศทฤษฎี 3 ไม่ ขึ้นในวงการธุรกิจประเทศไทย ที่ทำให้ลือลั่นไปทั่วโลก ได้แก่ "ไม่มี ไม่หนี ไม่จ่าย" พร้อมประกาศตนเป็นลูกหลาน (นอกรีต) พระเจ้าตาก ด้วยการ "ชักดาบ"เจ้าหนี้ทุกรายประดามี

กระบวนท่าของสนธิ บังเกิดผลสะเทือนเลื่อนลั่นไปทั่วทุกระดับ ทั้งในประเทศและต่างประเทศ เนื่องจากมีนักธุรกิจจำนวนมาก ยึดสนธิ เป็นแบบอย่างในการต่อสู้กับเจ้าหนี้ด้วยทฤษฎี 3 ไม่ ส่งผลให้ประเทศไทย กลายเป็นลูกหนี้ที่เจ้าหนี้ต่างชาติเข็ดขยาดไปตามๆ กัน

กล่าวกันว่าเฉพาะ บริษัท เดอะเอ็มกรุ๊ป จำกัด(มหาชน) มีหนี้สินมากกว่า 20,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นภาระที่มากเกินกว่าสนธิ จะเยียวยาได้ จึงต้องปล่อยให้เจ้าหนี้เข้ามาจัดการแบ่งสันปันส่วนหนี้ที่สนธิ สร้างเอาไว้ ในขณะที่สนธิ ก็หมดสภาพที่จะยื้อยุดฉุดกระชากลากหนี้กับเจ้าหนี้ทั้งหลาย จนต้องยอมรับสภาพบุคคลล้มละลายในวันหนึ่งเมื่อธนาคารนครหลวงไทย ฟ้องให้ชำระหนี้จำนวน 151 ล้านบาท สนธิไม่สามารถชำระหนี้ได้ ธนาคารนครหลวงไทย ก็ดำเนินการในชั้นศาล ให้ศาลสั่งสนธิ เป็นบุคคลล้มละลาย

ถึงแม้จะตกอยู่ในสถานภาพบุคคลล้มละลาย แต่สนธิ ก็ยังคงมีบทบาทในหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ ในฐานะที่ปรึกษาบริษัท แมเนเจอร์มีเดียกรุ๊ป จำกัด(มหาชน) และการดำเนินชีวิตของสนธิ ก็ยังคงเป็นไปอย่างมีสีสัน ไม่แตกต่างจากก่อนจะเป็นบุคคลล้มละลายมากนัก นักการเมือง นักวิชาการจำนวนมาก ยังคงแวะเวียนไปหา ไปขอความเห็นเรื่องต่างๆ อยู่เป็นประจำ ไม่เพียงเท่านั้น สนธิ ยังอยู่เบื้องหลังการขยายกิจการของบริษัทที่จัดตั้งขึ้นใหม่ เพื่อทำธุรกิจสื่อเวบไซต์ และสื่อโทรทัศน์ ในนาม ไทยเดย์ดอทคอม ที่มีจิตตนารถ ลิ้มทองกุล ลูกชายคนเดียวของเขาเป็นกรรมการผู้จัดการด้วยเงินทุนหลายร้อยล้าน

ถึงแม้จะอยู่เบื้องหลังและรั้งตำแหน่งเพียงที่ปรึกษาบริษัท แต่ก็ไม่อาจจะปกปิดสถานภาพที่แท้จริงของตัวเองต่อสายตาของนักลงทุน และเพื่อนพ้องน้องพี่ในวงการสื่อมวลชนได้ เนื่องจากการเดินหมากทางธุรกิจของสนธิ เป็นหมากที่ดุดัน กว้านซื้อตัวบุคลากรมือดีจากค่ายต่างๆ เข้ามาอยู่ในคอกของตัวเองอย่างไม่พรั่นพรึงต่อราคาที่มีการนำเสนอเข้ามา ขุนพลข่าวมือดี จากโทรทัศน์ทั้ง 6 ช่อง ถูกอำนาจเงินดูดไปอยู่ภายใต้ชายคาบ้านเจ้าพระยา และบ้านพระอาทิตย์ ซึ่งเป็นป้อมค่ายหลักของสนธิ ในการหวนกลับคืนสู่สังเวียนธุรกิจสื่อสารมวลชนอีกครั้งหนึ่ง

ด้วยการลงทุนหลายร้อยล้านบาท เพื่อสร้างอาณาจักรใหม่ ที่มีเวบไซต์ manager.co.th และโทรทัศน์ 11 news 1 เป็นหัวหอกหลักนี้เอง จึงทำให้เกิดข้อสงสัยขึ้นในวงการธุรกิจ และวงการสื่อมวลชนในประเทศ ว่าแท้จริงแล้วสนธิ ไม่ได้บาดเจ็บจากพิษไข้ต้มยำกุ้งจริง ไม่ได้ล้มตามที่เป็นข่าว

จริงอยู่ บริษัทเดอะเอ็มกรุ๊ป จำกัด(มหาชน) ล้มไปแล้ว แต่สนธิ ยังคงยืนได้อย่างสง่าผ่าเผย ซึ่งพฤติกรรมดังนี้ ไม่อาจเรียกเป็นอื่นได้ นอกจากการล้มบนฟูก กล่าวคือ บริษัทเจ๊ง แต่สนธิ ไม่ได้เจ๊งตามไปด้วย เพราะความชาญฉลาดในการทำธุรกิจ และความเจนจัดในการใช้บริษัท และตลาดหลักทรัพย์ให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อตนเอง เชื่อกันว่าสนธิ ได้ใช้กระบวนท่าดูดเงินบริษัทมหาชน เข้าไปอยู่ในเซฟของตัวเองจำนวนมหาศาล

หลังจากเกิดวิกฤตเศรษฐกิจปี 2540 สนธิได้หลบลี้หนีหน้าออกจากวงการธุรกิจนานพอสมควร ก่อนจะกลับมาปรากฏกายในวงการหนังสือพิมพ์อีกครั้ง ในนามของพายัพ วนาสุวรรณ ที่ทำให้มิตรรักอย่าง ธารินทร์ นิมมานเหมินทร์ ต้องจดจำไปอีกนาน ด้วยลีลาการ เปลือยธารินทร์ อย่างเจ็บแสบ เพียงเพราะ ธารินทร์ ซึ่งเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังในขณะนั้น มีทีท่าเมินเฉยต่อความเดือดร้อนของสนธิ ที่กำลังซมพิษไข้ต้มยำกุ้ง ชนิดที่เกือบจะเอาชีวิตไม่รอด

สนธิใช้ข้อมูลวงใน ที่เคยคลุกคลีตีโมงอยู่กับสองพี่น้อง "นิมมานเหมินทร์" คือ ธารินทร์ และศิรินทร์ มาย้อนถล่มธารินทร์อย่างรุนแรงหนักหน่วง กระทั่งภาพลักษณ์ขุนคลังไร้เทียมทานของธารินทร์ ที่ประชาชนฝากความหวัง ต้องเปรอะเปื้อนไปทั้งตัว และกลายเป็นขุนคลังไร้ราคา โดยเฉพาะเรื่องการขายทรัพย์สินของ ปรส.ให้แก่บรรษัทข้ามชาติในราคาถูกๆ แบบเลหลัง ซึ่งเกิดขึ้นในสมัยรัฐบาลประชาธิปัตย์ที่มีนายธารินทร์ เป็นผู้รับผิดชอบงานด้านเศรษฐกิจ และเป็นปัญหาหนึ่งที่ทำให้รัฐบาลประชาธิปัตย์ ไม่ได้รับความเชื่อถือจากประชาชน กระทั่งเป็นอุปสรรคต่อการทำงานของรัฐบาล และทำให้เกิดวิกฤติศรัทธาในที่สุด

ต้องยอมรับว่าสนธิ เป็นนักหนังสือพิมพ์ที่มีวิธีการนำเสนอข้อมูลที่ยากให้เข้าใจง่ายได้เก่งที่สุดคนหนึ่ง ซึ่งนับเป็นเสน่ห์ที่ทำให้มีผู้คนติดตามงานของเขาเป็นจำนวนมาก หลายคนตกอยู่ใต้มนต์ของตัวหนังสือที่สนธิร่ายให้ฟังชนิดที่ไม่อยากคิดอะไรเองอีกแล้ว พากันหลงเชื่อคล้อยตามตรรกะแบบสนธิไปได้ง่ายๆ

มีการสืบสาวราวเรื่องกันในเวลาต่อมาว่า เหตุที่สนธิ ในนามของพายัพ วนาสุวรรณ ตั้งหน้าตั้งตาไล่ถล่ม ธารินทร์ นิมมานเหมินทร์ และรัฐบาลประชาธิปัตย์ ชนิดที่ไม่เห็นแก่คุณธรรมน้ำมิตรแต่เก่าก่อน ซึ่งเคยกินอยู่หลับนอนมาด้วยกัน ก็คือ กรณีที่เมื่อเดือนพฤษภาคม 2542 มีผู้ร้องเรียนต่อ ก.ล.ต. หรือคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ว่า บริษัท อินเตอร์เนชั่นแนลเอนยิเนียริ่ง จำกัด(มหาชน) หรือ IEC ปกปิดข้อมูลการค้ำประกันเงินกู้ให้แก่บริษัท เดอะเอ็มกรุ๊ป จำกัด(มหาชน) จำนวน 1,078 ล้านบาท และจากการตรวจสอบของก.ล.ต. พบว่าการกู้เงินรายการนี้ของเดอะเอ็มกรุ๊ป จำกัด(มหาชน) มีบริษัท เดอะแมเนเจอร์มีเดียกรุ๊ป จำกัด(มหาชน) หรือ MGR ร่วมเป็นผู้ค้ำประกันด้วย

ทั้งนี้ จากการตรวจสอบของก.ล.ต. พบว่าสัญญากู้ยืมเงินที่เดอะเอ็มกรุ๊ป กู้จากธนาคารกรุงไทย และสัญญาค้ำประกันเงินกู้ของ MGR นั้นลงนามโดยคน 4 คน ได้แก่ นายสนธิ ลิ้มทองกุล สุรเดช มุขยางกูร เสาวลักษณ์ ธีรานุจรรยงค์ และยุพิน จันทนา ในฐานะกรรมการผู้มีอำนาจลงนาม แต่เรื่องนี้กรรมการของ MGR ไม่ได้รับทราบ และไม่ได้มีการเปิดเผยในงบการเงินของ MGR ซึ่งเป็นความผิดตามพ.ร.บ.หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ.2535 และตามประมวลกฎหมายอาญา เนื่องจากคนทั้ง 4 ได้กระทำการทุจริตโดยใช้อำนาจที่ตนได้รับมอบหมายแสวงหาประโยชน์ที่มิควรได้เพื่อผู้อื่น อันก่อให้เกิดความเสียหายแก่ทรัพย์สินและผลประโยชน์ของ MGR โดยตรง

รวมทั้ง ในการทำสัญญาประกันดังกล่าว บุคคลทั้ง 4 ได้ร่วมกันปลอมสำเนารายการงานประชุมคณะกรรมการ MGR เพื่อลวงให้ธนาคารกรุงไทยหลงเชื่อว่า คณะกรรมการ MGR ได้มีมติให้ทำสัญญาค้ำประกันดังกล่าว ในนาม MGR การกระทำดังกล่าวเป็นการลวงให้ผู้อื่นหลงผิดจนก่อให้เกิดภาระและความเสียหายแก่ผู้ถือหุ้นของ IEC และของ MGR

นอกจากนี้ บุคคลทั้ง 4 รายได้ร่วมกระทำความผิดจนก่อให้เกิดความเสียหายแก่ MGR โดยตรงแล้ว บุคคลดังกล่าว ยังไม่ได้ดำเนินการให้ MGR เปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับภาระค้ำประกันเงินกู้ยืมให้แก่ เดอะเอ็มกรุ๊ป ในงบการเงินของ MGR ที่ต้องส่งให้ตลาดหลักทรัพย์ฯ การกระทำดังกล่าวทำให้ผู้ลงทุนได้รับข้อมูลไม่ครบถ้วน ไม่ตรงกับความเป็นจริง และไม่เป็นปัจจุบัน ส่งผลให้ผู้ลงทุนขาดข้อมูลสำคัญที่เป็นประโยชน์ต่อการตัดสินใจลงทุน

จากการตรวจสอบของก.ล.ต.ดังกล่าว จึงนำไปสู่การแจ้งความดำเนินคดีกับสนธิและพวกรวม 4 คน ต่อกองบังคับการตำรวจคดีเศรษฐกิจ กรณีร่วมกันปลอมแปลงเอกสารประกอบการทำสัญญาในนามของ MGR เพื่อค้ำประกันเงินกู้ 1,078 ล้านบาท ให้กับบริษัทเดอะเอ็มกรุ๊ป ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของ MGR โดยที่คณะกรรมการ MGR ไม่ได้รับทราบ จนทำให้ MGR เสียหายอย่างมากในเวลาต่อมา

ข้อกล่าวหาของก.ล.ต.ที่มีต่อสนธิและพวก หากพูดกันภาษาชาวบ้าน หรือภาษาข่าว ก็คือ อาชญากรเศรษฐกิจ หรือ โจรเสื้อนอก นั่นเอง ซึ่งข้อกล่าวหานี้ ได้รับการยืนยันว่าเป็นความจริงจากนายพีรศักดิ์ วรสุนโอสถ กรรมการอิสระ บริษัท ไออีซี จำกัด(มหาชน) ในฐานะประธานคณะทำงานจรวจสอบข้อเท็จจริง กรณีบริษัท ไออีซี ค้ำประกันเงินกู้ให้บริษัท เดอะเอ็มกรุ๊ป จำกัด ที่เปิดเผยว่า ผลการตรวจสอบของคณะกรรมการตามคำสั่งของ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์(ก.ล.ต.) และตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย สรุปว่า การค้ำประกันเงินกู้ให้แก่บริษัท เดอะเอ็มกรุ๊ป กับธนาคารกรุงไทย จำกัด ระหว่างวันที่ 30 เมษายน 2539 ถึงวันที่ 19 พฤศจิกายน 2540 มูลค่า 1,198 ล้านบาท เป็นการดำเนินงานโดยการรู้เห็นของนายสุรเดช มุขยางกูร กรรมการผู้อำนวยการบริษัท ไออีซี เพียงผู้เดียว

"คณะกรรมการมีการสอบถามนายสุรเดช ได้รับการชี้แจงว่า บริษัท ไออีซี ค้ำประกันเงินกู้ของบริษัท เดอะเอ็มกรุ๊ป ติดต่อกันหลายครั้ง ตั้งแต่เดือนเมษายน ปี 2539 ทั้งที่การกู้ยืมของเดอะ เอ็มกรุ๊ป มูลค่า 1,198 ล้านบาท มีการวางหลักประกันเป็นที่ดินและใบหุ้นมูลค่ารวมประมาณ 1,632 ล้านบาท แต่ธนาคารกรุงไทยต้องการให้มีการค้ำประกันเพื่อความมั่นใจในเงินกู้ บริษัท จึงเข้าค้ำประกันร่วมกับนายสนธิ ลิ้มทองกุล และบริษัท แมเนเจอร์ มีเดีย กรุ๊ป จำกัด" นายพีรศักดิ์กล่าว

สำหรับ สาเหตุของการเข้าค้ำประกันเงินกู้ ได้รับการชี้แจงจากนายสุรเดชว่า บริษัทเดอะ เอ็ม กรุ๊ป ติดต่อขอความช่วยเหลือผ่านทางนายสุรเดช และตัดสินใจเข้าค้ำประกัน เนื่องจากเห็นว่าไม่น่าจะมีผลกระทบต่อฐานะการเงินและผลการดำเนินงานของไออีซี เพราะมูลค่าหลักประกันที่เดอะ เอ็มกรุ๊ป วางไว้สูงกว่าวงเงินกู้ยืม และยังมีบุคคลอื่นร่วมค้ำประกัน ขณะที่เดอะ เอ็มกรุ๊ป มีฐานะเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ในไออีซี ซึ่งเคยให้ความช่วยเหลือด้านธุรกิจมาตลอดตามธรรมเนียมปฏิบัติของบริษัทในเครือเดียวกัน โดยในช่วงที่ไออีซี จำเป็นต้องหาเงินทุนก็จะได้รับความช่วยเหลือจากเดอะ เอ็มกรุ๊ป จึงตัดสินใจด้วยความสุจริตลงนามค้ำประกันเงินกู้

กล่าวกันว่ากรณีของไออีซีนี้ ทำให้สนธิ ลิ้มทองกุล เสียหายอย่างหนัก ทั้งทางเครดิต และทางแหล่งเงิน ที่จะเข้ามากอบกู้อาณาจักร เดอะ เอ็มกรุ๊ป จึงเป็นเหตุให้เกิดรายการ "แค้นสั่งฟ้า" ขึ้น บนหน้าหนังสือพิมพ์ผู้จัดการรายวัน ในคอลัมน์ของพายัพ วนาสุวรรณ แล้วในที่สุดก็ฟาดไปที่ก้านคอ ธารินทร์ นิมมานเหมินทร์ จนแทบสลบ

หลังจากรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ สูญสิ้นอำนาจ เนื่องจากพ่ายแพ้การเลือกตั้งเมื่อต้นปี 2544 ให้กับพรรคไทยรักไทย ของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อย่างชนิดหมดรูปมวย สนธิ ในฐานะนักหนังสือพิมพ์คนหนึ่ง ซึ่งไม่น่าจะได้รับผลบวกหรือผลลบอะไรมากนักกับการเลือกตั้งที่เพิ่งจบลงไป กลับออกอาการดีอกดีใจอย่างเห็นได้ชัด

อาการดีอกดีใจกับชัยชนะของพรรคไทยรักไทย และพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ได้รับการอธิบายในเวลาต่อมาไม่นานนัก เมื่อบุคคลที่ได้รับการแต่งตั้งเข้าดำรงตำแหน่งสำคัญๆ ในรัฐบาลล้วนแล้วแต่เป็นบุคคลที่คุ้นเคย และเคยอยู่ใต้ร่มเงาของสนธิ ในอาณาจักร เดอะ เอ็มกรุ๊ป จำกัด(มหาชน) มาแล้ว อาทิ

สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ อดีตกรรมการบริษัท เดอะ แมเนเจอร์ มีเดีย กรุ๊ป จำกัด(มหาชน)

ทนง พิทยะ เพื่อนรักผู้ซาบซึ้งบุญคุณของสนธิ ไม่เสื่อมคลาย

พันศักดิ์ วิญญรัตน์ อดีตบรรณาธิการหนังสือพิมพ์ เอเชียไทม์

กนก อภิรดี อดีตกรรมการผู้จัดการ บริษัท เดอะ แมเนเจอร์ มีเดียกรุ๊ป จำกัด(มหาชน)

ไม่เว้นแม้แต่ชัยอนันต์ สมุทวณิช ประธานมูลนิธิไชย้ง ลิ้มทองกุล(มารดาของนายสนธิ) ซึ่งเข้ามาเป็นมือเป็นไม้ให้กับพ.ต.ท.ทักษิณ ในการขับเคลื่อนนโยบายเศรษฐกิจและนโยบายประชานิยม ให้กับรัฐบาลไทยรักไทย

การดำรงตำแหน่งสำคัญในรัฐบาลของบุคคลที่เคยทำงานให้กับสนธิ ทำให้เกิดภาพซ้อนขึ้นมาทันทีว่า ระหว่างพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร กับสนธิ ลิ้มทองกุล ต้องมีความสัมพันธ์พิเศษระดับสูงสุด และมาตอกย้ำให้เห็นว่าภาพซ้อนที่เห็นกันนั้น เป็นภาพที่ถูกต้อง ก็คือ การเดินทางไปร่วมงานวันเกิดของสนธิ ถึงสำนักงานหนังสือพิมพ์ ผู้จัดการ ของพ.ต.ท.ทักษิณ ซึ่งสร้างความฮือฮาให้แก่วงการสื่อสารมวลชนเป็นอย่างยิ่ง

เมื่อมองไปถึงการหวนกลับคืนสู่ธุรกิจสื่อสารมวลชนอย่างคึกคักของสนธิ และสื่อในเครือผู้จัดการ ก็ยิ่งมั่นใจได้ว่า แกนนำสำคัญในรัฐบาลกับสนธิ มีความนัยพิเศษต่อกันอย่างแน่นอน เนื่องจากรัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานของรัฐ ได้ทุ่มเทงบโฆษณาเข้าไปในสื่อเครือผู้จัดการของสนธิ อย่างไม่เคยเป็นมาก่อน อาทิ ธนาคารกรุงไทย การบินไทย การสื่อสารแห่งประเทศไทย ปตท. ฯลฯ

โดยเฉพาะรายของธนาคารกรุงไทย เจ้าหนี้รายใหญ่ของเดอะ เอ็มกรุ๊ป และเดอะ แมเนเจอร์ มีเดียกรุ๊ป ถึงกับทำแผนลดหนี้ และปรับปรุงโครงสร้างหนี้ให้กับลูกหนี้รายนี้ด้วยการรับชำระหนี้ เป็นสื่อโฆษณาในสื่อเครือผู้จัดการทุกประเภท ไม่ว่าจะเป็นหนังสือพิมพ์ นิตยสาร รายการวิทยุ รายการโทรทัศน์ และเวบไซต์ ซึ่งนับว่าเป็นลูกหนี้ที่ได้รับการปฏิบัติเป็นกรณีพิเศษ เนื่องจากวิโรจน์ นวลแข กรรมการผู้จัดการใหญ่ธนาคารกรุงไทย จำกัด(มหาชน) ในขณะนั้น ก็คือ เพื่อนรักและผู้มีอุปการคุณรายใหญ่ของสนธิ มาโดยตลอด

การหวนกลับคืนสู่วงการธุรกิจสื่อของสนธิ ลิ้มทองกุล ซึ่งเปรียบเสมือนการกลับคืนสู่รากเหง้าของตัวเองของนักธุรกิจสื่อข้ามชาติ ที่พ่ายแพ้ย่อยยับกลับมา จึงต้องหลบเลียแผลในบ้านตัวเอง ถูกโจมตีอย่างหนักจากเจิมศักดิ์ ปิ่นทอง สมาชิกวุฒิสภากรุงเทพมหานคร เข้าจองบริษัท วอชด๊อก จำกัด ซึ่งดำเนินรายการโทรทัศน์ในช่อง 9 อ.ส.ม.ท. และช่อง 11 อยู่หลายรายการ แต่ต้องถูกเตะออกมา เพื่อเอาเวลาไปให้แก่สนธิ เป็นผู้ดำเนินรายการแทน

นอกเหนือจากการได้รับการสนับสนุนด้วยดีจากรัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานของรัฐในทุกสื่อของเครือผู้จัดการ จนแทบเก็บเงินเก็บทองกันไม่ทัน บริษัท เดอะ เอ็มกรุ๊ป ก็ยังได้รับการพิจารณาปรับโครงสร้างหนี้ จากเจ้าหนี้ ให้เป็นกรณีพิเศษอีกด้วย ตัวเลขการปรับลงหนี้ให้กับเดอะ เอ็มกรุ๊ป มากถึง 6,000 ล้านบาท

เรียกได้ว่า ในช่วงต้นของรัฐบาลไทยรักไทย สนธิ ในฐานะบุคคลล้มละลาย และผู้ต้องหาของก.ล.ต. ได้รับการปฏิบัติจากกลไกของรัฐ ในฐานะ "คนพิเศษ" จนเป็นที่ครหานินทาไปทั่วบ้านทั่วเมือง แต่ก็ไม่อาจสะท้านความรู้สึกของสนธิ และอดีตผู้ร่วมงาน ที่ได้ดิบได้ดีมีอำนาจวาสนาในรัฐบาลอย่างเนืองแน่น

พร้อมๆ กับความยิ่งใหญ่ของพรรคไทยรักไทย ก็คือ การตื่นจากหลับของเครือผู้จัดการ และสนธิ และออกก้าวเดินอย่างไม่สนใจคำทักท้วงของใครหน้าไหนทั้งสิ้น รายการวิทยุ 97.5 MHz รายการโทรทัศน์ ก่อนจะถึงจันทร์ เมืองไทยรายวัน ทางช่อง 9 อ.ส.ม.ท. คือการเปิดเกมอุ่นเครื่องบนธุรกิจสื่ออีกครั้งของสนธิ ก่อนจะเปิดเกมรุกอย่างจริงจังกับสถานีข่าว 11 News 1 หรือ 11/1 ที่สนธิ มีความหวังอย่างมากว่า เขาจะมาแทนที่ สุทธิชัย หยุ่น และเครือผู้จัดการ จะมาทดแทน เนชั่นแชนแนล ที่ถูกรุกไล่จนตกจากจอโทรทัศน์ ทั้งแบบฟรีทีวี และเคเบิ้ลทีวี

ด้วยความหวังอันยิ่งใหญ่ สนธิ จึงเดินหน้าทำธุรกิจสื่ออีกครั้ง ด้วยความมุ่งมั่นที่จะกลับมาเป็นเบอร์หนึ่งของวงการอีกครั้งให้ได้ พร้อมๆกับการเดินหน้าปกป้อง และอาสาเป็นกองเชียร์ให้กับรัฐบาล และนายกฯทักษิณ ทุกเวที ทุกนาที และทุกสถานที่ ที่มีอยู่ในสื่อในเครือผู้จัดการ ในรูปแบบที่เรียกว่า "นายกฯข้า ใครอย่าแตะ" ใครจะมาแตะต้องนายกฯทักษิณ ไม่ได้ สนธิ จะใช้หน้าหนังสือพิมพ์ที่เขามี รายการโทรทัศน์ที่เขาจัด และรายการวิทยุ ที่เขาพูด ตอบโต้ แก้ต่างให้กับนายกฯทักษิณ โดยไม่สนใจว่าใครจะครหานินทาว่ากล่าวเขาถูกซื้อตัวแต่อย่างใด เนื่องเพราะการเกิดของรัฐบาลไทยรักไทย และนายกทักษิณ ก็คือ อนาคตที่สดใสของผู้จัดการ และสนธิ ในวันนั้นเช่นเดียวกัน

///////////////////////////////////////

เป็นอย่างไรกันบ้างครับ มิตรรักแฟน Hi-thaksin อ่านเรื่องราวเกี่ยวกับตัวตนที่แท้จริงของคนชื่อ สนธิ ลิ้มทองกุล แล้วรู้สึกอย่างไร แต่.....อ่ะ.....อ่ะ.....ขอร้องนะครับ อย่าทำเป็นนิ่งเฉย หากท่านรู้สึกล่ะก็ ช่วยกันระบายความรู้สึกที่มีต่อคนชื่อสนธิ ลิ้มทองกุล ออกมาเป็นตัวหนังสือในช่องแสดงความคิดเห็นข้างล่างกันหน่อยนะครับ เพราะผมเองก็อยากรู้เหมือนกันว่าท่านมีความรู้สึกเหมือนกับที่ผมรู้สึกหรือไม่

แล้วพรุ่งนี้ มาติดตามกันต่อว่าผมจะนำเรื่องอะไรในพ็อกเก็ตบุ๊คทั้ง 2 เล่ม มาเล่าสู่กันฟัง

บรรทัดทอง

จาก hi-thaksin