ไม่มีมูล สุนัขมันคงไม่ขี้.... เป็นประโยคที่คนไทยโบราณใช้เปรียบเทียบกันมานมนาน ส่วนใหญ่ดูจะใช้เทียบเคียงกับเรื่องราวความไม่ชอบมาพากลที่สังคมไม่ปรารถนา แต่ก็กระทำและปิดบังซ่อนเร้นไว้...???
ความหมายแบบชาวบ้าน ชาวบ้าน ก็คือ เรื่องที่ปิดบัง แล้วชาวบ้านนำมาโจษขานกันนั้น แม้จะยังไม่มีหลักฐานให้สังคมได้รับรู้อย่างแน่ชัด แต่ก็ต้องมีความจริงอยู่บ้าง ไม่งั้นคงไม่นำมานินทากัน
แต่ก็อย่างว่าแหละ .... เรื่องพันธุ์แบบนี้ สำหรับสังคมไทยแล้วมันเกิดขึ้นมากมาย โดยเฉพาะเมื่ออยู่ในยุคเผด็จการครองเมือง...
เผด็จการที่เป็นทั้งผู้มีอำนาจ .... ผู้มีอภิสิทธิ์ .... ผู้มากไปด้วยบารมี .... ที่ชอบแอบทำอะไรๆ ลับๆ ล่อๆ ปิดบังไม่ให้ประชาชนก่นด่า....!!!
ที่เกรินเริ่มต้นมาอย่างนี้ เหตุเพราะบรรยากาศของระบอบประชาธิปไตย ที่คนไทยเพิ่งได้หวนรับกลับคืนมาอีกครั้ง หลังถูกทำลายลงจากอำนาจเผด็จการไปเมื่อ 19 กันยายน 2549 เริ่มมีสิ่งล่อแหลม .... สิ่งไม่ชอบมาพากล .... โดยเฉพาะการใช้อิทธิพลอำนาจมืด .... เกิดขึ้นกับสังคมไทยอีกแล้ว .... บางเรื่องเริ่มเกิดขึ้น บางเรื่องก็เพิ่งปูดขึ้นมาให้เห็น....???
แต่กระนั้นก็ต้องเริ่มต้นด้วยคำถามที่ว่า ทำไม สังคมโลกจึงเกียดชัง จึงขยักแขยง กับระบอบเผด็จการอำมาตยาธิปไตยอย่างยอมรับไม่ได้....???
นั่นก็เพราะ เผด็จการอำมาตยาธิปไตย หนึ่ง เป็นระบอบที่ใช้อำนาจปกครองประชาชนด้วยการกดขี่ข่มเหง ริดลอนสิทธิและเสรีภาพ อย่างเหลือคณานับ
อีกหนึ่ง เป็นระบอบแห่งความเลวร้าย ที่ชีวิตและความเป็นอยู่ของประชาชนจำต้องตกอยู่ในความหวาดผวาของอำนาจเถื่อน อำนาจมืด และอำนาจที่ใช้กฎหมายมากดขี่บังคับอย่างไม่ยุติธรรม
และเมื่อประชาชนทั้งสังคม ได้แลเห็น ได้สัมผัส อภิสิทธิ์ชนก่อความเลวร้ายเหล่านี้เรื่อยมา จึงกลายเป็นความชิงขังต่อความหน้าด้านของเผด็จการอำมาตยาธิปไตย .... จึงจำต้องปราม .... จึงจำต้องปราบ .... และอาจถึงขั้นจำต้องกำจัดให้สิ้นซาก
สิ่งเหล่านี้เองจึงกลายเป็นพลังให้ประชาชนต่างลุกขึ้นต่อสู้กับระบอบเผด็จการนี้มาอย่างต่อเนื่อง ไม่เฉพาะะแต่ในประเทศไทย ดังเช่น ที่สังคมไทยได้เห็นได้ศึกษามาแล้วกับเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 – 6 ตุลาคม 2519 - พฤษภาคม 2535 และที่ผ่านไปมาดๆ ก็ 19 กันยายน 2549
หากจะไม่พูดไกลไป หลังการรัฐประหารเมื่อ19 กันยายน 2549 ประชาชนทั่วประเทศที่ออกมาเรียกร้องประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการ รับรู้กันดีว่า การกดขี่ข่มเหง การใช้อำนาจมืดเกิดขึ้นไปทุกย่อมหญ้าทั่วประเทศ จากเจ้าหน้าที่รัฐที่อยู่ในเครื่องแบบและมีอาวุธประจำกาย
และเมื่อสังคมโลกตราหน้าการยึดอำนาจ จนเผด็จการมิอาจต้านทาน ยอมให้เกิดการเลือกตั้งขึ้น สภาพการณ์เหล่านี้น่าจะจางหายไป เนื่องจากระบอบประชาธิปไตยยืนอยู่บนหลักการนิติรัฐที่ใช้ขอบเขตของกฎหมายดูแลสังคม ดูแลประชาชน ด้วยความยุติธรรม
แต่ก็อีกนั่นแหละ เมื่อไม่กี่วันมานี้ หลังอุบัติการขยับรุกไล่ของฝ่ายเผด็จการอำมาตยาธิปไตยปรากฎขึ้นอีกครั้ง การใช้อำนาจมืดก็ติดตามมาอย่างขาดกันไม่ได้....!!!!
เมื่อนายสมยศ พฤกษาเกษมสุข ประธานกลุ่ม 24มิถุนาประชาธิปไตย หนึ่งในผู้นำที่ออกมายืนเรียกร้องประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการที่ท้องสนามหลวง ถูกชายลึกลับโทรศัพท์เข้าข่มขู่ ถึงขั้นอาจลักพาตัวหายเงียบกริบไปจากสังคม หากไม่จัดการเก็บหนังสือที่ชื่อว่า “เปิดหน้ากากผู้มีบารมีนอกรัฐธรรมนูญ” ให้หมดไปจากแผงจากร้านหนังสือ
ตามการให้การที่นายสมยศ ลงบันทึกแจ้งความไว้กับ สน.ชนะสงคราม ระบุคำพูดของผู้ข่มขู่ไว้ว่า “รีบไปเก็บหนังสือ เปิดหน้ากากผู้มีบารมีนอกรัฐธรรมนูญ ออกจากร้านหนังสือให้หมด เดี๋ยวจะโดนอุ้ม รู้เรื่องไหม พลเอกเปรม เป็นคนดี เอ็งไปด่าได้ยังไง ไอ้ชาติชั่ว มึงไปเก็บหนังสือซะ” โดยมีพยานร่วมรับฟังอยู่ด้วย 3 คน คือ นายสุวิทย์ เลิศไกรเมธี นางสาวจิรนันท์ จันทวงษ์ และนางสาววิภา พลอยงาม
หลายคนระบุว่า เนื้อหาของหนังสือดังกล่าวเป็นงานทางวิชาการที่เสนอด้วยเหตุผลอย่างตรงไปตรงมา เป็นบทวิเคราะห์โครงสร้างการเมืองของระบอบอำมาตยาธิปไตย ที่ไม่ใช่การด่าทอด้วยคำหยาบคาย แล้วเหตุใดเล่า จึงมีคนข่มขู่เข้ามา
จึงไม่ผิดหากจะบอกว่า ทั้งหมดที่เกิดขึ้น คืออำนาจมืดที่เกิดขึ้นจากบุคคลที่มากด้วยบารมี .... มากด้วยอคติ .... มากด้วยโมหจิต แม้ปัจจุบันจะมีลาภ ยศ เหนือคนอื่นมากมายแล้วก็ตาม แต่ก็ยังหลงวนเวียนในอำนาจ คิดว่า ตัวเองนี่แหละ คือผู้ยิ่งใหญ่ของแผ่นดิน....???
และก็ไม่ผิดหากจะกล่าวว่า นี่กระมั่งที่ประชาชนหลายหมื่นคนจึงเดินทางไปยังหน้าบ้านสี่เสา ทวงถาม พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ เมื่อ 22 กรกฎาคม 2550 ที่ผ่านมา ด้วยคำถามง่ายๆว่า “เป็นผู้อยู่เบื้องหลัง ให้คณะนายทหารใช้กำลังอาวุธของประชาชนเข้ายึดอำนาจ และฉีกรัฐธรรมนูญของประชาชนทิ้งเมื่อ 19 กันยายน 2549”
แต่ก็หามีคำตอบออกมาแต่อย่างใดไม่ นอกจากประชาชนถูกทุบตี ถูกทำร้าย ของกำลังพลทั้งทหารและตำรวจ....!!!!
นี่กระมั่งที่ประชาชนคนไทย อึดอัดกันนักหนาว่า แท้จริงแล้วภาษีที่เสียให้ ที่เป็นทั้งเงินเดือนของผู้นำทหารไทย ที่เป็นทั้งปัจจัยการซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์ เพื่อไว้ปกปักษ์รักษาขอบเขตอาณาบริเวณของประเทศไม่ให้ศรัตรูมารุกราน กลับนำไปใช้ป้องกัน กับนำไปใช้เพื่อเป็นบริวารอุ้มชูอำนาจของบุคคลเพียงไม่กี่คนของกองทัพ
แท้จริงแล้วใช่ไหม ที่กองทัพกลายเป็นอีกหนึ่งอาณาจักรที่แยกออกไปจากกฎหมายปกครองของประเทศไทย ที่ผู้นำทหารคุมกำลังจะนึกสั่ง จะนึกทำการใดก็ได้ เพราะมีอาวุธอยู่ในมือ....!!!
นี่กระมั่งที่เหล่าผู้นำทหารยอมรวมมือกับแผนยึดครองประเทศ เพื่อให้ได้มาเพียงกฎหมายที่ขีดวงไม่ให้รั{บาลพลเรือนเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับกองทัพได้
และนี่กระมั่งที่มีข่าวรอยมาว่า เมื่อประมาณต้นเดือนมกราคมที่ผ่านมา พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน หัวหน้า คมช. กำลังจัดแจงยักย้ายตัวเองออกจากบ้านพักรับรองประจำตำแหน่งผู้บัญชาการทหารบก “เกษะโกมล” ไปอยู่ใน “เคหสถานแห่งใหม่” ที่ใหญ่กว่าเดิม ภายในกรมทหารราบที่ 11 รักษาพระองค์ ด้วยงบประมาณของกองทัพบกกว่า 50 ล้านบาท
ไม่น้อยเพราะมีจำนวนถึง 5 หลัง สำหรับบิ๊กทหาร ระดับ "วีไอพี" ซึ่งแว่วมาว่า 1 ใน 5 หลังมีชื่อของ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ จะเป็นผู้เข้าอาศัยใน "เคหสถานพิเศษ" แห่งนี้ด้วย
จึงเป็นทั้งคำถาม และความสงสัยอย่างยิ่งว่า กองทัพใช้งบประมาณแผ่นดินที่เป็นภาษีของคนทั้งประเทศ สร้างคฤหาสถ์มูลค่าสูงขนาดนั้นเพื่ออะไร และกำลังปกป้องอะไรนอกเหนือไปจากปกป้องประเทศชาติ....???
มาถึงวันนี้จึงไม่เพียงคำกล่าวที่ว่า ไม่มีมูล สุนัขมันคงไม่ขี่ เท่านั้น แต่มันต้องบอกด้วยว่า อำนาจมืดทั้งหลาย มาจากคนในกองทัพนี่เอง หรือ หัวหน้าอำมาตยาธิปไตย อยู่ในกองทัพ ....!!!!