ก็เป็นไปตามคาดการณ์เมื่อศาลฎีกาคดีการเมืองรับคำร้องสำนวนคดีทุจริตเลือกตั้งที่เชียงราย ซึ่ง กกต. ชี้ขาดให้ “ใบแดง” นายยงยุทธ ติยะไพรัช ประธานสภาผู้แทนฯ ก็ต้องว่ากันไปตามกระบวนการยุติธรรม
แต่ผลจากการนี้มันไม่ใช่แค่คดีที่จะต้องไปสู้กัน แต่มันมีผลต่อการดำรงตำแหน่งทางการเมืองของนายยงยุทธ เมื่อศาลฎีการับคดีก็จะทำให้นายยงยุทธต้องพักการปฏิบัติหน้าที่ทันที
เรียกว่าไม่ต้องไปแสดง “สปิริต” หรือ “ดัดจริต” อะไรหรอกครับ...เพราะยังไงก็ต้องถูกพักงาน เพราะกฎหมายกำหนดเอาไว้อย่างนั้น และถ้าจะแสดงสปิริตก็ต้อง “ลาออก” ตอนนี้แหละถึงจะงดงาม
จะ “หัวหมอ” อย่างไรก็หยุดไม่อยู่และอย่าดัดจริตไปพูดอย่างอื่นก็แล้วกัน
แม้ว่ากระบวนการพิจารณาเรื่องนี้จะต้องใช้เวลาสักระยะหนึ่ง แต่ดูเหมือนพรรคพลังประชาชนจะมีการเตรียมการแก้ปัญหาล่วงหน้าเอาไว้แล้ว แม้จะใจดีสู้เสือเรื่อง “ยุบพรรค” ก็ตาม
เพราะหากนายยงยุทธถูกศาลตัดสินให้ “ใบแดง” ตามคำร้องของ กกต.ก็คงมิใช่แค่ว่านายยงยุทธจะถูกเว้นวรรคทางการเมืองเท่านั้น แต่มันจะยึดโยงไปสู่การดำรงตำแหน่งรองหัวหน้าพรรคพลังประชาชน นั่นก็คือ ความเป็นกรรมการบริหารพรรค
เมื่อกรรมการบริหารพรรคไปทำผิดทุจริตเลือกตั้ง คำถามก็คือทำในฐานะส่วนตัวหรือทำเพื่อพรรค แม้คำพูดจะแยกกันได้ แต่การกระทำมันแยกไม่ออกอยู่แล้ว ยิ่งการเป็นรองหัวหน้าพรรคอันดับ 1 ไม่ต้องพูดเลยว่ามีความสำคัญต่อพรรคมากน้อยแค่ไหน
ยิ่งบทบาท ลีลา กระบวนท่าทางการเมืองด้วยแล้วมันก็ยิ่งชัด
เรื่อง “ยุบพรรค” นั้น หากดูการดำเนินการของ กกต.ไม่ใช่ ธรรมดาเหมือนกัน ยิ่งการส่งเรื่องให้ที่ปรึกษากฎหมายพิจารณาในข้อกฎหมายด้วยระยะเวลา 15 วัน มันน่าจะไม่ใช่เรื่องธรรมดา แต่มันน่าจะมีอะไรที่จะต้องยืดเวลาออกไป
หรือถ้าจะพูดกันง่ายๆ กกต.น่าจะรอการตัดสินของศาลฎีกาก่อนว่าจะรับคดีนายยงยุทธหรือไม่มากกว่าเหตุผลอื่น
เพราะอย่างที่ กกต.ท่านหนึ่งได้เปิดเผยว่า กฎหมายมันมัดผูกโยงในฐานะกรรมการบริหารพรรคเมื่อไปกระทำผิดเลือกตั้งก็จะ
ต้องเกี่ยวพันกับพรรคโดยตรง จึงไม่มีทางเลี่ยงที่จะต้องถูก “ยุบพรรค” ด้วยเพียงแต่ว่าคนในพรรคอื่นๆ ถือว่าไม่ใช่เกี่ยวข้อง สามารถไป สังกัดพรรคการเมืองอื่นหรือสังกัดพรรคการเมืองใหม่ได้
เว้นแต่คนกระทำผิดเท่านั้นที่ต้องถูกเว้นวรรค 5 ปี
เหนืออื่นใดที่ว่า กกต.ต้องรอศาลฎีกาว่าจะรับหรือไม่รับคำร้อง มันมีผลต่อ กกต. แน่ เพราะหาก กกต.ชี้ขาดออกมาก่อนว่าพรรคชาติไทยและมัชฌิมาธิปไตยถูกคำสั่ง “ยุบพรรค” ด้วยกรณีเดียวกัน คือเป็นกรรมการบริหารพรรคแล้วทุจริตเลือกตั้ง
แม้ว่าคณะอนุฯ กกต. จะลงมติเอกฉันท์ว่าไม่สมควรยุบเพราะเป็นเรื่องส่วนบุคคล แต่เมื่อมีกฎหมายบังคับไว้ก็ต้องปฏิบัติตาม ดังนั้น กกต.คงจะต้องให้ศาลรัฐธรรมนูญชี้ขาดเรื่องนี้เพื่อเป็นบรรทัดฐานและจะได้ดำเนินการได้
หาก กกต. ชี้ขาดยุบชาติไทย-มัชฌิมาธิปไตยแล้วศาลฎีกาไม่รับคำร้องคดีนายยงยุทธ อะไรจะเกิดขึ้น กกต.เจอปัญหาทันที
เพราะจะทำให้ กกต.หมดความเชื่อถือ เนื่องจากนายยงยุทธตอบโต้มาตลอดว่าถูกกลั่นแกล้ง จัดฉากสร้างหลักฐานเท็จ ถ้าศาลฎีกาไม่รับก็แสดงว่าเป็นอย่างข้อกล่าวหาได้ แต่เมื่อศาลรับทำให้การตัดสินใจยุบพรรคชาติไทย-มัชฌิมาธิปไตยง่ายขึ้น
และแรงกดดันทั้งหมดก็จะไปอยู่ที่พรรคพลังประชาชน เพราะถ้า 2 พรรคโดนก็ไม่ต้องสงสัยเลยว่าพลังประชาชนจะไม่โดนด้วย
เลยเครียดกันไปทั้งพรรค...
"สายล่อฟ้า"
คอลัมน์ กล้าได้กล้าเสีย