WeLoveOurKing
How to insert weloveking to you website

ทรงพระเจริญ

ขัตติยาอัด คอป แต่งนิทานโยนความผิดเสธ แดง 18 9 55

สถาบันกษัตริย์อยู่ได้ด้วยความจริง

ธงชัย วินิจจะกูล: Truth on Trial

สถาบันกษัตริย์ถึงเวลาต้องปรับตัว

ตุลาการผิดเลน !


ฟังกันให้ชัด! "นิติราษฎร์" ไขข้อข้องใจ ทุกคำถามกรณีลบล้างผลพวงรัฐประหาร





วิดีโอสอนการทำน้ำหมักป้าเช็ง SuperCheng TV ฉบับเต็ม 1.58 ชม.

VOICE NEWS

Fish




เพื่อไทย

เพื่อไทย
เพื่อ ประชาธิปไตย ขับไล่ เผด็จการ

Monday, March 17, 2008

'สนธิ ลิ้มทองกุล' กับ เทียนแห่งอวิชชา




(อ่านหนังสือคำชี้แจงของสำนักราชเลขาธิการ ก่อนอ่านบทความเรื่องนี้)

4 วันผ่านไป ไม่มีคำตอบ คำชี้แจง คำขอโทษ คำขอพระราชทานอภัยโทษ กระทั่งปฏิกิริยาใดๆ

จาก สนธิ ลิ้มทองกุล

ฤาว่า สนธิ ลิ้มทองกุล เลือกและตัดสินใจดีแล้วที่จะใช้ "ความเงียบ" เป็นคำตอบให้แก่หนังสือทวงถามความเป็นธรรม และ การเยียวยาชดใช้ความเสียหายที่เกิดขึ้นแก่สำนักราชเลขาธิการ และ สถาบันพระมหากษัตริย์

ความเสียหายที่เกิดจากความตั้งใจกล่าวหาให้ร้าย นายอาสา สารสิน ราชเลขาธิการ สำนักราชเลขาธิการ ซึ่งป็นส่วนหนึ่งของสถาบันพระมหากษัตริย์
ของ สนธิ ลิ้มทองกุล ในรายการยามเฝ้าแผ่นดิน เมื่อคืนวันศุกร์ที่ 27 เมษายน 2550

ใจความสาระที่ สนธิ ลิ้มทองกุล กล่าวหาให้ร้ายแก่ นายอาสา สารสิน ราชเลขาธิการ และสำนักราชเลขาธิการ เป็นเช่นไรนั้น เชื่อว่าทุกท่านคงได้รับทราบกันมาแล้ว จึงไม่ขอนำมากล่าวซ้ำในที่นี้อีก เนื่องจากเป็นที่ชัดเจนแล้วว่าข้อกล่าวหาให้ร้ายของ สนธิ ลิ้มทองกุล เป็นความเท็จทั้งสิ้น
(ชมและฟังคลิปสนธิกล่าวโจมตีราชเลขาธิการคลิ๊กที่นี่)

เป็นการกล่าวความเท็จ โดยมีเป้าประสงค์ให้กระทบและยังความเสียหายถึงสถาบันพระมหา กษัตริย์ อันเป็นที่เคารพสักการะและจงรักภักดีของคนไทยทั้งชาติ

ตอนหนึ่งของหนังสือสำนักราชเลขาธิการ ระบุว่า "3. การดำเนินการรายการของนายสนธิฯ มีการพูดโดยไม่มีการตรวจสอบข้อมูลและนำเรื่องดังกล่าวเชื่อมโยงทางการเมืองโดยปราศจากความรับผิดชอบและไม่มีความบริสุทธิ์ใจ นำเรื่องของตำแหน่งราชเลขาธิการและสำนักราชเลขาธิการ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของสถาบันพระมหากษัตริย์ เข้าไปเกี่ยวข้องกับการเมือง ทั้งนี้ก่อนที่นายสนธิฯ จะออกรายการในวันศุกร์ที่ 27 เมษายน 2550 ก็สามารถที่จะสอบถามสำนักราชเลขาธิการได้ แต่นายสนธิฯ ไม่มีการสอบถามดังกล่าวแต่ประการใด ด้วยเหตุนี้ สำนักราชเลขาธิการ จึงขอให้ท่านได้โปรดพิจารณาดำเนินการดังนี้

3.1 ขอให้นายสนธิฯ ออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์ ASTV ทางรายการยามเฝ้าแผ่นดิน ชี้แจงข้อเท็จจริงที่ถูกต้องให้ประชาชนได้รับทราบโดยด่วน

3.2 ขอให้ท่านชี้แจงข้อเท็จจริงให้สื่อมวลชนทุกแขนงได้รับทราบ

จึงเรียนมาเพื่อโปรดดำเนินการโดยด่วนต่อไป ทั้งนี้ ขอเรียนว่าสำนักราชเลขาธิการขอสงวนสิทธิในการปกป้องสำนักราชเลขาธิการและราชเลขาธิการ ที่มีการกล่าวโทษในเรื่องที่ไม่มีมูลความจริง หากได้ผลเป็นประการใด กรุณาแจ้งให้ทราบด้วย"

หนังสือทวงถามความเป็นธรรม และ เรียกร้องให้ สนธิ ลิ้มทองกุล ดำเนินการ 2 ประการ เพื่อบรรเทาความเสียหาย แก่ ราชเลขาธิการ สำนักราชเลขาธิการ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของสถาบันพระมหา กษัตริย์ ฉบับนี้ ลงนามโดย นายจิตรพัฒน์ ไกรฤกษ์ รองราชเลขาธิการ ปฏิบัติราชการแทนราชเลขาธิ การ ส่งถึง กรรมการผู้จัดการบริษัทไทยเดย์ ด็อทคอม จำกัด เมื่อวันจันทร์ที่ 30 เมษายน 2550

การปรากฎต่อประชาชนทั่วไป ของหนังสือสำนักราชเลขาธิการ ฉบับนี้ ทำให้ผมดีใจที่ได้รู้ว่า สำนักราชเลขาธิการ ได้ติดตามตรวจสอบการดำเนินรายการโทรทัศน์ ASTV รายการยามเฝ้าแผ่นดิน ที่ดำเนินรายการโดย สนธิ ลิ้มทองกุล

เพราะเท่ากับว่าสำนักราชเลขาธิการ ในฐานะเลขานุการของพระมหากษัตริย์ ได้รับทราบการดำเนินการ และพฤติกรรมอันมีเจตนาร้าย ไม่ซื่อสัตย์ต่อประเทศชาติ และ ประชาชนส่วนใหญ่ ของ สนธิ ลิ้มทองกุล และเครือข่าย อีกทั้งบริวาร มาโดยลำดับ

เพราะแสดงว่าสำนักราชเลขาธิการ ในฐานะส่วหนึ่งของสถาบันพระมหากษัตริย์ ได้รับทราบพฤติ กรรมก้าวล่วงละเมิดสถาบันพระมหากษัตริย์ และพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ของ สนธิ ลิ้มทองกุล มาโดยตลอด

ครั้งนี้ไม่ใช่ครั้งแรกที่ สนธิ ลิ้มทองกุล กล่าวถ้อยคำ วาจา และแสดงพฤติกรรมหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ และดูหมิ่นพระมหากษัตริย์ ตลอดจนราชวงศ์จักรี ทำให้ประชาชนชาวไทยและชาวต่างประเทศเข้าใจผิดว่าสถาบันพระมหากษัตริย์ และ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงเข้ามาเกี่ยวข้องกับการเมือง เป็นเหตุให้เกิดความเสื่อมเสียพระเกียรติยศแห่งองค์พระมหากษัตริย์ และราชวงศ์จักรี

ผมเชื่อว่าพฤติกรรมของ สนธิ ลิ้มทองกุล ที่บังอาจก้าวล่วง ละเมิด ดูหมิ่น สถาบันพระมหา กษัตริย์ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ตลอดจน ราชวงศ์จักรี โดยไม่เกรงกลัวอาญาแผ่นดิน ทุกครั้งที่ผ่านมา ไม่ได้อยู่เหนือการรับรู้ของสำนักราชเลขาธิการ และ สถาบันพระมหากษัตริย์ ไปได้

แต่ด้วยความเมตตาของสำนักราชเลขาธิการ และ พระเมตตาขององค์พระมหากษัตริย์ ที่มีต่อ สนธิ ลิ้มทองกุล ในฐานะประชาชนคนไทยคนหนึ่ง ที่อาศัยใต้ร่มพระบรมโพธิสมภาร จึงไม่ทรงติดใจเอาความต่อ สนธิ ลิ้มทองกุล และอภัย มาโดยตลอด

ดังจะเห็นได้จากพระราชดำรัส วันที่ 4 ธันวาคม 2549 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงแนะนำให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ถอนฟ้องผู้ที่มีพฤติกรรมดูหมิ่นพระมหากษัตริย์ และ หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ซึ่งแสดงถึงน้ำพระทัยและพระเมตตาที่ทรงมีต่อประชาชนคนไทยทุกคน ถึงแม้ว่าคนคนนั้น กล่าวให้ชัดก็คือ เป็น สนธิ ลิ้มทองกุล นั่นเอง ที่บังอาจกระทำการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ทำให้เสื่อมเสียพระเกียรติยศ ก็ตาม(ชมและฟังกระแสพระราชดำรัสพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบางช่วงบางตอนคลิ๊กที่นี่)

คนบางคน ได้รับพระกรุณาเพียงครั้งเดียว ก็สำนึกในพระมหากรุณาธิคุณไปชั่วชีวิต ไม่ประพฤติปฏิบัติพฤติกรรมหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ อีกเลย

แต่ คนบางคน ได้รับพระกรุณาครั้งแล้วครั้งเล่า ก็หาได้มีสำนึกไม่ ยังคงประพฤติปฏิบัติ ก้าวล่วง ละเมิด ดูหมิ่น ทำให้เสื่อมเสียพระเกียรติยศ ไม่หยุดหย่อน อีกทั้งยังบังอาจเหิมเกริม แอบอ้างสถาบันพระมหากษัตริย์ เพื่อแสวงหาประโยชน์ส่วนตน และหลอกลวงให้ผู้อื่น ประชาชนจำนวนมากหลงเชื่อ เข้าใจผิดว่าได้รับการสนับสนุนจากสถาบันพระมหากษัตริย์ ในการดำเนินการที่มีเป้าหมายทางการเมือง

ความไม่รู้สำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ ด้วยสำคัญตนผิดว่า ไม่ว่าจะกล่าววาจา ถ้อยคำ แสดงพฤติกรรมเช่นไร ก็ไม่มีเจ้าหน้าที่รัฐผู้ใดกล้าจับตัวไปดำเนินคดีลงโทษฑัณท์ เพราะมีบุคคลที่มีอิทธิพลให้การสนับสนุนอยู่ จึงทำให้ สนธิ ลิ้มทองกุล เหิมเกริม และบังอาจกระทำการลบหลู่ดูหมิ่นสถาบันพระมหากษัตริย์ ให้ได้รับความเสื่อมเสียพระเกียรติยศในระดับรุนแรง และร้ายแรง เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

การดำเนินการรายการโทรทัศน์ ASTV ของ สนธิ ลิ้มทองกุล อันมีเป้าหมายทางการเมืองตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา พาดพิง แอบอ้างสถาบันพระมหากษัตริย์ หลายต่อหลายครั้ง นับเป็นการท้าทายสถาบันพระมหากษัตริย์ อย่างไม่เกรงกลัวอาญาแผ่นดิน ราวกับว่าสถาบันพระมหากษัตริย์ เป็นเสมอหนึ่งสัญญลักษณ์ หาได้มีความศักดิ์สิทธิ์ และมิได้เป็นศูนย์รวมดวงใจคนไทยทั้งชาติ ในสายของ สนธิ ลิ้มทองกุล (อ่าน 12 พฤติกรรมหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ของ สนธิ ลิ้มทองกุล)

สถาบันพระมหากษัตริย์ ทรงมีพระเมตตาต่อประชาชนคนไทย มาโดยตลอด

ไม่เคยมีสักครั้งที่ สถาบันพระมหากษัตริย์ หรือ ผู้แทนสถาบันพระมหากษัตริย์ จะทำหนังสือเป็นลายลักษณ์อักษร เพื่อเรียกร้องให้ผู้ที่ก้าวล่วง ละเมิดสถาบันพระมหากษัตริย์ องค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ดำเนินการเพื่อเป็นการเยียวยา บรรเทาความเสียหายแก่สถาบันพระมหากษัตริย์

ไม่เคยมีสักครั้งที่ สถาบันพระมหากษัตริย์ หรือ ผู้แทนสถาบันพระมหากษัตริย์ จะแจ้งต่อผู้ก้าวล่วงละเมิด ว่าจะดำเนินคดีตามกฎหมาย

ทั้งนี้เนื่องจากเหตุผล 2 ประการคือ

1. พระเมตตา ที่ทรงมีต่อประชาชนคนไทยทุกคน

2. ทุกยุคทุกสมัยที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่รัฐ ผู้มีหน้าที่ปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์ ทั้งตำรวจ ทหาร และ พลเรือน จะมีความตื่นตัว ระแวดระวัง ตรวจสอบอย่างเอาจริงเอาจัง ว่ามีผู้ใดบังอาจดูหมิ่น ก้าวล่วง ละเมิดพระมหากษัตริย์ หรือไม่ หากพบว่ามีผู้ใดบังอาจ ก็จะดำเนินการตามกฎหมายอย่างเด็ดขาด ทันที

แต่มาถึงยุครัฐประหาร ที่มีทหาร (อ้างว่าเป็นทหารพระราชา) ถืออำนาจปกครองแผ่นดิน กลับไม่มีหน่วยงานใด หรือเจ้าหน้าที่รัฐคนใด รู้สึกร้อนหนาว กระทั่งรู้สึกเจ็บปวดใดๆ ต่อคำพูดและพฤติกรรมของ สนธิ ลิ้มทองกุล ที่ทำให้สถาบันพระมหากษัตริย์ และส่วนหนึ่งของสถาบันพระมหากษัตริย์ ต้องเสื่อมเสีย

ท่าทีของหน่วยงานรัฐ ทั้งกองทัพ และ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ

พฤติกรรมของเจ้าหน้าที่รัฐ ทุกระดับ นับแต่ นายกรัฐมนตรี ประธานคมช. ผู้บัญชาการเหล่าทัพ ผู้บัญชาการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ทหารทุกคน ตำรวจทุกนาย ผู้ทรงคุณวุฒิทั้งหลาย นักกฎหมายทั้งปวง ที่เคยออกมาปกป้องพล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี ด้วยอุบาย "ใช้ข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ" กล่าวหาให้ร้ายบุคคลที่วิพากษ์วิจารณ์ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ต่างพากันเงียบกริบ รูดซิบปากเสียสนิท ปิดหูเสียมิดชิด ปิดตาราวมืดบอดทั้งสองข้าง

ทุกคนที่เคยเจ็บปวด เดือดร้อนแทน พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ จึงไม่ได้ยิน จึงไม่ได้เห็นพฤติกรรมและวาจาของ สนธิ ลิ้มทองกุล ที่หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ และกระทำผิดต่อสถาบันพระมหา กษัตริย์ จึงไม่รู้สึกใดๆ ต่อความเสียหายของสถาบันพระมหากษัตริย์ ไม่มีกระทั่งความสำนึกแห่งข้าราชการในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ดังที่ปากพร่ำบ่นมิแตกต่างจากน้ำยาบ้วนปาก แต่มิเคยได้บันทึกไว้ในหัวใจตนแม้แต่น้อยนิด

ทั้งๆ ที่ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ มิใช่ สถาบันพระมหากษัตริย์ และมิได้เป็นส่วนหนึ่งของสถาบันพระมหากษัตริย์ ทั้งโดยตัวบุคคล และโดยตำแหน่ง

ทั้งๆ ที่สำนักราชเลขาธิการ เป็นส่วนหนึ่งของสถาบันพระมหากษัตริย์

ทั้งๆ ที่สถาบันพระมหากษัตริย์ เป็นสถาบันสูงสุดของชาติไทย ที่ผู้ใดจะบังอาจก้าวล่วง ละเมิดมิได้

หน่วยงานของรัฐ เจ้าหน้าที่ของหลวงที่ถือำนาจในมือทุกคน ทั้งทหาร ตำรวจ อัยการ กลับเลือกที่จะเจ็บปวดแทน พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ราวกับว่า สถาบันพระมหากษัตริย์ ถูกทำร้าย ประหนึ่งว่าพล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ คือ สถาบันพระมหากษัตริย์

แต่เมื่อถึงคราวที่สถาบันพระมหากษัตริย์ ถูกละเมิดจริงๆ หน่วยงานของรัฐ เจ้าหน้าที่ทุกคน กลับเลือกที่จะละเลยวางเฉยที่จะรู้สึกใดๆ ต่อความเสียหายที่มีผู้บังอาจกระทำต่อสถาบันพระ มหากษัตริย์ และส่วนหนึ่งของสถาบันพระมหากษัตริย์

ผมไม่แน่ใจว่า ในความคิดของ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรี พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ผู้บัญชาการทหาร และ หัวหน้าคณะรัฐประหาร พล.ต.อ.เสรีพิสุทธิ์ เตมียาเวส รักษาการผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ นายพชร ยุติธรรมดำรง อัยการสูงสุด นายมีชัย ฤชุพันธุ์ ประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ นายจรัญ ภักดีธนากุล ปลัดกระทรวงยุติธรรม

สถาบันพระมหากษัตริย์ มีความหมายใดกันแน่

ระหว่าง พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ กับ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว

เมื่อไม่มีหน่วยงานของรัฐ เจ้าหน้าที่ของหลวงคนใด เดือดร้อนต่อความเสียหายที่สถาบันพระมหา กษัตริย์ ถูก สนธิ ลิ้มทองกุล ละเมิด ดูหมิ่น ครั้งแล้วครั้งเล่า จึงเป็นความจำเป็นอย่างยิ่ง ที่สถาบันพระ มหากษัตริย์ หรือ ผู้แทนสถาบันพระมหากษัตริย์ ต้องดำเนินการปกป้อง และทวงถามความเป็นธรรมให้แก่ตนเอง ดังเช่นหนังสือสำนักราชเลขาธิการ ฉบับที่เราได้อ่านกันอยู่ในขณะนี้

เหตุการณ์เช่นนี้ ถ้าเกิดขึ้นในอดีต ไม่ต้องย้อนไปไกลถึงสมบูรณาญาสิทธิราชย์ เพียงแค่รัฐบาลพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร หรือรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชน ทุกรัฐบาล หากมีใครบังอาจกล่าวหาให้ร้ายส่วนหนึ่งของสถาบันพระมหากษัตริย์ เช่นนี้ รับรองได้ว่าบุคคลนั้นจะต้องถูกนำตัวขึ้นสู่ศาลเพื่อดำเนินคดีข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ให้ได้รับโทษสูงสุดเป็นแน่แท้

แต่บ้านเมืองในวันนี้ เป็นที่น่าเศร้ายิ่งนัก สำนักราชเลขาธิการ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของสถาบันพระ มหากษัตริย์ ต้องออกมาเรียกร้อง ทวงถามความเป็นธรรมให้แก่สถาบันพระมหากษัตริย์ ด้วยตนเอง

เวลาผ่านไปถึง 4 วันแล้ว ที่สำนักราชเลขาธิการ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของสถาบันพระมหากษัตริย์ ประกาศต่อสาธารณะ ว่าได้รับความเสียหายจากการกระทำของ สนธิ ลิ้มทองกุล แต่ก็ยังไม่มีหน่วยงานใด เจ้าหน้าที่รัฐคนใด ไม่ว่าจะเป็น ทหาร (ที่อ้างว่าเป็นทหารพระราชา) ตำรวจ อัยการ องคมนตรี โดย เฉพาะประธานองคมนตรี มีปฏิกิริยาใดๆ ต่อความเสียหายที่สำนักราชเลขาธิการ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของสถาบันพระมหากษัตริย์ ได้รับในครั้งนี้

เหตุที่เป็นเช่นนี้ ก็เพราะ ทุกคนในบ้านเมืองนี้ เกรงกลัว สนธิ ลิ้มทองกุล

ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ไม่ปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมาย เพราะกลัว สนธิ ลิ้มทองกุล

ผู้บัญชาการทหารบก(ที่อ้างว่าเป็นทหารพระราชา)นิ่งเงียบ เพราะกลัว สนธิ ลิ้มทองกุล

อัยการ ซึ่งเป็นทนายแผ่นดิน ไม่มีความเห็นใดๆ เพราะกลัว สนธิ ลิ้มทองกุล

รัฐบาล ไม่รับรู้ต่อความเสียหายที่เกิดขึ้นกับสถาบันพระมหากษัตริย์ เพราะกลัว สนธิ ลิ้มทองกุล

สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ไม่สนใจอภิปรายวาระนี้ เพราะกลัว สนธิ ลิ้มทองกุล

ประธานองคมนตรี ไม่ใส่ใจปกป้องรักษาสถาบันพระมหากษัตริย์ เพราะกลัว สนธิ ลิ้มทองกุล

ทุกคนกลัว สนธิ ลิ้มทองกุล จึงปล่อยให้ สนธิ ลิ้มทองกุล ทำตามอำเภอใจ กระทั่งดูหมิ่นพระมหากษัตริย์ ก็ทำได้ โดยไม่ต้องรับโทษตามกฎหมาย

สนธิ ลิ้มทองกุล จึงกลายเป็นคนที่อยู่เหนือกฎหมาย

ทุกคนที่กลัว สนธิ ลิ้มทองกุล ล้วนแต่มีแผล ไม่ต่างวัวสันหลังหวะ

ทุกคนกลัวถูก สนธิ ลิ้มทองกุล แบล็กเมล์ เพราะรู้ดีถึงกิติศัพท์ด้านนี้ของ สนธิ ลิ้มทองกุล

มีแต่ประชาชนผู้จงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์เท่านั้น ที่ไม่เกรงและไม่กลัว สนธิ ลิ้มทองกุล

เพราะประชาชนไม่มีแผล และไม่ใช่วัวสันหลังหวะ

เพราะประชาชนไม่เชื่อแต่ต้นว่า สถาบันพระมหากษัตริย์ สนับสนุน สนธิ ลิ้มทองกุล ตาม ที่เขากล่าวอ้าง และแอบใช้หลังพิงวัง มาโดยตลอด

เพราะประชาชน เชื่อว่า ไม่ว่าใครก็ตามที่ก้าวล่วง ละเมิด ทำให้สถาบันพระมหากษัตริย์ เสื่อมเสียพระเกียรติยศ ทั้งผู้กระทำการ และผู้สนับสนุน ล้วนเป็นผู้ไม่จงรักภักดีแท้จริง แม้ปากจะบอกว่าจงรัก ภักดี ยอมพลีชีวิตเพื่อปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์ แต่ในใจของผู้นั้น ล้วนแต่มุ่งหมายใช้สถาบันพระมหากษัตริย์เป็นเครื่องมือ และแอบอ้างหาประโยชน์ส่วนตนด้วยกันทั้งสิ้น

เพราะประชาชนเชื่อว่า สถาบันพระมหากษัตริย์ ทรงล่วงรู้ว่าผู้ใดจงรักภักดีด้วยใจจริง ผู้ใดจงรักภักดีเพียงปากว่าเท่านั้น

การปรากฎของหนังสือสำนักราชเลขาธิการ ฉบับนี้ จึงเป็นการแสดงให้เห็นถึงสัญญาณบางประการ ที่มีต่อ สนธิ ลิ้มทองกุล และแสดงให้ประชาชนคนไทยได้เห็นว่า คำแอบอ้างของสนธิ ลิ้มทองกุล ทั้งโดยวาจา พฤติกรรม และสัญญลักษณ์ เสื้อสีเหลือง ผ้าพันคอสีฟ้า เพื่อให้ประชาชนหลงเชื่อและเข้าใจผิดว่า การขับไล่โค่นล้มพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ได้รับการสนับสนุนจากสถาบันเบื้องสูง นั้น ไม่เป็นความจริง(ชมภาพสนธิใส่เสื้อสีเหลือง ผ้าพันคอสีฟ้า คลิ๊กที่นี่)

เนื่องเพราะ สถาบันพระมหากษัตริย์ทรงไม่ยุ่งเกี่ยวกับการเมือง ทั้งทางตรงและโดยอ้อม

ด้วยคำว่า "ตำแหน่งราชเลขาธิการ สำนักราชเลขาธิการซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของสถาบันพระมหา กษัตริย์" ที่ปรากฎในหนังสือสำนักราชราชเลขาธิการ ฉบับนี้ ผมจึงเชื่อโดยสุจริตใจว่าหนังสือฉบับนี้ นายจิตรพัฒน์ ไกรฤกษ์ รองราชเลขาธิการ มิได้ดำเนินการและพิจารณาลงนามกำกับหนังสือ ตามลำพัง อีกทั้งยังมิได้กล่าวหรือแอบอ้างเป็นส่วนหนึ่งของสถาบันพระมหากษัตริย์ ด้วยตนเอง

ด้วยสกุล "ไกรฤกษ์" ซึ่งถวายงานรับใช้สถาบันพระมหากษัตริย์ มานานหลายชั่วอายุคน

ด้วยฐานะ "รองราชเลขาธิการ" ปฏิบัติหน้าที่ในสำนักราชเลขาธิการ ถวายงานในฐานะเลขานุ การพระมหากษัตริย์

ผมจึงมั่นใจว่าหนังสือสำคัญฉบับนี้ เป็นหนังสือที่มีความหมายอย่างใหญ่หลวง และมีเหตุผลที่ต้องออกอย่างเร่งด่วน เพื่อให้มีการดำเนินการแก้ไขความเข้าใจผิดที่อาจจะเกิดขึ้นแก่ประชาชน ที่รับฟังข้อกล่าวหาอันปราศจากความจริงและความรับผิดชอบของ สนธิ ลิ้มทองกุล เพื่อบรรเทาความเสียหายที่จะเกิดขึ้นแก่สถาบันพระมหากษัตริย์ และ สำนักราชเลขาธิการ ในฐานะเลขานุการของพระมหา กษัตริย์ โดยด่วน

หนังสือของสำนักราชเลขาธิการ ย้ำคำว่า "โดยด่วน" ถึง 2 ครั้ง ในข้อความที่ห่างกันเพียง 2 บรรทัด ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความร้อนใจของสำนักราชเลขาธิการซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของสถาบันพระมหา กษัตริย์ ที่ต้องการให้มีการแก้ไขความเข้าใจผิด และข้อกล่าวหาอันเป็นเท็จ โดยด่วน เพื่อป้องกันการเข้าใจผิดของประชาชนที่ได้รับข้อมูลจาก สนธิ ลิ้มทองกุล

แต่ การตอบสนองต่อข้อเรียกร้องของ สนธิ ลิ้มทองกุล คือ

"ความเงียบ" และ "การไม่ปรากฎตัว"

หากไม่ใช่เจตนาที่จะท้าทายต่อข้อเรียกร้องของหนังสือสำนักราชเลขาธิการ ก็ต้องเป็นการแสดงให้เห็นถึงความไม่เกรง ไม่กลัวความผิด ไม่รู้ร้อนหนาวต่ออาญาแผ่นดินที่กำหนดไว้ อีกทั้งยังแสดงให้เห็นถึงอาการไม่ยี่หระ ไม่สะทกสะท้านต่อวรรคท้ายของหนังสือ ที่แจ้งล่วงหน้า ว่า

"สำนักราชเลขาธิการขอสงวนสิทธิในการปกป้องสำนักราชเลขาธิการ และราชเลขาธิการ ที่มีการกล่าวโทษในเรื่องที่ไม่มีมูลความจริง"

เนื่องเพราะ ครั้งนี้ไม่ใช่ครั้งแรกที่ สนธิ ลิ้มทองกุล ถูกดำเนินคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ

คดีดูหมิ่นพระมหากษัตริย์ กรณีกล่าวถ้อยคำ "ให้.............ลาออก" ซึ่งประชาชน ช้าราชการ ตำรวจ ทหาร แจ้งความ ฟ้องร้องดำเนินคดีทั่วประเทศ และอัยการสั่งฟ้องแล้ว เมื่อถึงชั้นศาล อัยการก็ไปถอนฟ้อง

การว่ากล่าว ตักเตือน และแจ้งว่าจะดำเนินคดี ของสำนักราชเลขาธิการ จึงไม่อาจทำให้ สนธิ ลิ้มทองกุล รู้สึกว่าต้องเกรงกลัวต่อกฎหมาย และ อาญาแผ่นดิน

ปฏิกิริยาของ สนธิ ลิ้มทองกุล ที่มีต่อข้อเรียกร้อง 2 ข้อที่ปรากฎในหนังสือสำนักราชเลขาธิการ นอกจากความเงียบแล้ว ก็มีเพียง 1. ให้บริวาร 1 คนอ่านหนังสือสำนักราชเลขาธิการ โดยสรุป ในรายการยามเฝ้าแผ่นดิน คืนวันจันทร์ที่ 30 เมษายน 2550 และ และอ้างว่า สนธิ ลิ้มทองกุล จะชี้แจงเรื่องนี้ด้วยตนเองในวันศุกร์ที่ 4 พฤษภาคม 2550 และ 2. เสนอข่าวโดยย่อในเวปไซต์ Manager.co.th โดยตัดข้อความสำคัญ อันเป็นสาระความเสียหายของสำนักราชเลขาธิการออกทั้งหมด คงเหลือเพียงสาระในส่วนที่สำนักราชเลขาธิการชี้แจงข้อกล่าวหาของ สนธิ ลิ้มทองกุล เนื้อความในหนังสือ 4 แผ่นเต็ม ของสำนักราชเลขาธิการ จึงได้รับการพิจารณาจาก สนธิ ลิ้มทองกุล ว่าสมควรนำเสนอให้ประชาชนทราบเพียงไม่ถึง 1 หน้ากระดาษ ดังนี้

"สำนักราชเลขาธิการ แจง "สนธิ" กรณีตั้งคำถามถึงความล่าช้าของร่างแก้ไข พ.ร.บ.ปราบปรามการทุจริต ยืนยันพิจารณาด้วยความเร่งรีบ นำเรื่องขึ้นกราบบังคมทูลฯ และทรงลงพระปรมาภิไธย ส่งคืนสำนักเลขาธิ การ ครม.แล้วเมื่อ 24 เม.ย.ที่ผ่านมา พร้อมปฏิเสธถ่วงเรื่องเพื่อช่วยเหลือ "พงส์ สารสิน" กรณีหุ้นเทมาเส็ก

วันนี้ (30 เม.ย.) สำนักราชเลขาธิการ ได้ส่งหนังสือด่วนที่สุด ที่ รล 0009.3/8879ลงนามโดย นายจิตรพัฒน์ ไกรฤกษ์ รองราชเลขาธิการ ปฏิบัติราชการแทนราชเลขาธิการ ลงวันที่ 30 เม.ย.2550 ถึงกรรมการผู้จัดการบริษัท ไทยเดย์ ด็อทคอม จำกัด เพื่อชี้แจงรายการยามเฝ้าแผ่นดิน วันศุกร์ที่ 27 เม.ย.2550

เนื้อความในหนังสือดังกล่าว อ้างถึงการจัดรายการยามเฝ้าแผ่นดิน ของนายสนธิ ลิ้มทองกุล ออกอากาศทางเอเอสทีวี เมื่อวันศุกร์ที่ 27 เม.ย.2550 โดยในตอนหนึ่ง นายสนธิ ได้ตั้งคำถามถึงนายอาสา สารสิน ราชเลขาธิการ กรณีเกิดความล่าช้าในขั้นตอนการกราบบังคมทูลฯเพื่อทรงลงพระปรมาภิไธยร่างแก้ไขพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 ซึ่งสภานิติบัญญัติแห่งชาติได้พิจารณาเห็นชอบแล้ว

หนังสือสำนักราชเลขาธิการ ชี้แจงถึงกรณีดังกล่าวสรุปได้ว่า การดำเนินการเกี่ยวกับร่างกฎหมายทุกฉบับ สำนักราชเลขาธิการถือว่าเป็นเรื่องสำคัญอย่างมาก เมื่อได้รับเรื่องแล้วจะรีบตรวจสอบพิจารณากลั่นกรอง ก่อนนำเสนอที่ประชุมองคมนตรีทุกวันอังคาร เพื่อพิจารณาถวายความเห็นประกอบพระราช ดำริ เมื่อคณะองคมนตรีพิจารณาแล้วจะส่งเรื่องให้ราชเลขาธิการ ซึ่งมีหน้าที่ที่จะต้องนำความกราบบังคมทูลฯเพื่อทรงพิจารณาโดยทันที เพื่อทรงลงพระปรมาภิไธย

กรณีร่างแก้ไข พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต สำนักราชเลขาธิการได้รับเรื่องจากสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 2 เม.ย.2550 เวลา 14.46 น.และได้ตรวจสอบพิจารณากลั่นกรองร่างกฎหมายตามอำนาจหน้าที่ก่อนเสนอคณะองคมนตรีพิจารณาถวายความเห็นประกอบพระราชดำริเมื่อวันที่ 10 เม.ย.2550 และนำเรื่องกราบเรียนประธานองคมนตรี วันที่ 11 เม.ย.2550 หลังจากนั้น เป็นวันหยุดสงกรานต์ ต่อมาราชเลขาธิการนำความกราบบังคมทูลฯเพื่อทรงพิจารณาและทรงลงพระปรมาภิไธย เมื่อวันอาทิตย์ที่ 22 เม.ย.2550 และพระราชทานคืนวันที่ 23 เม.ย.2550 สำนักราชเลขาธิการได้เชิญ พ.ร.บ.ดังกล่าวคืนสำนักเลขาธิการ ครม.เมื่อวันอังคารที่ 24 เม.ย.2550

หนังสือสำนักราชเลขาธิการ ชี้แจงอีกว่า ในกรณีดังกล่าวสำนักราชเลขาธิการได้ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความรวดเร็ว มิได้มีการล่าช้า หรือชะลอเรื่องแต่ประการใด นอกจากนี้ ยังยืนว่า นายอาสา สารสิน ไม่ได้เกี่ยวข้องกับ นายพงส์ สารสิน พี่ชาย ในกรณีการเป็นนอมินีของหุ้นเทมาเส็กแต่อย่างใดทั้งสิ้น

นอกจากนี้ สำนักราชเลขาธิการ ได้ขอให้ นายสนธิ ออกอากาศทางเอเอสทีวี รายการยามเฝ้าแผ่นดิน เพื่อชี้แจงข้อเท็จจริงที่ถูกต้องให้ประชาชนทราบโดยด่วน และให้ชี้แจงข้อเท็จจริงให้สื่อมวลชนทุกแขนงได้รับทราบ"

จับความจากเนื้อหาในหนังสือสำนักราชเลขาธิการ ข้อ 3 หน้า 4 ที่ผมคัดลอกมาให้อ่าน ผมเห็นว่ามี 6 ประเด็นที่ประชาชนคนไทยผู้จงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ ทุกคน ในฐานะพสกนิกรผู้เทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์ ไว้เหนือหัว ผู้ใดจะบังอาจก้าวล่วงละเมิดมิได้ ต้องพิจารณาด้วยความใส่ใจเป็นที่สุด เพื่อมิให้มีเหตุการณ์ที่ทำให้เสื่อมเสียพระเกียรติยศแก่องค์พระมหากษัตริย์ เกิดขึ้นอีก ดังนี้

1. "การดำเนินการรายการของนายสนธิฯ มีการพูดโดยไม่มีการตรวจสอบข้อมูลและนำเรื่องดัง กล่าวเชื่อมโยงทางการเมือง โดยปราศจากความรับผิดชอบและไม่มีความบริสุทธิ์ใจ"

สำนักราชเลขาธิการ ชี้ให้เห็นว่า สนธิ ลิ้มทองกุล มีเจตนาไม่บริสุทธิ์ใจ หรือ ไม่สุจริต ต่อสำนักราชเลขาธิการ และ มีเป้าหมายที่จะนำสำนักราชเลขาธิการ ไปเป็นเครื่องมือทางการเมือง เพื่อดำเนินการเมือง ให้บรรลุเป้าหมายทางการเมือง โดยปราศจากความรับผิดชอบ ทั้งๆที่อยู่ในวิสัยที่สามารถตรวจสอบข้อมูลก่อนนำเสนอได้ แต่ไม่ได้ใช้ความพยายามที่จะตรวจสอบข้อมูลก่อน หากแต่จงใจนำเสนอเพื่อให้สำนักราชเลขาธิการ ได้รับความเสียหาย

ในฐานะสื่อมวลชน มีนักข่าวประจำอยู่ที่ทำเนียบรัฐบาล สนธิ ลิ้มทองกุล สามารถที่จะตรวจสอบแสวงหา "ความจริง"กรณีนี้ได้จากสำนักงานเลขาธิการคณะรัฐมนตรี แต่ สนธิ ลิ้มทองกุล เลือกที่จะไม่ทำ เนื่องจากคุ้นเคยกับการกล่าวหาให้ร้ายผู้อื่น ด้วยความอันเป็นเท็จ โดยปราศจากความรับผิดชอบ มาตลอด

เห็นได้จาก สนธิ ลิ้มทองกุล ยอมรับว่าหมิ่นประมาทตระกูลชินวัตร ตระกูลดามาพงศ์ ที่กล่าวหาว่าคนในสองตระกูลนี้มีพฤติกรรมโกงกินคอรัปชั่น ทำให้บุคคลใน 2 วงศ์ตระกูล นี้ได้รับความเสียหาย เมื่อถูกดำเนินคดีในชั้นศาล สนธิ ลิ้มทองกุล ก็ยอมรับผิด และยอมขอโทษ เพื่อแลกกับการขอให้ผู้เสียหาย ถอนฟ้อง ไม่ดำเนินคดีต่อ(อ่านข่าว 'สนธิ'ยอมขอโทษตระกูลดามาพงศ์คลิ๊กที่นี่)

การเยียวยาบรรเทาความเสียหายแก่ผู้อื่น ที่ได้รับผลจากการะทำของตนเอง ด้วยคำ "ขอโทษ" เพียงคำเดียว เหมือนกับเดินชนกัน แล้วหลุดปาก "ขอโทษ" ทั้งๆ ที่ความเสียหายที่ก่อให้เกิดแก่ผู้อื่นนั้น เป็นความเสียหายแก่ทุกคนในวงศ์ตระกูล ถูกคนทั้งประเทศมองด้วยสายตาไม่ไว้งางใจ เกลียดชัง เป็นการแสดงให้เห็นถึงตัวตนที่แท้จริงของ สนธิ ลิ้มทองกุล ว่าเป็นบุคคลที่มีพฤติกรรมดังที่ สำนักราชเลขาธิการ ชี้ทั้ง 2 ประการ คือ ปราศจากความรับผิดชอบ และไม่มีความบริสุทธิ์ใจ

แต่การกระทำครั้งล่าสุดนี้ เป็นการกระทำที่ปราศจากความรับผิดชอบและไม่มีความบริสุทธิ์ใจต่อสำนักราชเลขาธิการ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของสถาบันพระมหากษัตริย์ จึงสมควรแก่เวลาแล้วที่จะมีใครสักคนหรือสถาบันใดสถาบันหนึ่ง หยุดยั้งพฤติกรรมกล่าวหาให้ร้ายผู้อื่นให้ได้รับความเสียหาย โดยปราศจากความรับผิดชอบ และไม่มีความบริสุทธิ์ใจได้แล้ว ก่อนที่ สนธิ ลิ้มทองกุล จะเหิมเกริม ไปมากกว่านี้

มากจนกระทั่งไม่เห็นสถาบันพระมหากษัตริย์ อยู่ในสายตา และปฏิบัติด้วยความไม่เคารพ

2. "ตำแหน่งราชเลขาธิการและสำนักราชเลขาธิการ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของสถาบันพระมหา กษัตริย์"

สำนักราชเลขาธิการ ย่อมจะมิได้แอบอ้าง ย่อมจะไม่กล่าวลอยๆ หากไม่ได้รับพระบรมราชานุญาต ให้ใช้คำว่า "เป็นส่วนหนึ่งของสถาบันพระมหากษัตริย์"

สำนักราชเลขาธิการ ชี้ให้เห็นว่าพฤติกรรมของ สนธิ ลิ้มทองกุล เป็นการทำร้ายต่อสถา บันพระมหากษัตริย์ ด้วย

เท่ากับว่า สนธิ ลิ้มทองกุล ได้กล่าวหาให้ร้ายสถาบันพระมหากษัตริย์ มิใช่กล่าวหาให้ร้ายเฉพาะ ราชเลขาธิการ และสำนักราชเลขาธิการ เท่านั้น

สำนักราชเลขาธิการ เป็นส่วนหนึ่งของสถาบันพระมหากษัตริย์ ดังนั้น หนังสือของสำนักราชเลขาธิการ ที่ส่งถึง สนธิ ลิ้มทองกุล ย่อมเป็นหนังสือของสถาบันพระมหากษัตริย์ ด้วย

ในฐานะพสกนิกรผู้จงรักภักดี เมื่อได้ผลจากการเทียบเคียงเรื่องราวด้วยตรรกะดังกล่าวนี้ ผมไม่สบายใจอย่างยิ่งที่ จนถึงขณะนี้ หน่วยงานของรัฐ เจ้าหน้าที่ของหลวง ต่างไม่ใส่ใจต่อความเดือดร้อน ความเสีย หายของสถาบันพระมหากษัตริย์ กระทั่ง สถาบันพระมหากษัตริย์ หรือส่วนหนึ่งของสถาบันพระมหา กษัตริย์ต้องเรียกร้อง ทวงถามความเป็นธรรม ให้แก่ตนเอง

ราชนิกูล ข้าแผ่นดิน ทั้ง 5 นางที่เคยออกมาเรียกร้อง ปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์ หดหัว หายหน้าไปไหนกันหมด

ม.ร.ว.รำพิอาภา เกษมศรี หัวขบวนใหญ่ของราชนิกูล ข้ารับใช้สนธิ ลิ้มทองกุล ได้อ่านความของสำนักราชเลขาธิการ แล้วคิดอ่านเป็นประการใด

ในฐานะภริยาอดีตราชเลขาธิการ น่าจะรับทราบและวินิจฉัยเป็นอย่างดีว่าพฤติกรรมของสนธิ ลิ้มทองกุล ในครั้งนี้ สมควรแก่การลงโทษหรือเคารพยกย่อง ดังเช่นที่ท่านรู้สึกต่อสนธิ ลิ้มทองกุล มาตลอด(ชมภาพสนธิกับกลุ่มราชนิกูลถ่ายรูปหมู่ระหว่างงานเลี้ยงสังสรรค์ฉลองชัยชนะคลิ๊กที่นี่)

ม.ร.ว.รำพิอาภา เกษมศรี จะรู้สึกสำนึกเสียใจบ้างไหมที่ครั้งหนึ่งเคยเปิดบ้านเลี้ยงฉลองชัยชนะ ให้กับ สนธิ ลิ้มทองกุล และกล่าวยกย่องเชิดชู สนธิ ลิ้มทองกุล ประหนึ่งวีรบุรุษผู้ปกป้องชาติ ศาส นา พระมหากษัตริย์ หลังจากคณะรัฐประหาร ยึดอำนาจการปกครองแผ่นดินไว้ในมือ

ทั้งๆ ที่ สนธิ ลิ้มทองกุล คือ บุคคลที่ทำร้ายสถาบันพระมหากษัตริย์ อย่างที่ไม่เคยปรากฎมาก่อนในประวัติศาสตร์ของสถาบันพระมหากษัตริย์ไทย

ประชาชนคนไทยทั้งแผ่นดิน จะปล่อยให้สถาบันพระมหากษัตริย์ ถูกดูหมิ่นเหยียดหยาม กล่าวหาให้ร้าย จาก สนธิ ลิ้มทองกุล บุคคลที่ไม่เคยสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ และพระเมตตา เช่นนี้ต่อไปอีกนานเท่าใด

ประชาชนคนไทยยังคาดหวังจากองคมนตรี รัฐบาล กองทัพ ตำรวจ ข้าราชการ ให้ช่วยกันปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์ อันเป็นภารกิจหลักของทุกหน่วย ของคนไทยทุกคน ได้อีกหรือไม่

หรือว่าถึงเวลาแล้วที่พวกเราคนไทยทุกคน ต้องออกมาเรียกร้อง และปกป้องสถาบันพระมหา กษัตริย์ ให้เป็นตัวอย่างแก่เจ้าหน้าที่รัฐทุกหน่วยงาน

ถนนพระอาทิตย์ ทั้งสาย บ้านเจ้าพระยา ที่ทำการสถานีโทรทัศน์เอเอสทีวี บ้านพระอาทิตย์ สำนักงานของ สนธิ ลิ้มทองกุล จะเพียงพอรองรับคลื่นประชาชนที่ไปทวงถามความเป็นธรรมแก่สถาบันพระมหากษัตริย์ หรือไม่

แต่ต้องไม่ให้เกิดการบิดเบือนจากเหล่าสื่อมวลชน เหมือนเมื่อครั้งที่คาราวานคนจนนำประชาชนผู้จงรักภักดีไปทวงถามความเป็นธรรมแก่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่สำนักงานหนยังสือพิมพ์คมชัดลึก อันเนื่องจากเหล่าผู้ประกอบอาชีพสื่อมวลชน ที่ยึดถือคติ แมลงวันไม่ตอมแมลงวัน ถึงแม้ว่าแมลงวันตัวนั้นจะทำร้ายสถาบันพระมหากษัตริย์ ก็ตาม

นี่จึงเป็นเหตุผลที่ผมไม่เรียกร้องใดๆ จากสื่อมวลชน

3. "นำเรื่องของตำแหน่งราชเลขาธิการและสำนักราชเลขาธิการ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของสถา บันพระมหากษัตริย์ เข้าไปเกี่ยวข้องกับการเมือง"

สำนักราชเลขาธิการ ชี้ให้เห็นถึงเจตนาและความพยายามของ สนธิ ลิ้มทองกุล ว่ามีความไม่สุจริตใจในคำกล่าวหาให้ร้ายราชเลขาธิการ เพื่อเหตุใด ?

เพื่อ นำสถาบันพระมหากษัตริย์ เข้าไปเกี่ยวข้องกับการเมือง และแอบอ้างหาประโยชน์จากสถาบันพระมหากษัตริย์ ทั้งทางตรงและทางอ้อม ทั้งเปิดเผย และทางลับ ซึ่งเป็นพฤติกรรมที่ สนธิ ลิ้มทองกุล ประพฤติ ปฏิบัติ กระทำ มาโดยตลอด

เมื่อได้เห็น ได้ทราบจากสำนักราชเลขาธิการ ดังนี้แล้ว ผู้ที่เคยหลงเชื่อ สนธิ ลิ้มทองกุล ว่าได้รับการสนับสนุนจากสถาบันเบื้องสูง ทั้งทางตรง หรือทางอ้อม ด้วยการแสดงสัญญลักษณ์ใดๆ ก็ตาม คงจะหูตาสว่างกันเสียที ว่า เจตนาของ สนธิ ลิ้มทองกุล คืออะไร และความจริงเป็นเช่นไร

ความจริงที่ สนธิ ลิ้มทองกุล พยายามที่นำการเมืองมาเกี่ยวข้องกับสถาบันพระมหากษัตริย์ ด้วยเจตนาไม่สุจริต เพื่อประโยชน์ส่วนตน ให้บรรลุเป้าหมายทางการเมืองของตนเอง ทั้งๆ ที่สถาบันพระมหากษัตริย์ มิได้เคยยุ่งเกี่ยวกับการเมือง ทั้งในอดีตและปัจจุบัน

การแอบอ้างของ พาดพิงของ สนธิ ลิ้มทองกุล ทุกครั้งที่ผ่านมา จึงเป็นความเท็จ และ สถาบันพระ มหากษัตริย์ ไม่เคยให้การสนับสนุน สนธิ ลิ้มทองกุล มาก่อน ทั้งทางตรงและทางอ้อม

ถึงเวลาหรือยังที่ประชาชนผู้จงรักภักดี จะต้องช่วยกันให้บทเรียนแก่ สนธิ ลิ้มทองกุล ให้หลาบจำว่านับแต่นี้เป็นต้นไป ต้องเลิกพฤติกรรมแอบอ้าง พาดพิง และไม่นำการเมืองไปยุ่งเกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์ อีกอย่างเด็ดขาด

4. "ก่อนที่นายสนธิฯ จะออกรายการในวันศุกร์ที่ 27 เมษายน 2550 ก็สามารถที่จะสอบ ถามสำนักราชเลขาธิการได้ แต่นายสนธิฯ ไม่มีการสอบถามดังกล่าวแต่ประการใด"

สำนักราชเลขาธิการ ชี้ให้เห็นว่า การตรวจสอบข้อเท็จจริงในกรณีที่สนธิ ลิ้มทองกุลกล่าวหาให้ร้าย ราชเลขาธิการ และ สำนักราชเลขาธิการนั้น อยู่ในวิสัยที่ สนธิ ลิ้มทองกุล สามารถจะตรวจ สอบได้ แต่ สนธิ ลิ้มทองกุล ไม่มีเจตนที่จะตรวจสอบและเสาะแสวงหาความจริงตามวิสัยสื่อมวลชนที่ดี เนื่องจากมี เจตนาที่จะทำให้ประชาชนเข้าใจผิดต่อราชเลขาธิการ และสำนักราชเลขาธิการ โดยมีเป้าหมายที่จะนำ การเมืองเข้ามาเกี่ยวข้องกับสำนักราชเลขาธิการ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของสถาบันพระมหากษัตริย์

การชี้แจงของสำนักราชเลขาธิการ แสดงให้เห็นว่าสนธิ ลิ้มทองกุล ไม่เคยสอบถามข้อมูล ไม่ เคยแสวงหาข้อเท็จจริง ก่อนที่จะกล่าวหา ให้ร้าย พาดพิง แอบอ้าง ซึ่งพฤติกรรมดังว่านี้แม้จะไม่ใช่เรื่อง ใหม่ หรือเรื่องแปลกสำหรับผู้ที่ติดตามบทบาทของสนธิ ลิ้มทองกุล มาโดยตลอด

แต่ การนำพฤติกรรมไม่สุจริตใจเช่นนี้ มาใช้กับสำนักราชเลขาธิการ ในฐานะเลขานุ การของพระมหากษัตริย์ นับว่าเป็นการกระทำที่ไม่บังควรอย่างยิ่ง

การกล่าวหาให้ร้ายราชเลขาธิการ สำนักราชเลขาธิการ ของ สนธิ ลิ้มทองกุล จึงเป็นการกล่าว หาด้วยความอันเป็นเท็จ กล่าวหาลอยๆ ตามความคิด ความสำนึก ด้วยจิตใจอันชั่วร้ายของตน จึงมอง และตัดสินผู้อื่น ที่มีแนวคิด แนวปฏิบัติ และเป้าหมาย ไม่ตรงกับตนเอง ด้วยจิตใจที่มุ่งร้าย และมุ่งทำลาย ทุกคน ไม่ว่าจะเป็นใคร ผู้ใดก็ตาม แม้กระทั่งราชเลขาธิการ ซึ่งเป็นบุคคลที่ได้รับความไว้วางใจสูงสุดจาก พระมหากษัตริย์ ให้ทำหน้าที่เลขานุการพระมหากษัตริย์ ก็ไม่ได้รับการยกเว้นจาก สนธิ ลิ้มทองกุล

5. "ขอให้นายสนธิฯ ออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์ ASTV ทางรายการยามเฝ้าแผ่นดิน ชี้แจงข้อเท็จจริงที่ถูกต้องให้ประชาชนได้รับทราบโดยด่วน"

สำนักราชเลขาธิการ ยื่นข้อเรียกร้องให้ สนธิ ลิ้มทองกุล ชี้แจงข้อเท็จจริงที่ถูกต้องให้ประชาชน รับทราบ โดยด่วน เพื่อเป็นการสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องแก่ประชาชน ที่ได้รับข้อมูลผิดๆ และเป็นเท็จ จาก สนธิ ลิ้มทองกุล และรายการยามเฝ้าแผ่นดิน แต่ คำตอบของสนธิ ลิ้มทองกุล คือ "ความเงียบ"

สนธิ ลิ้มทองกุล ไม่ใส่ใจ ไม่แยแส ไม่ทุกข์ร้อนกับการให้ข้อมูลอันเป็นเท็จ ของตัวเองแก่ ประชาชน ทั้งๆ ที่ความเสียหายจากข้อมูลเท็จ นั้น ใหญ่หลวงถึงกับทำให้สถาบันพระมหากษัตริย์ เสื่อมเสีย ก็ตาม

การส่งบริวารในบริษัท 1 คน มาอ่านหนังสือชี้แจงแบบสั้นๆ ย่อๆ ในวันที่ได้รับหนังสือ แล้วบอก ให้สำนักราชเลขาธิการ รอฟังคำชี้แจงจากสนธิ ลิ้มทองกุล ในวันที่ 4 พฤษภาคม 2550 ไม่อาจจะ นับได้ว่าเป็นการตอบสนองต่อหนังสือสำนักราชเลขาธิการ "โดยด่วน" ตามที่สำนักราชเลขาธิการ ร้องขอ

หากจะย้อนเวลากลับไปทบทวนเหตุการณ์นี้

สนธิ ลิ้มทองกุล กล่าวหาให้ร้ายราชเลขาธิการ และสำนักราชเลขาธิการ เมื่อเวลาประมาณ 20.30-22.30 น. ของวันศุกร์ที่ 27 เมษายน 2550

สำนักราชเลขาธิการ ทำหนังสือชี้แจงคำถามต่างๆ ของสนธิ ลิ้มทองกุล ทันที เมื่อเปิดทำการ วันแรก คือ เช้าวันจันทร์ที่ 30 เมษายน 2550 และเรียกร้องให้สนธิ ลิ้มทองกุล ชี้แจงข้อเท็จจจริงที่ ถูกต้องแก่ประชาชน โดยด่วน

เว็บไซต์ Manager ตัดทอนข้อความส่วนหนึ่งของหนังสือสำนักราชเลขาธิการ เฉพาะส่วนที่ ชี้แจง และตอบคำถาม สนธิ ลิ้มทองกุล มานำเสนอ เมื่อตอนบ่ายวันที่ 30 เมษายน 2550 โดยหลีก เลี่ยงที่จะนำเสนอข้อความที่แจ้งถึงความเสียหาย ที่ราชเลขาธิการ สำนักราชเลขาธิการ ได้รับ และตัดทิ้ง ทั้งหมด

รายการยามเฝ้าแผ่นดิน วันที่ 30 เมษายน 2550 อ่านหนังสือสำนักราชเลขาธิการให้ฟังแบบย่อ ดังกล่าวแล้ว

นับแต่วันที่ 30 เมษายน - 3 พฤษภาคม 2550 ไม่มีคำชี้แจงใดๆ ไม่มีท่าทีใดๆ จากสนธิ ลิ้มทอง กุล เพราะสนธิ ลิ้มทองกุล บอกแล้วว่าให้รอฟังคำชี้แจงในรายการยามเฝ้าแผ่นดิน คืนวันศุกร์ที่ 4 พฤษภาคม 2550

การบอกให้สำนักราชเลขาธิการ รอฟังคำชี้แจง นานถึง 4 วัน ทั้งๆ ที่ตนเป็นฝ่ายผิด ทำให้ สำนัก ราชเลขาธิการ เสียหาย มิอาจเรียกเป็นอาการอื่นได้ นอกเสียจากว่า "กูไม่กลัวมึง" ของ สนธิ ลิ้มทองกุล ที่มีต่อราชเลขาธิการ และ สำนักราชเลขาธิการ อันเป็นส่วนหนึ่งของสถาบันพระมหา กษัตริย์

คำว่า "โดยด่วน" ในหนังสือสำนักราชเลขาธิการ ย่อมแปลความได้ว่า ให้สนธิ ลิ้มทองกุล ชี้แจง ข้อเท็จจริงที่ถูกต้องแก่ประชาชน ในรายการยามเฝ้าแผ่นดิน ทันที หรือในวันเดียวกับที่ได้รับหนังสือ

แต่ปฏิกิริยาตอบกลับของสนธิ ลิ้มทองกุล คือ "รอไปก่อน" วันที่ 4 พฤษาภาคม 2550 จึงจะชี้แจง ให้ฟัง

7 วันหลังจากทำให้ประชาชนเข้าใจผิดต่อราชเลขาธิการ และสำนักราชเลขาธิการ

7 วันที่ทำให้ราชเลขาธิการ และสำนักราชเลขาธิการ อันเป็นส่วนหนึ่งของสถาบันพระมหากษัตริย์ ได้รับความเสียหาย

7 วันเต็มๆ ที่ สนธิ ลิ้มทองกุล บอกให้ ราชเลขาธิการ และสำนักราชเลขาธิการ รอรับการเยียวยา บรรเทาความเสียหายที่เกิดจากการกระทำของเขาเอง

คนอย่าง สนธิ ลิ้มทองกุล นับทั่วแผ่นดินไทย แล้วจะมีสักกี่คนที่บังอาจ และเหิมเกริม เยี่ยงคนผู้นี้

ถ้าไม่มี "คนให้ท้าย" ไม่มี "คนคุ้มหัว" คนขี้ขลาดอย่าง สนธิ ลิ้มทองกุล มีหรือจะบังอาจแสดง พฤติกรรมเช่นนี้ต่อราชเลขาธิการ และสำนักราชเลขาธิการ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของสถาบันพระมหากษัตริย์

หาก สนธิ ลิ้มทองกุล สำนึกในความผิดที่ตนก่อขึ้น และน้อมรับหนังสือสำนักราชเลขาธิการ ซึ่ง เปรียบเสมือนส่วนหนึ่งของสถาบันพระมหากษัตริย์ ด้วยหัวใจที่จงรักภักดี ดังปากว่าจริง เขาจะต้องรีบ ชี้แจงข้อมูลที่ถูกต้องให้ประชาชน รับทราบทันที ที่ได้รับหนังสือชี้แจงข้อเท็จจริง และ จะต้องสั่งให้สื่อใน เครือผู้จัดการ ทุกสื่อ นำเสนอเนื้อหาในหนังสือฉบับนี้ อย่างสมบูรณ์ ครบถ้วน ไม่ตัดต่อข้อความ หรือนำ เสนอแบบย่อๆ เช่นที่ทำไปแล้ว อีกทั้งต้องนำเสนอหลายๆ ครั้ง เพื่อให้ประชาชนได้รับทราบอย่างทั่วถึง มิใช่นำเสนอแบบ "เสียไม่ได้" หรือ แบบ "ผ่านๆไป" เช่นที่เขาทำให้เห็น

ทั้งๆ ที่ โทรทัศน์ ASTV หนังสือพิมพ์ผู้จัดการ และสื่อในเครือผู้จัดการ ก็เคยลงข้อความเกี่ยว กับบุคคล หน่วยงานของรัฐและเอกชน บริษัทธุรกิจ ห้างร้าน ธนาคาร ผิดพลาดมาหลายครั้ง ทั้งโดย เข้า ใจผิด และโดยตั้งใจ แต่เมื่อได้รับคำชี้แจง จะเป็นด้วยวาจา หรือมีหนังสือทางการหรือไม่ก็ตาม อย่างเป็น ทางการ โดยธรรมเนียมปฏิบัติของสื่อมวลชนทั่วไป ก็จะนำเสนอและปฏิบัติตามข้อเรียกร้อง ของผู้ชี้แจง ที่ได้รับความเสียหายทันที เพื่อหลีกเลี่ยงการถูกฟ้องร้องดำเนินคดี

แต่ในกรณีนี้ มีหนังสือจากสำนักราชเลขาธิการ มาถึงอย่างเป็นทางการ แต่ สนธิ ลิ้มทองกุล กลับเพิกเฉย ราวกับจงใจที่จะใช้คนละมาตรฐานกับการเยียวยาความเสียหายแก่บุคคลทั่วไป ที่จะได้ รับทันทีเมื่อชี้แจงข้อเท็จจริงให้ทราบ แต่กรณีนี้ สำนักราชเลขาธิการ ต้อง "รอก่อน"

พฤติกรรมของสนธิ ลิ้มทองกุล ที่มีต่อหนังสือราชเลขาธิการ ตรงกันข้ามกับสิ่งที่ประชาชน คาด หวังว่าจะได้เห็นอย่างสิ้นเชิง เหตุที่เป็นเช่นนี้ เพราะ สนธิ ลิ้มทองกุล มิได้เป็นผู้จงรักภักดีที่แท้จริง และ มั่นใจว่าด้วยศักยภาพของตนเอง ณ วันนี้ จะสามารถ "เคลียร์" เรื่องนี้ให้พ้นผิด ไปได้ไม่ยาก นัก

การสนับสนุนและคุ้มครองจาก พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี และ พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ผู้บัญชาการทหารบก หัวหน้าคณะรัฐประหาร มีส่วนอย่างยิ่งที่ทำให้ สนธิ ลิ้มทองกุล ไม่ เห็นสถาบัน พระมหากษัตริย์ อยู่ในสายตา และตีราคาเพียงแค่เครื่องมือในการโฆษณาชวนเชื่อ เท่านั้น

ผมจะรอดู รอฟังว่า สนธิ ลิ้มทองกุล จะชี้แจงอย่างไรในวันที่ 4 พฤาภาคม 2550 ซึ่งเมื่อถึง เวลานั้น ผมอยากให้สนธิ ลิ้มทองกุล ชี้แจงด้วยว่ามีเหตุผลอันใด จึงไม่ชี้แจงโดยด่วน และ ต้องให้ ราชเลขาธิการ และสำนักราชเลขาธิการ รอนานถึง 4 วัน หลังจากที่ได้ชี้แจงข้อเท็จจริงแก่เขาแล้ว

สิ่งที่ สนธิ ลิ้มทองกุล ควรจะต้องชี้แจงให้ประชาชนทั้งแผ่นดิน ทราบทั่วกันก็คือ

"คุณเป็นผู้จงรักภักดีชาติพันธุ์ใด จึงกล้ากระทำต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ ของคนไทย เช่นนี้"

6. "ขอให้ท่านชี้แจงข้อเท็จจริงให้สื่อมวลชนทุกแขนงได้รับทราบ"

ข้อเรียกร้องข้อนี้ของสำนักราชเลขาธิการ ผมเข้าใจว่าต้องการให้มีการเปิดแถลงข่าวต่อสื่อมวลชน เพื่อถ่ายทอดไปสู่ประชาชนทั้งประเทศ เกี่ยวกับความจริงในกรณีนี้ ซึ่งผมเห็นว่าไม่ใช่การร้องขอที่มาก เกินไป จนปฏิบัติไม่ได้ แต่จนถึงวันนี้ สนธิ ลิ้มทองกุล ก็ยังไม่ปฏิบัติตามข้อเรียกร้อง ของสำนัก ราชเลขาธิการ

ผมเชื่อว่าสนธิ ลิ้มทองกุล มีเหตุผลแบบของเขาว่าทำไมจึงไม่ปฏิบัติ แต่เหตุผลนั้น จะเป็น ที่ยอมรับหรือไม่ เป็นอีกเรื่องหนึ่ง

อย่างไรก็ตามการตอบสนองต่อหนังสือสำคัญฉบับนี้ ด้วยท่วงท่าอาการเยี่ยงนี้ ผมไม่สามารถ คิดเป็นอื่นได้ นอกจากว่า "กูไม่กลัวมึง" ถึงแม้ท้ายหนังสือสำคัญฉบับนี้ แสดงเจตนาชัดเจนว่า จะพิจาร ณาดำเนินคดีกับ สนธิ ลิ้มทองกุล ด้วย แต่ก็ยังไม่มีอาการใดๆ ไม่มีการตอบสนองในทิศทาง ที่ดีจาก สนธิ ลิ้มทองกุล ให้ได้เห็น

นี่คือ 6 ประเด็นที่ผมจับความจากหนังสือสำคัญของสำนักราชเลขาธิการ และ จับอาการของสนธิ ลิ้มทองกุล มาวิเคราะห์เพื่อนำเสนอแลกเปลี่ยนกับทุกท่าน

อีกประเด็นหนึ่งที่ผมอยากจะชี้ให้เห็นจากการปรากฎของหนังสือสำคัยฉบับนี้ก็คือ

สำนักราชเลขาธิการ ได้ชี้ให้ประชาชนทุกคนได้เห็นว่า "เทียน"
ที่อยู่ในมือ สนธิ ลิ้มทองกุล ซึ่งเขาอ้างว่าเป็นเทียนแห่งปัญญา และเขาจุดขึ้นมาเพื่อให้แสงสว่าง ให้ปัญญาแก่คนไทยทุกคน ในยุคที่ บ้านเมืองมืดบอดทางความคิด เพราะถูกรัฐบาลพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ปิดกั้นข้อมูลข่าวสารนั้น

แท้จริงแล้ว หาได้เป็น "เทียนแห่งปัญญา" ไม่ แต่เป็น "เทียนแห่งอวิชชา"

หากเป็นเทียนแห่งปัญญาจริง แสงสว่างจากเทียนเล่มที่อยูในมือสนธิ ลิ้มทองกุล คงจะไม่นำพา ประชาชนผู้หลงเชื่อ และหลงผิด ถล่มประเทศชาติตัวเองจนย่อยยับไปกับตาเช่นนี้ ธุรกิจ เศรษฐกิจ การ เมือง และสังคม ถูกทำลายพังพินาศ

พิจารณากันให้ดี ก็จะเห็นภาพได้ไม่ยากนัก
ไม่ว่าสนธิ ลิ้มทองกุล ไปจุดเทียนในสังคม หมู่ชนใด สังคมนั้น หมู่ชน ต้องมีความขัดแย้ง บาดหมาง และแตกแยกกันในที่สุด

ประเทศไทย
ประสบวิกฤตทุกด้านในวันนี้ ก็เพราะ สนธิ ลิ้มทองกุล กับเทียนในมือ

ประชาชนคนไทยแตกแยกอย่างไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในประวัติศาสตร์ชาติไทย ก็เพราะสนธิ ลิ้ม ทองกุล กับเทียนในมือ

ธุรกิจไทย
พังพินาศย่อยยับ ก็เพราะสนธิ ลิ้มทองกุล กับเทียนในมือ

เศรษฐกิจไทย
ตกต่ำก็เพราะสนธิ ลิ้มทองกุล กับเทียนในมือ

การเมืองระบอบประชาธิปไตย
ถูกทำลาย เผด็จการทหารยึดครองบ้านเมือง ก็เพราะสนธิ ลิ้มทอง กุล กับเทียนในมือ

กองทัพ
แบ่งแยกแตกเป็นหลายฝักหลายฝ่าย ก็เพราะสนธิ ลิ้มทองกุล กับเทียนในมือ

ตำรวจ
ขัดแย้งกันอย่างหนัก ก็เพราะสนธิ ลิ้มทองกุล กับเทียนในมือ

ข้าราชการทั้งประเทศ
ไม่ทำงาน ใส่เกียร์ว่าง ก็เพราะสนธิ ลิ้มทองกุล กับเทียนในมือของเขา

วงการศาสนา
แตกแยก พระอยู่อย่างสงบในวัดไม่ได้ ก็เพราะสนธิ ลิ้มทองกุล กับเทียนในมือ

กระทั่ง สถาบันพระมหากษัตริย์
ก็ไม่พ้นรัศมีการทำลายของสนธิ ลิ้มทองกุล กับเทียนในมือ

แท้จริงแล้วเทียนที่อยู่ในมือของสนธิ ลิ้มทองกุล เป็นเทียนแห่งอวิชชา

เป็น เทียนแห่งความไม่รู้แจ้ง

เป็น เทียนแห่งความไม่รู้จริง

เป็น เทียนแห่งความโง่เขลา เบาปัญญา

เมื่อ สนธิ ลิ้มทองกุล จุดเทียนแห่งอวิชชา ขึ้น แล้วประกาศว่าเป็นเทียนแห่งปัญญา หลอกลวง ชักชวนประชาชนให้เดินตามแสงแห่งการทำลายของเทียนอวิชชา ไปด้วยกัน

ทุกรอยเท้าที่ สนธิ ลิ้มทองกุล ย่างก้าวเข้าไป จึงถูกเผาไหม้วอดวายไปต่อหน้าต่อตา

บัดนี้ เทียนแห่งอวิชชา ที่สนธิ ลิ้มทองกุล จุดขึ้นในหัวใจของประชาชนจำนวนหนึ่ง ได้เผาไหม้ ประเทศชาติ เสียหายอย่างหนัก และหากเราไม่ช่วยกันดับเทียนเล่มนี้


เทียนแห่งอวิชชาของสนธิ ลิ้มทองกุล จะเผาทำลายไม่เหลือ กระทั่ง 3 สถาบันหลักของชาติ ก็จะถูกเผาไปด้วย

สถาบันชาติ
คนในชาติแตกแยกอย่างหนัก ความตกต่ำทางเศรษฐกิจ การเมือง และสังคม หนักหน่วงรุนแรง กว่าทุกยุคทุกสมัย

สถาบันศาสนา
นับแต่ สนธิ ลิ้มทองกุล กราบไหว้ โพธิรักษ์ ปฏิปักษ์ของพระพุทธศาสนา เป็นครู บาอาจารย์ สถาบันศาสนาก็ตกอยู่ความหวาดระแวงต่อกัน ปั่นป่วนไม่เลิกรา

สถาบันพระมหากษัตริย์
ถูกสนธิ ลิ้มทองกุล นำมาผูกโยงไว้กับการเมือง จนถูกเข้าใจผิดทั้งจาก คนในชาติและคนต่างชาติ

ถึงเวลาแล้วที่พวกเราคนไทยทุกคน จะต้องช่วยกันดับเทียนแห่งอวิชชา ที่สนธิ ลิ้มทองกุล จุดไว้ กลางใจเมือง และจุดขึ้นในใจของประชาชน ผู้หลงผิด เห็นกงจักรเป็นดอกบัว ส่วนหนึ่ง

ด้วยการ
เลิกเปิดรับข้อมูลข่าวสารจากสนธิ ลิ้มทองกุล และบริวาร ตลอดจนเครือข่ายสื่อ มวลชน ที่สนธิ ลิ้มทองกุล สร้างขึ้นมา

สำหรับประชาชนผู้หลงผิด หลงเชื่อสนธิ ลิ้มทองกุล เขาเป็นคนน่าสงสาร ที่เราต้องช่วยกันให้ ข้อมูลใหม่ จุดเทียนเล่มใหม่ เทียนแห่งปัญญาที่แท้จริง ไว้ในหัวใจของเขา โดยช่วยกันต่อเทียน เล่มที่ส่ง มาจากสำนักราชเลขาธิการ ซึ่งเป็นเทียนมงคล ที่พระมหากษัตริย์ พระราชทานมาให้
เพื่อให้เทียน แห่งปัญญา ไปแทนที่เทียนแห่งอวิชชา ในหัวใจของประชาชนผู้น่าสงสารเหล่านั้น

ถึงอย่างไร ทุกคนก็เป็นคนไทยร่วมชาติ เป็นญาติร่วมสายเลือด จะเชือดเฉือนกันให้ขาดจาก ความเป็นไทย ย่อมเป็นไปไม่ได้
ทางแก้ไขวิกฤตของบ้านเมืองในขณะนี้ ได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว จาก หนังสือ ของสำนักราชเลขาธิการฉบับนี้

ต้องอดทน ต้องช่วยกัน ดับเทียนแห่งอวิชชาทีละเล่ม แล้วจุดเทียนแห่งปัญญาที่แท้จริง ขึ้นใหม่ในใจคนไทยทุกคน

เมื่อเทียนแห่งอวิชชาถูกดับลง
ภูติผีปีศาจที่แฝงกายมากับเทียนแห่งอวิชชา ก็จะอยู่ไม่ได้ ถูก ขับไล่พ้นจากประเทศไทยไปในที่สุด

เริ่มกันเสียแต่วันนี้นะครับ ช่วยกันดับเทียนแห่งอวิชชา ให้ได้มากที่สุด

นี่คือ หนทางเดียว ที่จะฟื้นฟูประเทศไทย และรักษาสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ให้พ้นจากมือภูติผีปีศาจ ได้


ปล. อย่าคิดดับเทียนแห่งอวิชชา ทางลัด ด้วยการเอาไปโยนใส่บ้านพระอาทิตย์และบ้านเจ้าพระยา นะครับประเดี๋ยวจะเกิดเหตุเพลิงไหม้ เดือดร้อน พนักงานดับเพลิง เปล่าๆ

ประดาบ


จาก hi-thaksin